ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 642
ตอนที่ 642 มีญาติอยู่ ไม่สะดวก
ลั่วหานด่าไปท่อนหนึ่ง โม่หรูเฟยก็ไม่โวยวายต่อ
แต่ก็ยังคอยระวังลั่วหานอยู่ “เธอไม่ได้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านมสักหน่อย เธอรู้เหรอ?”
ลั่วหานหัวเราะ “ฉันไม่รู้? เธอรู้? ได้ เธอรู้เธอมาพูด ฉันฟัง”
โม่หรูเฟยกัดฟัน เธออยากพูด แต่เธอไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับด้านการแพทย์เหรอ ไม่รู้ด้วยซ้ำควรเริ่มตรงไหน อัดอั้นแล้วก็พูด “เธอพูดซิ นี่มันเรื่องความเป็นความตาย เธออย่าพูดไปเลื่อยนะ”
ใครกันแน่ไม่รู้เรื่องยังพูดไปเลื่อย
ทุกครั้งที่ติดต่อเธอก็ไม่เคยมีเรื่องดี
ลั่วหานพูดขึ้นอย่างมีเหตุมีผล “ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่โรงพยาบาล ดูรายละเอียดไม่ได้ เธอเล่าอาการคร่าวๆให้ฉันฟังหน่อย เอาไอคิวของเธอที่มีอยู่ เล่ามาอย่างละเอียด”
โม่หรูเฟยกัดฟันกระทืบเท้า ไอคิวที่มีอยู่? ดูถูกเธอว่าไอคิวต่ำชัดๆ “หมอบอกว่าเป็นระยะแรก เซลล์มะเร็งยังไม่ได้กระจาย หมอแนะนำให้ผ่าตัด แบบนี้จะได้ระงับการกระจายของเซลล์มะเร็งได้”
โม่หรูเฟยเอาคำพูดที่หมอพูด พูดอย่างละเอียดให้ลั่วหานฟังหนึ่งรอบ
ลั่วหานพยักหน้า ในใจพอรู้เรื่องแล้ว สูดอากาศเข้าลึกๆ คิดในใจว่า นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงหยิ่งยโสอวดดีอย่างเกาหยิ่งจือ กลายเป็นแบบนี้…..
“เซลล์มะเร็งไม่ได้กระจาย ก็แปลว่าเป็นเนื้องอกดี อย่าเพิ่งรีบผ่าตัด รักษาด้วยวิธีใช้ยาก่อน เธอฟังนะ…….”
โม่หรูเฟยไม่กล้าพูดอะไรอีก ตั้งใจฟังลั่วหานพูด ตอนนี้คำพูดของหมอศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เธอไม่กล้าสงสัย ยิ่งไม่กล้าพูดแทรก
“ถ้ารักษาด้วยการใช้งานก่อนก็จะรักษารูปลักษณ์ภายนอกและการใช้งานได้ปกติอยู่ แต่อาจจะจัดการกับเซลล์มะเร็งหมดไม่ได้ แต่เธอบอกเกาหยิ่งจืออย่ากลัว ตอนนี้แผนกเนื้องอกโรงพยาบาลหวาเซี่ยนำเข้าHalstedใช้ในการรักษา เป็นการรักษาที่ใช้กันระดับประนานาชาติ เพราะฉะนั้นก็วางใจรักษาในโรงพยาบาลหวาเซี่ย
โม่หรูเฟยเหมือนได้ดึงสายช่วยชีวิตไว้ไม่อยากปล่อยมือ “ถ้าอย่างนั้น……เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม?”
ลั่วหานหัวเราะ “ทำไม เธอกลัวเขาตายเหรอ? อยากให้เขามีชีวิตอยู่ช่วยเธอมารังแกฉันเหรอ? วิธีแบบเมื่อก่อนจะมาอีกรอบใช่ไหม? เหอะๆ รอบสองคงหนักกว่าเดิมซินะ?”
โม่หรูเฟยเหมือนถูกตบหน้ากลางอากาศ เจ็บปวดแสบร้อน “เธอด่าพอรึยัง”
ลั่วหานยืนอยู่ท่ามกลางสายลม ให้ลมพัดผ่าน สายตามองไปที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว “ลืมบอกเธอไป เครื่องมือและทีมแพทย์ด้านมะเร็งของโรงพยาบาลหวาเซี่ยนั้นเตรียมไว้ให้ผู้ป่วยวีไอพี ทั่วไปแล้วราคาก็สูงเป็นพิเศษ”
โม่หรูเฟยตกใจ เธอพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าไม่ยอมช่วย? ให้ความหวังเธอ แล้วก็ตบหน้าอย่างแรง
“เธอ……ไม่ยอมช่วยใช่ไหม? ก็ใช่นะ จากนิสัยเธอแล้ว ต้องใช้โอกาสนี้ให้พี่สาวฉันป่วยตาย แบบนี้ถึงจะสาแก่ใจเธอ”
บ้าเอ้ย
มาขอร้องคนอื่นยังพูดจาแบบนี้ ไสหัวไปเลย
“ถ้าคิดแบบนี้แล้ว ฉันก็ตามใจเธอนะ ฉันจะได้แจ้งผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลหวาเซี่ยตอนนี้เลย ให้พวกเขาลาพักร้อนได้สองเดือน สำหรับพี่สาวเธอจะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
จะแข่งความโหดใช่ไหม? ได้ มาเลย
“ฉู่ลั่วหาน พี่สาวฉันจะตายอยู่แล้ว เธอจะสะสมความดีหน่อยได้ไหม?” โม่หรูเฟยเหมือนรู้ตัวว่าพูดเกินไป รีบเปลี่ยนวิธีการพูด
สำหรับคำว่าสะสมความดีสำหรับลั่วหานแล้วไม่มีอะไร ยิ่งกับคนอย่างโม่หรูเฟย “ออ สะสมความดี? ตอนทำให้ฉันอยู่ท่ามกลางกองไฟเกือบโดนเผาตาย เธอทำไมไม่นึกถึงเรื่องสะสมความดีบ้าง? ยังมีพี่สาวเธอ ผลักฉันลงจากเหว คงคิดไม่ถึงซินะว่าวันหนึ่งจะต้องการความช่วยเหลือจากฉัน”
โม่หรูเฟยหันกลับไปมองห้องผู้ป่วย เกาหยิ่งจือกำลังทรมานอยู่กับอาการป่วยทางร่างกายและจิตใจ ตอนนี้เธอเหมือนสิ้นหวังกับชีวิตแล้ว อาจจากไปได้ตลอดเวลา
คิดไปคิดมา โม่หรูเฟยจึงยอมอ่อนลง “ฉู่ลั่วหาน ฉันหวังว่าเธอจะช่วยพี่สาวฉันด้วย ฉันรู้ว่าจากความสามารถของเธอในตอนนี้ ต้องหาหมอที่ดีที่สุดได้ เธอช่วยพี่สาวฉันด้วย”
คำพูดขอร้องคนอื่นพูดได้แข็งกระด้างขนาดนี้ ดีที่ลั่วหานรู้ว่าโม่หรูเฟยเป็นคนแบบไหน
ลั่วหานก็ไม่ใช่ไม่ยอมช่วย แค่อยากแกล้งโม่หรูเฟยเท่านั้น จับคิ้วแล้วพูดต่อ “คำพูดไร้สาระก็ไม่ต้องพูดแล้ว หมอจะช่วยเธอตรวจอาการเอง ใช้ยาควบคุมอาการไปก่อน ฉันเข้าไปพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้? คืนนี้ไม่ได้เหรอ? เธออยู่ไหน? ฉันไปรับเธอ” โม่หรูเฟยรอไม่ไหว เธอต้องรอถึงพรุ่งนี้เหรอ
ลั่วหานเรียนแบบน้ำเสียงของโม่หรูเฟยในครั้งนั้น พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อย “ฉันอยู่ในอ้อมกอดสามีฉัน พวกเราเตรียมตัวนอนแล้ว เธอจะมารับฉันเหรอ?”
โม่หรูเฟยพูดไม่ออก ใบหน้าเร่าร้อน “ถ้าเธอไม่สะดวกตอนนี้ ฉันก็ไม่รบกวนแล้ว ฉันรอเธอที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้เราค่อยคุยเรื่องวิธีการรักษา”
“เฝ้าเธอไว้ นิสัยเย่อหยิ่งอย่างพี่สาวเธอ คงไม่อยากให้คนอื่นรู้อาการป่วยของเธอ” ลั่วหานกำชับไปหลายคำ
โม่หรูเฟยตอบรับ
ใช่ จากนิสัยพี่สาวแล้ว จะให้ตัวเองป่วยเป็นโรคแบบนี้ได้ยังไง ถ้าหากต้องผ่าตัดออก เธอคงต้องคลั่งแน่นอน?
วางโทรศัพท์ลง โม่หรูเฟยกัดฟันด่าฉู่ลั่วหานไปสองคำ
ด่าเสร็จค่อยเข้าห้องผู้ป่วย
แน่นอน ผ่านไปยี่สิบนาทีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนกเนื้องอกก็เข้ามา พวกเขาทำการตรวจอย่างละเอียด วิจัยอาการป่วยของเธออย่างละเอียด และตัดสินใจแนวทางการรักษาในคืนนั้นเลย
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องให้โม่หรูเฟยกับเกาจิ่งอานทำอะไรเลย
เมื่อทีมแพทย์จากไปแล้ว เกาจิ่งอานก็ดึงโม่หรูเฟยออกจากห้องผู้ป่วย เขาพูดกับโม่หรูเฟยอย่างไม่เกรงใจ “เมื่อกี้เธอทำอะไรไป?”
โม่หรูเฟยรู้สึกกลัวเกาจิ่งอาน ทุกครั้งที่เขาจ้องตาดุใส่เธอ โม่หรูเฟยยังกังวลว่าจะมีดาบคมพุ่งออกมาจากตาเขา
โม่หรูเฟยกัดฟันรู้อย่างกลัวๆ “ฉัน……เมื่อกี้ฉันโทรหาฉู่ลั่วหาน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลหวาเซี่ย อีกอย่างเขารู้จักคนเยอะ”
“เหอะๆ” เกาจิ่งอานหัวเราะเย็นชาไปสองที รู้สึกว่าคนที่เห็นอยู่นี้เป็นปัญญาอ่อน
“เธอนี่เก่งจังเลยนะ เธอโทรหาเขา? ก็ไม่คิดดูว่าตัวเองเป็นใคร เธอทำเขาเกือบตายมาก่อน”
เกาจิ่งอานกำหมัดชกไปที่ผนัง เสียงดังก้องอยู่บนหัวโม่หรูเฟย โม่หรูเฟยตกใจ ร่างกายหดตัวลง
“เมื่อกี้ฉันคุยกับเขา เขาตอบตกลงแล้ว เขาบอกจะมาโรงพยาบาลพรุ่งนี้……ดูอาการให้พี่สาว” โม่หรูเฟยตาเบิกกว้าง เธอกลัวเกาจิ่งอานจะโมโหทุบหัวเธอแตก
เกาจิ่งอานกำมือแน่น สุดท้ายก็ไม่ได้ระบายความโกรธบนตัวโม่หรูเฟย
“ไป”
สิ่งที่เกาจิ่งอานตอบโม่หรูเฟยคือคำเดียวสั้นและเย็นชา เขาไม่อยากเห็นหน้าโม่หรูเฟยอีก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่สาวถึงโทรหาเธอ
“ได้ ฉันไป ไปเดี๋ยวนี้ พี่ดูแลพี่หยิ่งจือดีๆ อย่าให้เธอทำเรื่องโง่นะ” โม่หรูเฟยดึงกระเป๋าคล้องไหล่ ไม่กล้าอยู่ต่อ
……
พวกหลงเซียวเล่นไพ่นกกระจอกไปหลายรอบ กู้เยนเซินไม่ได้เอาคืนแม้แต่น้อย ก็เลยจบกันก่อนเวลา
อีกอย่างหลงจื๋อกับหลินซีเหวินต้องทำงานตอนเช้า กลัวตื่นเช้ามาค่อยกลับไปจะรีบเกินไป เพราะฉะนั้นก็ขับรถกลับไปก่อน
ทั้งสองมาที่คฤหาสน์แค่กินอาหารเย็น รวมกันแล้วไม่ถึงห้าชั่วโมง
รถขึ้นบนทางด่วน หลินซีเหวินยังสีหน้าข้องใจ “หลงจื๋อ คุณว่าคุณเป็นถึงประธานบริษัท คนอื่นเขาเป็นประธานไม่อยากทำงานก็ไม่ต้องไป ดีแค่ไหน ดูคุณซิ แค่เวลาทำงานยังเลือกไม่ได้”
หลงจื๋อขับรถไป หัวเราะไป “จะไม่ใช่ได้ยังไง คำถามนี้ผมเคยถามตัวเองหลายครั้งแล้ว ทำไม่เป็นหมอเหมือนกัน พี่สะใภ้พักผ่อนเที่ยวสนุกได้ คุณยังต้องกลับไปทำงาน?”
“นายผีบ้า คุณกล้าหัวเราะเยาะฉันเหรอ” หลินซีเหวินยืนมือไปหยิกหูหลงจื๋ออย่างแรง
“โอ้ย เจ็บนะที่รัก ด่าผมผีบ้าไม่เป็นไร แต่หูผมหยิกไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น อีกหน่อยก็ไม่ได้ยินเสียงอันไพเราะของคุณจะทำยังไง?”
หลงจื๋อเบ้ปาก ยิ้มอย่างหล่อเหลา และดูซื่อๆ
หลินซีเหวินสบถเสียง ปล่อยหูเขา “คุณชายจอมซวยบ้านคุณละ ยังมีเรื่องอีกไหม?”
“อืม ช่วงนี้บ้านผมไม่ค่อยสงบ เรื่องเยอะ ผมเครียดมาก ไม่อย่างนั้น คืนนี้ผมไปนอนบ้านคุณได้ไหม?” หลงจื๋อยิ้มจนตาหยี
“เหอะๆ ไม่ได้ ไม่สะดวก” หลินซีเหวินจับคางเขา คางได้รูปของเขายิ่งมีความเป็นผู้ชายยิ่งขึ้น
“ทำไมไม่สะดวก? ผมแค่นอนค้างคืนเดียว พรุ่งนี้เข้าก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อ ทันอยู่” หลงจื๋อฉวยโอกาสใช้คางถูมือเขา มือนุ่มของเธอน่าสัมผัส
หลินซีเหวินหัวเราะ “มีญาติอยู่ ไม่สะดวก”
“ญาติ? ญาติอะไร?”
หลินซีเหวินใช้ปากส่งจูบ “ญาติสนิทมาทุกเดือน คุณเข้าใจนะ”
“เหี้ย”
…….
ลั่วหานเล่าเรื่องอาการป่วยของเกาหยิ่งจือให้หลงเซียวฟัง หลงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง
“พรุ่งนี้คุณจะกลับโรงพยาบาล?” หลงเซียวฟังแล้วอาการตอบสนอง ไม่ค่อยดีนัก……บรรยากาศไม่ค่อยดี
ลั่วหานจับมือหลงเซียวเล่น สอดเข้านิ้วตัวเอง ดูแหวนบนนิ้วเขา “อืม ไม่ว่ายังไงก็เป็นพี่สาวของเกาจิ่งอาน ตอนนี้เกาจิ่งอานซื่อสัตย์กับคุณขนาดนี้ ฉันควรช่วยพี่สาวเขา”
หลงเซียวดึงหมอนออก ให้ลั่วหานหนุนอยู่บนอกเขา “เกาหยิ่งจือทำร้ายคุณขนาดนั้น ที่จริงแล้วผมไม่อยากให้คุณยุ่งเกี่ยวเรื่องของเขา”
ลั่วหานชิดเข้าไปในอกของเขา แนบชิดกับหัวใจเขาอย่างอบอุ่น “แต่คนเราก็ไม่ใช่นักปราชญ์ทุกคน ถ้าหากเขากลับตัวได้ละ? นี่อาจจะเป็นโอกาส”
เปลี่ยนเหรอ?
หลงเซียวไม่คิดแบบนี้
“สถานที่อย่างเรือนจำ บางคนเข้าไปแล้วจากขโมยเป็นคนดี แต่บางคนจากขโมยเป็นนักโทษฆ่าคน”
ลั่วหานหลับตา ซบอยู่กลางอกเขาพูดขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือนักโทษฆ่าคน หมอก็ไม่ช่วยไม่ได้—พรุ่งนี้พาฉันกลับไปนะคะ เราสองคนไปดูเธอหน่อย”