ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 482
ตอนที่ 482 อาเจียนอย่างหนัก
“เป็นมะเร็งได้อย่างไร ฉันจำไม่ได้ว่าครอบครัวของแม่คุณมีประวัติเคยเป็นมะเร็ง เป็นไปได้อย่างไรกัน!” สีหน้าส้งชิงเซวี๋ยนซีดเผือด ดวงตาที่หย่อนคล้อยก็เผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก
มะเร็ง…..อีกทั้งยังเป็นมะเร็งที่สมอง เป็นโรคที่รักษาไม่หาย
หลงเซียวไม่ได้แสดงอารมณ์สะเทือนใจออกมาชัดเจนนัก เขาช่วยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา วางไว้บนโต๊ะน้ำชาและพูด“ดูเหมือนว่าท่านส้ง จะใส่ใจเรื่องของแม่ฉันเป็นพิเศษนะ”
เส้นเลือดดำที่เขียวของส้งชิงเซวี๋ยนก็นูนขึ้นที่หน้าผาก จนต้องรีบมองหาบุหรี่ ตอนนี้เขาต้องการบุหรี่เพื่อช่วยสงบสติอารมณ์ของเขา “อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน คนรุ่นพวกฉันล้มหายตายจากไปก็เยอะพอสมควร ฉันไม่อยากได้ยินข่าวร้ายอีก”
ส้งชิงเซวี๋ยนค้นหาบุหรี่ในลิ้นชัก เขายุ่งขวานหาของเพื่อปกปิดอารมณ์แปรปรวน แต่เห็นได้ชัดว่ามือของเขาไม่ฟังคำสั่งของเขาเลย จนทำให้ของร่วงลงพื้นระเนระนาด
ส้งชิงเซวี๋ยนดึงซองบุหรี่ออกมาจากกองสมุนไพรจำนวนมาก และจุดสูบหนึ่งมวน
ควันสีขาวหนาๆ พ่นออกมาเต็มห้อง จนกลบกลิ่นหอมของชา
อารมณ์ชื่นมื่นของหลงเซียวแตกต่างจากควันหนาของบุหรี่อย่างชัดเจน คิ้วสวยของเขาขมวดและพูด “ท่านส้งควรสูบบุหรี่ให้น้อยลง เพราะปัจจุบันมะเร็งกลายเป็นโรคที่พบบ่อย ผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งสูงมาก”
ส้งชิงเซวี๋ยนสูบอีกอึกใหญ่ กลิ่นควันที่แรงขึ้นทำให้เขาเองหายใจไม่ออก ไออย่างรุนแรง จนนัยน์ตาขึ้นเส้นเลือดสีแดง และพูด “ฉันสบายดี สูบบุหรี่มาสามสิบปีแล้ว ถ้าจะตายคงตายไปตั้งนานแล้ว”
สามสิบปีเลยเหรอ
“ท่านส้งติดบุหรี่หลังจากพ่อของฉันประสบอุบัติเหตุเหรอ” หลงเซียวถามพร้อมกับใช้นิ้วมือเรียวยาวคีบบุหรี่ และสูบควัน
ส้งชิงเซวี๋ยนปากว่างแล้วก็พูดขึ้นว่า “อืม ฉันเริ่มดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับพ่อของคุณ คุณก็รู้ ฉันเป็นหมอ และหมอก็ห้ามดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่ในช่วงเวลานั้น เฮ้อ…..”
เสียงถอนหายใจยาวๆก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นภาพในอดีต โดยไม่ต้องมีคำพูดใดมาอธิบาย
หลงเซียวกดบุหรี่เพื่อดับไฟและพูด “หลังจากนี้ก็พยายามเลิกบุหรี่เถอะ คนที่เกี่ยวข้องกับพ่อของฉันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ฉันไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณ”
ส้งชิงเซวี๋ยนอ้าปาก ทำให้เห็นฟันเป็นสีเหลืองเล็กน้อย หลังจากถูกกระตุ้นด้วยยาสูบดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไร”
หลงเซียวหยิบภาพถ่ายอีกครั้ง และจัดเก็บไว้ที่ปลอดภัย “ความตายที่แท้จริงของคนหนึ่งคน คือคนรอบตัวเขาลาจากไป ตราบใดที่คนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพ่อของฉันยังอยู่ ฉันก็สามารถหาตัวเขาเจอ ท่านส้งให้ถือว่าเก็บความทรงจำที่เกี่ยวกับพ่อของฉันไว้ให้ฉันเถอะนะ”
จากสิ่งที่เขาพูดทำให้ดวงตาของส้งชิงเซวี๋ยนร้อนผ่าว จนน้ำตาไหลออกมา เขาก็เช็ดตาอย่างเขินอายและพูด “เพราะควันบุหรี่…..เพราะควัน… หลงเซียวเด็กคนนี้ ถ้าพ่อของคุณรู้เรื่องนี้ เขาต้องปลื้มใจแน่นอน”
หลงเซียวจัดปกเสื้อคลุมให้ส้งชิงเซวี๋ยนและพูด “ท่านส้งน่าจะแก่กว่าพ่อฉันไม่กี่ปีนะ”
“อ่อ….ใช่ ฉันแก่กว่าพ่อคุณนิดหน่อย”
หลงเซียวพยักหน้าพูด “ลุงส้งรักษาสุขภาพด้วยนะ“”
ส้งชิงเซวี๋ยนตกตะลึง มือบางๆรีบดึงแขนเสื้อของหลงเซียว ฝ่ามือแห้งซากดึงผ้าสูทมีราคาของเขาไว้แน่นและถาม “เมื่อกี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ”
หลงเซียวแตะหลังมือของเขาและพูด “เรียกว่าคุณลุงส้ง คุณเป็นพี่ชายของพ่อฉัน ฉันควรจะเรียกว่าคุณลุงตั้งนานแล้ว”
ส้งชิงเซวี๋ยนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ใบหน้าแก่ๆของเขาเปียกไปด้วยรอยน้ำตา และเขาก็พึมพำ “โอเค…โอเค คุณลุง…คุณลุง เยี่ยมจริงๆ”
หลงเซียวหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ และกล่าวลา “ฉันไปก่อนนะ”
ส้งชิงเซวี๋ยนยังคงตื่นเต้นอยู่ สติยังไม่กลับมา พอเห็นว่าเขาหันหลังจากไปจึงได้สติขึ้นมา และเดินตามไป “หลงเซียว เวลาของแม่คุณเหลือไม่เยอะแล้ว ดังนั้นพวกคุณต้องให้กำลังใจให้เธอสู้ต่อไป คนเป็นพ่อเป็นแม่ต่างหวังจะได้เห็นลูกหลานเต็มบ้านทั้งนั้น ทำให้เธอได้เห็นลูกของคุณกับลั่วลั่วเกิดมาก่อนเธอจะจากโลกนี้ไป ถือเป็นความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อเธอเลยล่ะ”
หลงเซียวไม่พยักหน้าตอบรับ หรือส่ายหัวปฏิเสธ แต่พูดว่า “พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่”
การมีลูกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหวังกันได้ เขาไม่สามารถทำเพื่อแม่แต่ให้ลั่วลั่วแบกรับภาระมากเกินไปได้ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
——
วันต่อมา ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย
ลั่วหานเปลี่ยนชุดกาวน์ และเตรียมแฟ้มเคสผู้ป่วยเพื่อไปตรวจ ทันใดนั้นหลินซีเหวินและหวาเทียนก็วิ่งเข้าไปในห้องทำงาน
“หมอฉู่ไปที่ห้องฉุกเฉิน! เร็ว!”
ลั่วหานวางแฟ้มเคสผู้ป่วยลงแล้วรีบวิ่งไปที่ประตูลิฟต์ถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไร”
“ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แต่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่ามีเซลล์มะเร็งจำนวนมากในร่างกาย วินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็งสุดท้าย เกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้หัวใจหยุดเต้น สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก”
ปากกาในมือของลั่วหานหลุดออกจากมือ เธอเดินเข้าไปในลิฟต์ แต่ปากกาตกอยู่นอกลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ปากกาแท่งนั้นก็แยกจากเธอไปเลย
เซลล์มะเร็ง….
ก่อนหน้านี้ที่ได้ยินคำสามคำนี้ยังฟังดูธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจ
หลินซีเหวินถือแฟ้มเคสผู้ป่วยอยู่ถามขึ้น “หมอฉู่ คุณเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”
“ไม่เป็นอะไร พูดต่อสิ”
หลินซีเหวินอธิบายภาพรวมสถานการณ์ของผู้ป่วย พอลิฟต์มาถึงห้องฉุกเฉินที่ชั้นหนึ่ง หมอของแผนกฉุกเฉินกำลังทำการผายปอดเรียกชีพจรของผู้ป่วยให้ฟื้นคืนมา แต่บนเครื่องมือวัดเส้นชีพจรยังคงขึ้นเป็นเส้นตรง ไม่มีการเต้นของหัวใจ ไม่มีชีพจร และไม่หายใจ
“เตรียมช็อตไฟฟ้า ชาร์จ200จูล!” หมอผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น และผู้ช่วยหมอที่อยู่ข้างๆก็กำลังทำตามที่หมอบอก
ลั่วหานมองไปที่ร่างผู้ป่วยที่ถูกกระตุ้นช็อตไฟฟ้าเด้งขึ้นลงอย่างแรง ดึงกระชากหัวใจแต่ก็ไม่สามารถหายใจได้
“หมอฉู่ หมอฉู่มาแล้ว!”
หมอแผนกฉุกเฉินเห็นความหวังสุดท้ายก็หลีกทางให้ “หมอฉู่ อาการของผู้ป่วยทรุดหนักมาก ผายปอดช็อตไฟฟ้าก็ไม่ได้ผล หรือต้องฉีดให้อะดรีนาลีนก่อน”
หูของลั่วหานมีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แก้วหูเหมือนถูกเปิดคอนเสิร์ตที่มีคนนับหมื่น เธอเดินไปเตียงผู้ป่วย ผู้ป่วยหน้าซีดคนนี้เป็นผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบปี สภาพบ่งบอกว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ลั่วหานเอียงตัวฟังที่ทรวงอกของผู้ป่วย ผลคือไม่มีการตอบสนองใดๆ และตัดสินได้ว่าเสียชีวิตลงแล้ว
และถามว่า “คนไข้เป็นมะเร็งชนิดไหน”
“เป็นมะเร็งตับ เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย พวกเราสงสัยว่าผู้ป่วยจะมีเซลล์มะเร็งที่สมองด้วย”
ลั่วหานล้มตัวลงเอามือเกาะขอบเตียง จู่ๆก็หายใจไม่สะดวก ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า
“หมอฉู่เป็นอะไร คุณโอเคไหม”
“หมอฉู่”
ลั่วหานส่ายหัวและพูด “ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว แจ้งให้ครอบครัวทราบด้วยนะ”
พูดจบประโยค ลั่วหานก็เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย เธอตัวสั่นไปหมด มือทั้งสองข้างรู้สึกเย็น ขาก็อ่อนแรงจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักของร่างกายไว้ได้
“หมอฉู่ ผู้ป่วยไม่มีความหวังแล้วจริงเหรอ ลองดูอีกทีได้ไหม” หมอในห้องฉุกเฉินถามด้วยความไม่ค่อยอยากยอมแพ้
ลั่วหานไม่ตอบ
“ยังจะลองอะไรอีก หมอฉู่บอกว่าเสียชีวิตลงแล้ว คงหมดหวังที่จะช่วยแล้วจริงๆ คิดดูสิ คนที่มีทั้งโรคหัวใจบวกกับโรคมะเร็ง แม้สุขภาพดีมากแค่ไหนก็แย่ได้เหมือนกัน เขียนหนังสือรับรองการตายเถอะ”
“โอย จะบอกครอบครัวเขาอย่างไรดีล่ะ เพิ่งเข้ามาเพียงไม่กี่สิบนาทีคนก็ไม่อยู่แล้ว”
การอธิบายของหมอค่อยๆเบาลง ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของครอบครัวผู้ป่วยแทน
ลั่วหานเดินออกจากห้องฉุกเฉิน จู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอมในคอ เลยวิ่งไปที่ห้องน้ำอาเจียนอยู่หน้าชักโครก
ด้วยร่างกายที่อ่อนแรงไม่มีเรี่ยวแรงจะยืน ลั่วหานจึงต้องนั่งยองๆบนพื้น กอดชักโครกและอาเจียนออกมา เดิมทีในกระเพาะอาหารที่ไม่ค่อยจะมีอะไรอยู่ และดูเหมือนจะอาเจียนออกมาหมดแล้ว หลังอาเจียนจึงมีแค่น้ำกรด
กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนกลับมาทางหลอดอาหาร ทำให้เกิดรู้สึกแสบไปทั้งทรวงอก
“อ้วก!”
มีเพียงน้ำเล็กน้อยที่อาเจียนออกมา แก้มขาวก็แดงขึ้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขนาดเท่าฝ่ามือบวมขึ้นเหมือนถูกต่อยมาหลายหมัด
ในที่สุดก็อาเจียนออกมาจนหมด และคงไม่สามารถอาเจียนเอาอะไรออกมาได้อีก ร่างกายของลั่วหานอ่อนแรงไม่มีกำลัง จึงนั่งพิงที่ชักโครก ดวงตาร้อนผ่าว และในหัวของเธอยังมีภาพการเสียชีวิตของคนไข้ฉายวนเวียนซ้ำอยู่
เมื่อนึกถึงการตาย อาการคลื่นไส้ก็กลับมาอีก ลั่วหานจับชักโครกอาเจียน แต่ไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา
ลั่วหานต่อสู้กับสภาพร่างกายแบบนี้อยู่ในห้องน้ำคนเดียว เธอลุกขึ้นด้วยความอ่อนแรง ล้างหน้าและกลับขึ้นตึก
“ลั่วหาน ทำไมสีหน้าคุณดูแย่อย่างนี้ ป่วยเหรอ”
ถังจิ้นเหยียนเพิ่งกลับมาจากการตรวจห้องผู้ป่วย ในมือถือแฟ้มประวัติผู้ป่วย และด้านหลังตามด้วยหมอฝึกหัดสองสามคน
“รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนนะ พักผ่อนสักหน่อยก็คงดีขึ้น”
ถังจิ้นเหยียนหันกลับไปบอกให้บรรดาหมอฝึกหัดเดินไปก่อน จากนั้นเดินไปคว้าข้อมือของลั่วหานและถาม “เป็นอะไรกันแน่ หรือว่าเหนื่อยเกินไป”
ถังจิ้นเหยียนใช้หลังมือแตะวัดที่หน้าผากของเธอ “ไม่มีไข้ แล้วจะปวดท้องได้อย่างไรกัน ฉันไปที่แผนกโรคทางเดินอาหารสั่งยาให้คุณก็แล้วกัน”
ลั่วหานส่ายหัว ดวงตายังเป็นสีแดงก่ำและพูด “เมื่อกี้มีคนไข้เสียชีวิตในห้องฉุกเฉินด้วยโรคมะเร็ง” ลั่วหานหลับตาลง ดวงตาของเธอร้อนผ่าว และพูด “จิ้นเหยียนฉันกลัว”
ถังจิ้นเหยียนก็เข้าใจโดยทันที “คุณเป็นห่วงแม่สามีใช่หรือไม่ อย่าตระหนกข่มขวัญตัวเองสิ ตอนนี้ท่านยังสบายดี ต้องไปเป็นอะไรแน่นอน”
ลั่วหานดวงตามืดมน เธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความขมขื่นและพูด “ฉันกลัวจริงๆนะ”
ถังจิ้นเหยียนอ้าแขนออกเพื่อกอดเธอ ไม่รู้ว่าด้วยจิตที่มโนภาพหรือด้วยความไม่คุ้น เขาจึงรู้สึกว่าผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาผอมลงมาก ไหล่ของเธอมีแต่กระดูก เขาพูดปลอบ “ไม่เป็นไร ต้องไม่มีอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะอยู่ข้างคุณ พวกเราทุกคนอยู่กับคุณที่นี่”
ลั่วหานพยักหน้า พิงที่อกของเขาไม่ปล่อยให้ตัวเองล้มลง “ฉันจะไปดูท่านสักหน่อย”
ถังจิ้นเหยียนปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนและถาม “แล้วหลงเซียวล่ะ เวลาแบบนี้ทำไมเขาไม่อยู่ที่นี่ เขาเป็นสามีและลูกชายประสาอะไรเนี่ย”
“เขามีธุระหลายอย่างที่จำเป็นต้องจัดการด้วยตัวเอง” เธอตอบ
ถังจิ้นเหยียนถอนหายใจยกไหล่ขึ้นลงเบาๆ “ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ในความคิดของคุณคือสิ่งที่ดีที่สุด ฉันเข้าใจ อ่อ ใช่ ทางสถานีโทรทัศน์ถามว่าคุณจะอัดเทปตอนที่สองได้เมื่อไหร่ ฉันเลยบอกให้เลื่อนไปก่อน ถ้ามาถามอีก ฉันจะไปแทนคุณเอง”
ใบหน้าซีดเซียวของลั่วหานเต็มไปด้วยรอยยิ้มและพูด “ขอบคุณนะจิ้นเหยียน ดีใจจังที่มีเพื่อนอย่างคุณ”
เมื่ออำลาจากถังจิ้นเหยียนแล้ว ลั่วหานจึงดื่มกลูโคสไปจำนวนหนึ่ง และเดินผ่านสวนขนาดใหญ่ จากตึกอำนวยการโรงพยาบาลหวาเซี่ยไปที่ห้องพักฟื้น
ยังเดินไปไม่ถึงห้องพักฟื้น ก็มองเห็นหยวนชูเฟินยืนอยู่ที่หน้าต่างจากระยะไกล มีผ้าคลุมไหล่ยาวสีเบจคลุมตัวเธออยู่ กำลังมองออกไปไกลๆผ่านหน้าต่าง
ท่าทางสง่างาม เงียบ และดูสูงส่ง ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรงดงามไปกว่าเธอเลย
เธอสมควรเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของเมืองหลวง
ลั่วหานเดินขึ้นไปชั้นบน กำลังจะเคาะประตู แต่ข้างในห้องมีคนกำลังพูดอยู่
“ทำตามที่ฉันบอก อย่าให้ใครรู้ นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันขอให้คุณช่วย” เสียงหยวนชูเฟินกำลังพูด
เธอกำลังพูดกับใคร
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังออกมา “คุณคิดดีแล้วใช่ไหม คุณสามารถรับผลที่ตามมานี้ได้หรือไม่”
เสียงทุ้ม แหบแห้ง และสุขุม ฟังดูเหมือนอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี
เป็นใครกัน
“มาถึงทุกวันนี้ ยังมีอะไรที่ฉันแบกรับไม่ได้อีกเหรอ ไปทำตามที่บอกเถอะ”
“ครับ”
หลังจากพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น ลั่วหานจึงรีบก้าวถอยหลังออกมา และหลบอยู่ที่มุมบันได
เธอยืนพิงกำแพงแอบมองอยู่ หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง เขาสวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกแก๊ปยอดแหลม ปีกหมวกปิดลงต่ำ และสามารถมองเห็นหน้ากากได้จากด้านข้าง