ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 481
ตอนที่ 481 พวกเขารักกันจริงหรือ
นิ้วเรียวสวยของหลงเซียวหลงเซียวลูบตรงกลางคิ้ว และดั้งจมูกดูมีมิติถูกลูบจากบนลงล่างด้วยนิ้วของเขา เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในดวงตาของเธอ
หลับตา และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำกว่า “มิตรภาพในอดีตของท่านส้งกับพ่อของฉันนั้นลึกซึ้ง และต้องรู้จักเพื่อนเก่าในอดีตคนอื่นๆของพ่อฉันใช่ไหม”
ส้งชิงเซวี๋ยนจิบชา ซึ่งเป็นชาที่มีกลิ่นควันหอมจางๆ เขาหวนคิดถึงคนเหล่านั้นเมื่อสามสิบปีก่อน นึกถึงทีละคนในหัวสมอง แต่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว และหลายคนก็ล้มหายตายจากกันไป บางคนที่อายุเยอะแล้วในเวลานั้นก็อาจไม่มีชีวิตอยู่
“หลงเซียวแม้ว่าเวลาจะผ่านไปสามสิบปีแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะหาคนเหล่านี้เจอหรือไม่ อีกอย่างฉันอยู่ในโรงเรียนและโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลานาน และไม่ได้สนใจโลกภายนอกมานานแล้ว” ส้งชิงเซวี๋ยนพูดถึงตรงนี้ก็เกิดความเสียใจขึ้นมา “ถ้าตอนนั้นฉันกล้าหาญสักหน่อย และสืบหาต่อไป บางทีอาจช่วยครอบครัวของพ่อคุณตามหาฆาตกรได้”
หลงเซียวหยุดการเคลื่อนไหวของนิ้วมือลง ดวงตาสีดำลึกมองไปที่ภาพบนโต๊ะ “ฉันจะค้นหาตัวตนของสอนคนนี้ก่อน ท่านส้งนึกถึงใครได้อีก ก็บอกได้ทันที”
ส้งชิงเซวี๋ยนพยักหน้าและพูด “แต่มีอดีตหุ้นส่วนทางธุรกิจของคุณพ่อไม่กี่คน ตอนนี้ได้ส่งมอบกิจการธุรกิจให้ลูกๆดูแล แต่หาตัวพวกเขาได้ไม่ยาก คุณลองดูได้”
“ตกลงครับ” หลงเซียวตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“คนที่เข้าร่วมการสืบสวนคดีในตอนนั้น ฉันคิดว่าคงเกษียณอายุราชการไปหมดแล้ว คุณสามารถไปที่สถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบข้อมูลคดีของปีนั้นได้ คุณมีเส้นสายในสถานีตำรวจที่นี่บ้างไหม”
ส้งชิงเซวี๋ยนมองไปที่หลงเซียวอย่างไม่แน่ใจ น้ำชายังค้างอยู่ในปากทั้งที่ยังไม่ได้กลืน
หลงเซียวเผยรอยยิ้มที่ดูลึกล้ำคาดไม่ถึง เป็นรอยยิ้มที่ไม่ดีใจ ไม่ตื่นเต้น แต่ดูสุขุมเยือกเย็น และถามกลับว่า “ท่านส้งคิดว่ายังไงล่ะ”
ส้งชิงเซวี๋ยนทำเสียงกระแอมสองครั้งแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณได้รับการต้อนรับทั่วโลก ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหา ถ้าเป็นอย่างนี้ ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ คุณไปเถอะ ฮ่าฮ่า ไปเถอะ”
หลงเซียวหยิบกาน้ำชาดินเผาขึ้นมา เติมน้ำชาให้ส้งชิงเซวี๋ยน และถามคำถามที่ดูเหมือนไม่สนใจไยดี “ตอนนั้นแม่และพ่อของฉันรักกันจริงหรือ”
เขาเติมน้ำชาเต็ม และหยิบส่งให้กับส้งชิงเซวี๋ยน ถ้วยน้ำชาที่ยกขึ้นอยู่ระหว่างทั้งสองคน ถ้วยหนึ่งถือไว้ และอีกถ้วยไม่มีการเคลื่อนไหว
ส้งชิงเซวี๋ยนก้มมองไปที่ถ้วยน้ำชา น้ำชายังคงสั่นไหวเล็กน้อยเนื่องจากเพิ่งเทลงไปในถ้วย น้ำชาที่ใสสะอาดสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่ดูแก่เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาซึ่งถูกหนังตาปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ซ่อนความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดกับคนนอกได้
สายตาที่มองไปสุดลูกหูลูกตาของหลงเซียวหยุดมองที่ใบหน้าของส้งชิงเซวี๋ยน เพียงชั่วครู่ก็มองเห็นความรู้สึกที่ไม่สบายใจของเขา และพูดขึ้นมาโดยไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากพูด “เกิดอะไรขึ้น ท่านส้งรู้สึกยากที่จะพูด หรือว่าไม่สะดวกที่จะพูดเหรอ”
ส้งชิงเซวี๋ยนลังเลอยู่นานก่อนที่จะรับถ้วยชา มือของเขาก็เย็นลงโดยไม่รู้ตัว“หลงเซียว ……”
เขาเรียกชื่อของเขา แล้วก็เงียบไปชั่วขณะ ลมในบ้านไม้ พัดเข้ามาตามช่องว่างของแผงประตู ทำให้รู้สึกเย็นและโล่ง
“พูดอย่างนี้แสดงว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ดีเหรอ” หลงเซียววางมือข้างหนึ่งไว้บนเข่า ดวงตาลึกและเงียบดุจมหาสมุทรมองไปที่มือของส้งชิงเซวี๋ยน และมือของเขาสั่น
ในที่สุดส้งชิงเซวี๋ยนก็ส่ายหัวและพูด “ไม่ใช่…ตรงกันข้ามเลยล่ะ แม่และพ่อของคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก พวกเขาเป็นคู่รักที่รักกันดีมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย พ่อของคุณเป็นนักเรียนดีเด่นด้านการเงินของมหาวิทยาลัย แม่ของคุณเรียนศิลปะ และได้จัดนิทรรศการเดี่ยวของตัวเองในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วย พอที่จะพูดได้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักคนดังของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว”
เขาจิบชาไปคำหนึ่ง ความคิดก็ย้อนกลับไปเหตุการณ์ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ดูเหมือนเวลาจะซ้ำซ้อนกัน และสภาพของพวกเขายังดูเหลาะแหละเหมือนตอนนั้น
หลงเซียวขมวดคิ้ว คบคิดว่า เป็นอย่างนั้นเหรอ แม่จบมาจากสาขาศิลปะเหรอ แต่เขาโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นงานศิลปะที่บ้าน และไม่เคยเห็นแม่จับพู่กันเลย
“ทำไมภายหลังแม่ของฉันถึงหยุดวาดภาพล่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ หยุดวาดภาพแล้วหรือ อาเฟินหยุดวาดภาพแล้วจริงๆเหรอ” ส้งชิงเซวี๋ยนรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “ไม่มีทาง แม่ของคุณเป็นจิตรกรที่มีอนาคตไกลอย่างหาที่สุดมิได้เลยนะ ภาพวาดของเธอเป็นที่นิยมมาก และระดับความรู้ทางด้านศิลปะของแม่ของคุณก็ลึกซึ้งมาก หยุดวาดแล้ว……น่าเสียดาย น่าเสียดาย……ถ้าแม่และพ่อของคุณยังอยู่ด้วยกัน บางทีตอนนี้แม่ของคุณอาจเป็นจิตรกรมือหนึ่งของประเทศจีนก็ได้”
ส้งชิงเซวี๋ยนถอนหายใจ คำพูดของเขาแสดงถึงความเศร้าระทมกับการล่มสลายของซูเปอร์สตาร์แห่งศิลปะ
ผู้รอบรู้ทางศิลปะอย่างนั้นเหรอ
หลงเซียวไม่เคยรู้เรื่องราวในอดีตของแม่เขาด้วยซ้ำ แต่รสนิยม อุปนิสัยและการได้รับการอบรมของแม่นั้น สูงกว่าผู้หญิงทั่วไปมาก
หลงเซียวได้รับอิทธิพลจากเธอมาตั้งแต่เด็ก และนิสัยความเคยชินหลายอย่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยวนชูเฟิน
ไม่รู้ว่ามีจุดกำเนิดเช่นนี้
ถอนหายใจยาวๆ ส้งชิงเซวี๋ยนก็พูดขึ้นมาว่า “ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอแม่ของคุณ คือเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นแม่และพ่อของคุณรักกันดีมาก ต่อมาฉันก็ไปเรียนต่อที่เยอรมัน พอกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”
เวลาก็เหมือนกับสายน้ำ ที่นำพาเรื่องในอดีตฝังไว้ใต้ดินโคลนไปหมด ส้งชิงเซวี๋ยนเคยคิดว่าเขาจะไม่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นอีก
นิ้วมือที่ขาวผ่องของหลงเซียววางอยู่บนกางเกงขายาวสีดำ ซึ่งเห็นความแตกต่างระหว่างสีดำและสีขาวชัดเจน แสงกระทบลงที่ด้านข้างของเขา ช่วยเสริมโครงหน้าของเขาให้ดูลึกล้ำ
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างแม่กับของพ่อฉัน คุณไม่รู้เลยเหรอ”
“ไม่รู้เลย ตอนที่ฉันกลับมาทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แม่ของคุณกับหลงถิงคบหากันไม่นาน ทั้งสองก็จัดงานแต่งงาน ในเวลานั้นหลายคนด่าแม่ของคุณ ว่าพอพ่อของคุณตาย เธอก็รักครั้งใหม่ เฮ้อ…..ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรนั้น คุณคงต้องไปถามแม่ของคุณแล้วล่ะ”
ความขัดแย้งในครอบครัว คนนอกจะรู้ชัดเจนได้อย่างไร
ที่แท้ส้งชิงเซวี๋ยนก็รู้เรื่องเพียงผิวเผิน เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ในเวลานั้นที่เป็นรูปธรรมเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนเมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้ความพยายามไม่น้อยในการโจมตีตระกูลมู่
หลงเซียวประเมินบทบาทของส้งชิงเซวี๋ยนในตระกูลมู่สูงไป ทำได้แค่ขุดค้นต่อไป
ในเวลานี้ โทรศัพท์ที่อยู่ในกล่องของส้งชิงเซวี๋ยนก็สั่นขึ้น ส้งชิงเซวี๋ยนทำปากเบี้ยวพูด “หลงเซียวคุณทายดูว่าใครโทรมา”
ส้งชิงเซวี๋ยนเปิดกล่อง และหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าๆออกมา จึงเห็นว่าเป็นชื่อที่คุ้นเคยโทรเข้ามา
ดวงตาสีดำเข้มของหลงเซียวส่องประกายอบอุ่นและพูด“ลั่วลั่วเหรอ”
ส้งชิงเซวี๋ยนหัวเราะ และภาพเด็กดื้อที่ดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่มีความเคารพก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง “ใช่แล้วล่ะ! คนที่โทรมาคือลั่วลั่ว ด้วยสมองที่ชาญฉลาดของลั่วลั่ว เธออาจจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงมาหาชายชราอย่างฉันบีบบังคับให้สารภาพโทษหนัก”
หลงเซียวขมวดคิ้ว และไม่พูดอะไร
ลั่วหานโทรศัพท์หาส้งชิงเซวี๋ยนได้ ก็ถามเข้าประเด็น โดยไม่ได้เกริ่นนำแต่อย่างใดว่า “คุณรู้ฐานะในอดีตของแม่สามีของฉันใช่หรือไม่ คุณรู้ฐานะของหลงเซียวใช่หรือไม่”
ส้งชิงเซวี๋ยนถือโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหู หรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ “โอ๊ยลั่วลั่ว หูฉันยังได้ยินดีอยู่ คุณไม่ต้องพูดเสียงดังฉันก็ได้ยิน”
ลั่วหานถอนหายใจ ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นและรีบถามต่อ “พูดมา คุณรู้อะไรบ้าง บอกทุกสิ่งที่คุณรู้มาให้หมด”
ส้งชิงเซวี๋ยนเผยอปากพูด “ลั่วลั่ว คุณบีบบังคับซักถามให้คนแก่ตอบเช่นนี้ ไม่ค่อยดีเลยนะ นี่สามีของคุณคิดจะหลอกถามความจริงจากฉัน เขายังต้องยกน้ำชามาเสิร์ฟให้เลย”
หลงเซียวงั้นเหรอ
ลั่วหานตบหน้าผากตัวเองด้วยความมึนงง นี่เธอลืมเรื่องหลงเซียวไปเลย เขาไปสหรัฐอเมริกาต้องไปหาส้งชิงเซวี๋ยนอยู่แล้ว
หลงเซียวรับโทรศัพท์มา และพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ลั่วลั่ว ฉันกับท่านส้งอยู่ด้วยกัน คุณอยากรู้อะไรฉันบอกคุณได้”
ลั่วหานรู้สึกแน่นคอ และกลืนลมหายใจเย็นๆก่อนถาม “หลงเซียวคุณจะไม่บังเอิญไปเหรอ”
“ใช่ ฉันเพิ่งได้คุยกับท่านส้ง เดี๋ยวฉันจะส่งรูปให้ดู แล้วคุณจะเข้าใจเอง”
ลั่วหานนั่งอยู่ในรถ เงียบอยู่ชั่วขณะก่อนพูด “โอเค”
หลงเซียวใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งต่อภาพถ่ายร่วมกัน โทรศัพท์ของลั่วหานสั่นแจ้งเตือน และเลื่อนหน้าจอภาพถ่าย
“นี่……คนใส่แว่นกับคุณ……” ดูเหมือนกัน!
“เขาคือพ่อผู้ให้กำเนิดฉัน เขาชื่อมู่เส้าเอิน นามสกุลจริงของฉันคือมู่”
มู่……มู่เซียวอย่างนั้นเหรอ
ลั่วหานยิ้มอย่างอ่อนโยน เสียงหัวเราะที่อบอุ่นส่งผ่านสายไปยังหูของหลงเซียว
“มองแวบเดียวก็บอกได้ว่าเขาเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของคุณ หลงเซียว คุณและพ่อของคุณมีนิสัยคล้ายกันมาก มีเพียงพ่อแบบนี้เท่านั้นที่สามารถให้ยีนที่ดีแก่คุณได้”
“นี่คุณภรรยากำลังชมฉันทางอ้อมอยู่ใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ฉันกำลังชมพ่อของคุณ อืม……พ่อของเรา” ลั่วหานเปลี่ยนคำพูดอย่างเร็ว และคำว่าพ่อของเราก็หลุดออกมาจากปาก โดยไม่ต้องคิดเลย
มู่เส้าเอินในตอนนั้นกับและหลงเซียวในตอนนี้ คล้ายกันมาก! เธอมองแวบแรกก็รู้สึกว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นจึงพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“เป็นลูกสะใภ้ที่ดีจริงๆ พ่อต้องชอบคุณแน่ๆ”
“แน่นอนอยู่แล้ว อ๋อ ใช่ เรื่องที่เหลือกลับมาคุณค่อยบอกฉันนะ ฉันก็มีเรื่องที่จะคุยกับคุณ”
“โอเค”หลงเซียวมีเสียงของเธออยู่ในใจ อารมณ์กลัดกลุ้มของเขาก็ดีขึ้น และถาม “แม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้แม่สบายดี สถานการณ์คงที่ดี ฉันจะดูแลท่านอย่างดี คุณไม่ต้องกังวลนะ”
“ทำให้คุณต้องเหนื่อยเลย ลั่วลั่ว”
“คุณกับฉันยังต้องเกรงใจกันอย่างนี้อีกเหรอ”
“ไม่ใช่เกรงใจ แต่รู้สึกตื้นตันใจ” หลงเซียวลดหนังตาลงและยิ้ม
ได้ฟังน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขา ลั่วหานก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หลงเซียวฉันคิดถึงคุณ”
“ฉันก็เช่นกัน ฉันจะรีบจัดการธุระให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จะได้กลับบ้านเร็วๆ”
“ฮื้อ อย่าทำให้เสียงานเสียการไปเพราะฉันเลย ฉันทนได้” สีหน้าของลั่วหานแดงขึ้นเล็กน้อย ทำไมถึงรู้สึกว่าพูดเรื่องเหล่านี้กับเขาถึงเป็นเรื่องเสแสร้งล่ะ
“ฉันทำไม่ได้ ฉันทนไม่ได้” หลงเซียวพูดคำบอกรักโดยไม่อายหรือหลบการมีตัวตนอยู่ของส้งชิงเซวี๋ยนเลย
ลั่วหานเม้มริมฝีปากของเธอและพูดต่อ “โอเคโอเค ฉันจะไปโรงพยาบาลดูแม่แล้ว” ขืนพูดต่ออีกเธอก็ทนไม่ได้แล้ว
“โอเค ขับรถปลอดภัยนะ”
“เอ๊ย คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในรถ เฝ้าดูฉันเหรอ” ลั่วหานมองไปรอบๆ ไม่มีทาง คุณหลงคุณฉลาดมากไปแล้ว
“มีเสียงสะท้อนก้องมา ยัยโง่” หลงเซียวอยากจะลูบหัวเธอมากตอนที่เธอทำเรื่องโง่ๆ
“โอ้ โอเค!”
หลังจากวางสายแล้ว หลงเซียวก็ส่งโทรศัพท์เครื่องเก่านี้ให้ส้งชิงเซวี๋ยน “ฉันจะออกไปเดินสักหน่อย”
“เดี๋ยวก่อน คุณเพิ่งถามถึงแม่คุณ เกิดอะไรขึ้นกับอาเฟินเหรอ” การสังเกตของส้งชิงเซวี๋ยนค่อนข้างดี
“ท่านไม่สบาย”
“อะไรนะ ไม่สบายเหรอ ป่วยเป็นอะไร โอ้ แม้ว่าอาเฟินจะ……แต่ที่จริงฉันคิดว่าเธอน่าสงสารมาก เธอป่วยเป็นอะไรไปเหรอ ฉันเป็นหมอ บางทีอาจจะช่วยได้”
อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนที่ดีกันมาก่อน ส้งชิงเซวี๋ยนเองก็ไม่ได้เป็นคนใจแคบคิดเล็กคิดน้อยอะไร
“มะเร็ง มะเร็งที่สมอง” หลงเซียวพูดคำสี่คำออกมาด้วยความสงบ
“ปัง!”
โทรศัพท์ในมือของส้งชิงเซวี๋ยนตกลงที่พื้นอย่างแรง!