ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 522
ตอนที่ 522 พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ดีกับพี่สะใภ้เกินไปแล้ว
เพียงประโยคเรียบง่าย แต่หากคนฟังที่มีเจตนาไม่ดีจะเป็นความหมายอื่น อีกอย่างคนที่นั่งอยู่ที่นี่คืนนี้ใครบ้างไม่ใช่คนมีเจตนาไม่ดีบ้าง?
หลงเซียวเอาชิ้นสเต็กวางลงคืนในจานอย่างแรง จนมีดกับจานปะทะเกิดเสียงแหลมคมขึ้น
เขาไม่อยากกิน เขารู้สึกรังเกียจ
เพราะคนบางคน เรื่องบางเรื่องทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนรังเกียจ!
หลงถิงเผยสายตามืดครึ้มขึ้นชั่วขณะ ไม่นานเขาเอาชิ้นสเต็กที่หั่นเรียบร้อยเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นก็จิบไวน์หนึ่งคำ สเต็กเนื้อสุกระดับเจ็ดเข้ากันกับไวน์แดง เขากินอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ในใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า แค่กินสเต็กเนื้อเท่านั้นเอง หลงเซียวอย่าคิดมากสิ มา มาดื่มไวน์กัน ดื่มไวน์กับลุงหน่อย” เมื่อหลงเซิ่งเห็นสีหน้าผิดปกติของสองพ่อลูกก็รีบพูดเปลี่ยนบรรยากาศทันที
หลงยี่ไม่กล้าพูดแทรกตามอำเภอใจ เลยทำตามคำสั่งของพ่อรีบยกแก้วไวน์ขึ้น “ลุงรอง หลงเซียว หลงจื๋อ พวกเรามาดื่มกันเถอะ”
หลงจื๋อยกแก้วไวน์ชนกับหลงยี่ จากนั้นก็สังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของพี่ใหญ่อย่างละเอียด
“อืม” หลงเซียวตอบรับ แล้วยกแก้วไวน์ขึ้น แต่ยังคงวางบนริมฝีปากไม่ดื่มจริง
“พรุ่งนี้เสี่ยวจื๋อไปต่างประเทศ หลงยี่ นายไปส่งเขาที่สนามบินหน่อยสิ พวกนายสองคนจะได้พูดคุยเรื่องมอบหมายงานระหว่างทางกันด้วย” หลงถิงพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
หลงจื๋อขี้เกียจโต้เถียง “พ่อครับ พรุ่งนี้ให้คนขับรถไปส่งก็พอแล้ว หรือพี่ใหญ่ไปส่งก็ได้ เที่ยวบินของผมคือตอนเช้า พี่ใหญ่ไปส่งผมแล้วค่อยไปบริษัทก็ยังไม่ส่ายใช่ไหมครับ?”
เขาไม่ค่อยอยากให้หลงยี่ไปส่ง และไม่ชอบอยู่ด้วยกันตามลำพังด้วย เพราะอยู่กับพี่ใหญ่มานานมากแล้ว มาตรฐานความฉลาด และอารมณ์ด้านต่างๆเลยพัฒนาขึ้น ดังนั้นสองคนนี้เลยแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!
หลงเซิ่งหัวเราะฮ่าฮ่า “เสี่ยวจื๋อ พี่ใหญ่ของนายทำงานยุ่ง หากไปส่งนายแล้วไปบริษัทอีก เขาคงเหนื่อยแน่เลย เดียวฉันไปส่งนายเองนะ?”
หลงจื๋อเผยสีหน้าหม่นหมองขึ้น และไม่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพึงพอใจว่า “พี่หลงยี่จะเข้ามาทำงานที่บริษัท MBK แล้ว แล้วพี่จะไม่ทำงานหรอ? พี่ใหญ่ทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อบริษัทจนเหนื่อย แต่พี่หลงยี่กลับดูไม่เครียดเลยนะครับ”
หลงถิงมองบนใส่เขา และพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคมว่า “เสี่ยวจื๋อ ทำไมพูดกับพี่หลงยี่แบบนั้นล่ะ? เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของพวกเรานะ”
หืม!
ตั้งใจเน้นย้ำคำว่า พวกเรา อยากพูดอะไรหรอ?
หลงเซียวมองดูนาฬิกาข้อมือเล็กน้อย “เสี่ยวจื๋อ ทำตามที่พ่อสั่งเถอะ พวกคุณกินกันต่อเถอะครับ ผมมีธุระต้องกลับบริษัทก่อน”
พูดจบหลงเซียวก็ลากเก้าอี้ออกเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมเหลือบมองหลงถิงเล็กน้อย
เป้าหมายของหลงถิงบรรลุแล้ว เลยไม่ยื้อให้อยู่ต่อ “ในเมื่อมีธุระก็กลับไปทำงานเถอะ”
“พี่ใหญ่ ผมเองก็กินอิ่มแล้วเหมือนกัน งั้นผมกลับกับพี่นะ ที่บริษัทยังมีงานอีกนิดหน่อยที่ต้องจัดการ”
หลงจื๋อรีบเช็ดริมฝีปาก แล้วรีบลุกขึ้นเดินตามหลงเซียวไป
“ฮ่าฮ่า เสี่ยวจื๋อ นายเป็นเลขาจริงหรือเปล่า? เขาเดินหนึ่งก้าว นายก็เดินหนึ่งก้าวด้วย” หลงเซิ่งพูดหยอกล้อขึ้น
หลงจื๋อไม่สนใจคำพูดประชดประชันของเขา แต่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พี่ใหญ่เป็นแบบอย่างของผม พี่ใหญ่ไม่เพียงมีความสามารถด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังปฏิบัติต่อคนเก่งมากด้วย ได้ติดตามพี่ใหญ่ผมสามารถเรียนรู้ได้หลายอย่างเลย”
หลงเซียวเหลือบตามองประเมินบุคคลทั้งสามที่นั่งบนเก้าอี้ โดยเฉพาะหลงถิงที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
จากนั้นหลงเซียวก็ติดกระดุมหนึ่งเม็ดบนชุดสูท
“ไปกันเถอะ พี่ใหญ่ พวกเรากลับกันเถอะ” หลงจื๋อหยิบกุญแจรถยนต์ แล้วเดินออกไปเลยทันที
หลังจากที่พวกเขาไป บรรยากาศของภัตตาคารก็เงียบสงบทันที
หลงเซิ่งจ้องมองหลงถิงที่มีสีหน้าขุ่นเคือง และพูดขึ้นว่า “หลงถิง ดูเหมือนหลงถิงกับหลงเซียวจะสนิทสนมกันมากเลยนะ ถึงแม้พวกเขาไม่ได้มีแม่คนเดียวกันก็ตาม ฮ่าฮ่า แต่ดูสนิทสนมใช้ได้เลย พวกเขาเป็นพี่น้องที่ดี ต่อไปคงทำงานกันอย่างสามัคคี แล้วคุณยังกังวลเรื่องบริษัท MBK จะไม่พัฒนาอีกหรอ? ฉันว่าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”
หลงยี่พูดขึ้นว่า “ลุงรอง ผมคิดว่า ในอนาคตหลงเซียวกับหลงจื๋อต้องทำงานกันอย่างสามัคคีแน่ครับ หลงเซียวเป็นผู้ใหญ่ทำงานเก่ง ส่วนหลงจื๋อถึงแม้อายุน้อย แต่ติดตามเรียนรู้กับหลงเซียวแบบนี้ อนาคตคงสดใสมากแน่เลยครับ”
หลงถิงแสร้งยิ้มเล็กน้อย “บนโลกนี้ไม่มีอะไรคาดการณ์ได้ พวกนายคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงหรอ?”
“ลุงรองพูดแบบนี้หมายความว่าอะไรครับ?” หลงยี่หันหน้ามองพ่อ แล้วหันหน้ามองหลงถิงอีกครั้ง
“เอาล่ะ อาหารก็กินอิ่มแล้ว ละครก็แสดงจบแล้ว กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกันเถอะ” เหมือนเขาไม่ค่อยอยากพูดสักเท่าไหร่
หลงยี่เพิ่งคลี่ปากยิ้มอย่างผ่อนคลายสักที พร้อมกับถือแก้วไวน์สองมือ แล้วก้มโค้งคำนับ และพูดว่า “ลุงรอง วันนี้ต้องขอบคุณคุณมากๆเลยนะครับที่คุณตักเตือนหลงเซียวด้วยตัวเอง ต่อไปเขาคงไม่กล้าวางอำนาจในบริษัทกับผมแล้ว ลุงรอง ไวน์แก้วนี้ผมขอดื่มขอบคุณคุณครับ”
หลงถิงไม่ยกแก้วไวน์ขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความผิดหวังเล็กน้อย “หลงยี่ นายอายุมากกว่าหลงเซียวสามปี ตอนนี้เขาปีนป่ายบนหัวของนายแล้ว แต่นายกลับให้ฉันมาช่วยนายในเวลาจำเป็นอีก เมื่อไหร่กันที่นายจะสามารถช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้?”
หลงยี่รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อนใจว่า “ลุงรองวางใจเถอะครับ ครั้งนี้ผมจะทำอย่างเต็มที่ ผมจะไม่ยอมทำพลาดเหมือนครั้งที่แล้วแล้ว! สองโครงการของบริษัท ผมจะดำเนินการอย่างดี รับประกันว่าคุณจะต้องพอใจอย่างแน่นอน!”
หลงเซิ่งเองก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “หลงถิง เมื่อก่อนเขาไม่เคยก้าวก่ายการบริหารของบริษัทเลย ตอนนี้เพิ่งเสร็จสิ้น และทุกด้านล้วนยังไม่ค่อยชำนาญ เลยหลีกเลี่ยงทำผิดพลาดไม่ได้ ต่อไปฉันจะคอยดูเขาเอง อสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหลงต้องให้คนตระกูลหลงทำงานถึงจะทำด้วยใจ นายว่าจริงไหม?”
คนนอกคนนี้สร้างความลำบากใจต่อหลงถิง เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
อันที่จริงหลงเซียวก็คือคนนอก ต่อให้หลงยี่เป็นคนไม่ดี แต่เขาคือคนของตระกูลหลง!
บนรถยนต์ หลงเซียวขับรถ ส่วนหลงจื๋อนั่งข้าง
“พี่ใหญ่ ผมรู้สึกมึนงงจริงๆ คุณลุงกับหลงยี่ให้พ่อดื่มยากล่อมประสาทอะไรกัน ทำไมตอนนี้พ่อเอาแต่เชื่อฟังคำพูดของพวกเขา พี่ไม่รู้ ตอนอยู่บ้าน พ่อเอาแต่เรียกหลงยี่เข้าห้องทำงาน คงอยากสอนงานเขาตามลำพังมั้ง”
หลงเซียวเหลือบมองเล็กน้อย “เขาคงอยากให้หลงยี่รับผิดชอบงานหนึ่งโดยลำพังมั้ง”
“ทำไมหรอ? เมื่อก่อนพ่อไม่เคยสนใจพวกเขาสองคนเลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเป็นแบบนี้!”
หลงจื๋อพูดด้วยความคับอกคับใจ พร้อมระบายความในใจพูดออกมา
“พรุ่งนี้นายก็จะไปอเมริกาแล้ว เรื่องพวกนี้นายไม่ต้องคิดมากหรอก ทำใจให้สบาย ไม่ต้องรับรู้อะไรดีที่สุดแล้ว” หลงเซียวจับพวงมาลัยรถ พร้อมเพิ่มความเร็วขับตรงที่ตึกบริษัท MBK เพราะเป็นตึกสูงตระหง่านฟ้าที่สุด เลยสามารถมองเห็นจากที่ไกล แม้รอบบริเวณจะมีตึกอยู่ด้วยก็ตาม
“ถึงแม้ผมจะไป แต่พี่ยังอยู่ พี่ใหญ่ ต่อไปหลงยี่ต้องรายงานการทำงานกับพี่ทุกวัน พี่อย่าเอือมระอาล่ะ” หลงจื๋อเผยสีหน้าจริงจังพูดหยอกล้อขึ้น
“ฉันไม่มองเขาหรอก” หลงเซียวตอบกลับ
“โอเค คิดเสียว่าเขาไม่มีตัวตน!”
เมื่อถึงบริษัท หลงเซียวก็จอดรถลง แล้วปลดเข็มกลัดนิรภัยออก แต่เมื่อเห็นหลงจื๋อยังนั่งนิ่งไม่ขยับก็พูดขึ้นว่า “ลงจากรถเถอะ”
หลงจื๋อหัวเราะแห้งๆ “พี่ใหญ่ อันที่จริงผมไม่ได้อยากมาบริษัทหรอก ผมแค่หาข้ออ้างเท่านั้นแหละ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ปล่อยผมแน่ เออ ผมสามารถยืมใช้รถยนต์ของพี่หน่อยได้ไหม? ผมอยากไปเจอแฟนสาว”
หลงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดว่า “ได้สิ พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว วันนี้ก็ทำให้เต็มที่เลย กินข้าวสักมื้อ อยากไปภัตตาคารไหนหรอ ใช้ชื่อของฉันจองได้เลย”
ภัตตาคารส่วนใหญ่ต้องมีการจองล่วงหน้า หากวันนั้นคิวไม่ว่าง แต่เมื่อมีชื่อของหลงเซียวลอยมา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ต้องยอมจัดการให้
หลงจื๋อยกนิ้วโป้งขึ้น “พี่ใหญ่รู้ใจผมจริงๆ! ผมอยากพาเธอไปภัตตาคารอาหารอิตาลีแถวถนนเฟิงเฉียว ฮ่าฮ่า แต่ว่าตารางจองของพวกเขายาวเหยียดถึงสัปดาห์หน้าแล้ว”
หลงเซียวหยิบกระเป๋าหนังออกมา แล้วหยิบบัตรทองออกมาใบหนึ่ง ข้างบนมีลวดลายซับซ้อน แถมมีลายเส้นเหลี่ยมรอบข้างด้วย ซึ่งมีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับด้วย “เอาบัตรนี้ไป นี่เป็นร้านค้าลูกโซ่ของตระกูลพวกเราสามารถใช้ตามอำเภอใจ ไม่ต้องจองล่วงหน้าด้วย”
“ว้าว!” หลงจื๋ออุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมกับยื่นมือหยิบบัตรใบนั้นด้วย แล้วมองประเมินอย่างละเอียด “จริงไหม พี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่าพี่จะพกบัตรแบบนี้ติดตัวด้วย? พี่หลงรักภัตตาคารนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?”
เขาจำได้ว่าในกระเป๋าหนังของพี่ใหญ่เขามีแต่บัตรทอง และบัตรดำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีบัตรแขกวีไอพีของภัตตาคารด้วย เกินความคาดหมายมาก!
“พี่สะใภ้ของนายชอบมาการองและพามีซานซีสไก่ทอดของร้านนี้มาก” เขาพูดอธิบายขึ้น
หลงจื๋อเข้าใจทันที “พี่ใหญ่ดีต่อพี่สะใภ้เกินไปแล้ว เพราะพี่สะใภ้ชอบกิน พี่เลยทำบัตรสมาชิกเลย แถมยังพกติดตัวด้วยหรอ? ผมต้องบอกพี่สะใภ้ให้รู้แล้วแหละ เธอต้องดีใจมากแน่เลย!”
หลงเซียวขมวดคิ้ว “บัตรสมาชิกของภัตตาคารเมืองหลวง ฉันแทบมีหมดเลย เพียงแต่บัตรภัตตาคารแห่งนี้ฉันต้องมี”
หมายความว่า ภัตตาคารอื่นเพียงแค่โทรแจ้งก็เรียบร้อยแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ของผมเป็นคนกินจุหรอ? พี่ถึงได้สมัครบัตรสมาชิกทุกภัตตาคารทั้งเมืองหลวง?” หลงจื๋อตกใจอึ้ง
หลงเซียวผลักเปิดประตูรถ แล้วเดินลงด้วยท่าทางปกติ แต่พกพารอยยิ้มเล็กน้อย ” เมื่อก่อนยังพอโอเค แต่ตอนนี้ต้องกินเยอะหน่อย พี่สะใภ้ของนายค่อนข้างเลือกกิน ฉันเลยต้องเตรียมทางเลือกให้เธอมากหน่อย เพื่อความสะดวกของเธอ”
หลงจื๋อเผยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย อะไรคือเมื่อก่อน ตอนนี้หรอ? ตอนนี้ทำไมหรอ?
เมื่อลงจากรถยนต์สักพัก โทรศัพท์ของหลงเซียวก็ดังขึ้น
ลั่วหานนั่งอยู่นอกห้องพักรักษา พร้อมกับเผยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ เพียงไม่นานก็มีคนรับสายโทรศัพท์ขึ้น
“ลั่วลั่ว คุณมีอะไรหรอ?”
หลงเซียวพูดพลาง เดินขึ้นบันไดพลาง
ลั่วหานสูบลมหายใจเข้าลึกๆ “ที่รัก พรุ่งนี้ให้แม่ใช้ยาเคมีรักษาโรคมะเร็งตัวใหม่นะ คืนนี้ให้เตรียมความพร้อมก่อน คุณหมอได้เริ่มให้น้ำเกลือแล้ว ตอนเลิกงานคุณมาหน่อยได้ไหม?”
“ได้ครับ เดียวผมจะรีบไปเลย” หลงเซียวเดินเข้าห้องโถง แล้วเข้าลิฟท์ ลั่วหานยกมือกุมหน้าท้อง ซึ่งบนหลังมือปรากฏเส้นเลือดปูดอย่างชัดเจน “ฉันจะรอคุณค่ะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจของเธอ หลงเซียวก็พูดปลอบใจว่า “ลั่วลั่ว อย่ากลัว พวกเราให้แม่ใช้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเรามีลูกน้อยช่วยให้กำลังแม่อยู่ด้วย เธอต้องไม่เป็นอะไร”
“ฉันรู้ค่ะ ตอนนี้ฉันไปดูแม่สักหน่อยนะค่ะ คุณมาตอนกลางคืนนะ พวกเราอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วยกัน” เมื่อลั่วหานเห็นหมอเดินออกมาก็คิดอยากวางสายไปดูสถานการณ์
“ครับ รอผมนะ คุณอย่าคิดมาก รอผมไปก่อนค่อยคุยกัน โอเคไหม?” หลงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนลื่นหูมา
“ค่ะ”
หลังจากวางสาย ลั่วหานก็เดินเข้าห้องผู้ป่วย หยวนชูเฟินกำลังรับน้ำเกลืออยู่ ก่อนได้รับการรักษาทางเคมีต้องได้รีบยาเพื่อเตรียมการก่อน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอมีอาการเหนื่อย และกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่
ลั่วหานเดินไปข้างเตียงของเธออย่างเงียบๆ แล้วยื่นมือดึงผ้าห่มมาห่ม หยวนชูเฟินมีสีหน้าไม่ดีเลย ริมฝีปากขาวซีด และผมยุ่งเหยิง
ลั่วหานหยิบหวีมาหวีผมของเธอ แต่เมื่อหวีสักพักก็เห็นเส้นผมพันกัน เธอคิดอยากจัดทรง แต่กลับผมว่าผมหลุดออกมาแล้ว
ลั่วหานเบิกตากว้าง และหวีอย่างเบาๆ ตามร่องหวีมีแต่เศษเส้นผมพันกันอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะมีมากขนาดนี้!