ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 651
ตอนที่ 651 จะไม่ดูถูกเครื่องแบบตำรวจเด็ดขาด
ลั่วหานไม่ได้ทำให้หลงเซียวผิดหวัง และเธอถูกบังคับให้ยอมร่วมมือในแผนการแรก ภายใต้เงื่อนไขว่าให้เธอออกมายังร้านอาหารใกล้ๆโรงพยาบาลก่อน จากนั้นทั้งสองก็รับประทานอาหารร่วมกัน
ลั่วหานกินไปมองดูเวลาไป “ที่รักคะ นี่ครึ่งชั่วโมงแล้วนะ คุณยังไม่กลับไปอีกเหรอ?”
หลงเซียวดื่มซุปและตักอาหารเข้าปาก เขาค่อยๆเคี้ยวแล้วบอกว่า “คุณภรรยาครับ การที่เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืนมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร คุณเป็นหมอนะ เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่รู้ได้ยังไง?”
ชิ!……ตาคนนี้!
ลั่วหานจับมือข้างซ้ายของเขา จากนั้นเคาะไปที่หน้าปัดนาฬิกา พูดว่า “เวลาคือชีวิตนะคะ เหตุผลง่ายๆแค่นี้คุณไม่เข้าใจเหรอ?”
หลงเซียวพลิกมือกลับแล้วจับมือเธอไว้แล้วบังคับให้เธอกินเนื้อเข้าไปชิ้นหนึ่ง “แต่คุณสำคัญกว่าชีวิตของผม”
ลั่วหาน “……”
หลงเซียวหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจแล้วถามว่า “ทำไมครับ? พูดไม่ออกแสดงว่าเห็นด้วยกับความคิดของผมใช่ไหม?”
ลั่วหานกลืนเนื้อชิ้นนั้นเข้าไป เมื่อเขามาไม้นี้ เธอคงต้องพูดเรื่องจริงจังกับเขาแล้วล่ะ “ที่รักคะ ฟางหลิงหยู้โทรมาหาฉัน”
บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที!
ผู้ชายตรงหน้าที่แสนอบอุ่นเมื่อครู่ กลายไปเป็นคนที่เยือกเย็นทันใด
“เมื่อไหร่?” แม้ว่าหลงเซียวจะโมโหมาก แต่เขายังเก็บอาการไว้อย่างดี
ฟางหลิงหยู้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
ลั่วหานตักอาหารใส่ปาก “ก็ที่ผ่านมาเร็วๆนี้แหละค่ะ เธออยากลากฉันเข้าไปช่วย”
แน่นอนว่าลั่วหานไม่กล้าบอกเขาว่าฟางหลิงหยู้รู้เรื่องราวต่างๆมากจริงๆ
การที่เธอรู้มากเกินไป ก็ควรทำให้เธออยู่เงียบๆเข้าไว้
“จะให้คุณร่วมมือกับเธอเพื่อล้มล้างตระกูลเสิ่น?”
“ค่ะ เธอมีความพยายามมากจริงๆ” ลั่วหานพูดด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่เหมือนกับกำลังชื่นชม
“เข้าใจแล้ว” หลงเซียวตอบกลับมาเพียงสามคำ
แต่การที่เขาบอกว่าเข้าใจแล้ว นั่นหมายความว่าเขาหมดความอดทนกับฟางหลิงหยู้แล้วจริงๆ
“คุณคิดว่าจะจัดการยังไงคะ? ปิดปากเธอ?”
ลั่วหานใช้ตะเกียบหยิบถั่วลันเตานมา แต่พลาดหลุดมือกระเด็นออกจากจาน
หลงเซียว “……”
ลั่วหานเป็นมองไม่เห็น และทำเป็นว่าหลงเซียวมองไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอหยิบใหม่แต่ก็หล่นดังเดิม
หลงเซียว “……”
ลั่วหานโมโหที่หยิบไม่ได้ จึงเปลี่ยนไปกินบร็อคโคลีแทน
หลงเซียวอยากหัวเราะออกมาแต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ เขาใช้ตะเกียบคีบถั่วลันเตาขึ้นมาวางไว้ในช้อนให้เธอ
ลั่วหาน “……”
หลงเซียวหยิบขึ้นมาอีกเม็ดที่สอง สาม สี่……คล้ายกับตั้งใจทำอย่างนั้น กระทั่งใส่เต็มช้อน
ลั่วหาน “……”
ต้องทำขนาดนี้หรือไง!
เมื่อหลงเซียวหยิบถั่วออกมาครบแล้วจึงพูดขึ้นว่า “สำหรับวิธีจัดการผู้หญิงอย่างฟางหลิงหยู้นี้ ก็เหมือนกับการที่กินถั่วลันเตานี่แหละครับ สำหรับคุณอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับผมมันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ผมจัดการเองได้ ภรรยาสุดที่รักของผมนั่งรอดูก็พอ”
เหอะๆ! ยังเสียดสีเธออยู่สินะ!
เขาหยิบช้อนยกขึ้นป้อนลั่วหาน พยายามบังคับให้เธออ้าปาก
ลั่วหานอ้าปากกินถั่วลันเตาเข้าไป
อืม รสชาติไม่เลวเลย!
“ค่ะ! ฉันจะรอดู!”
หลังรับประทานอาหารเรียบร้อย หลงเซียวก็รีบขับรถกลับไปยังบริษัทเพื่อประชุมในช่วงที่สอง
เขาคงไม่กล้าบอกลั่วหานว่า เพื่อให้อาหารมื้อนี้กินไปอย่างสบายใจเรื่อยๆ เขาได้ขับรถเร็วเกินกำหนดไปถึงสองครั้ง
หลังจบจากการประชุม หลงเซียวก็กลับมายังห้องทำงาน เขาดื่มกาแฟเข้าไปเล็กน้อยและต่อสายโทรศัพท์ถึงฟางหลิงหยู้
เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากหลงเซียว ฟางหลิงหยู้ก็รีบรับโทรศัพท์อย่างไม่ลังเลลง “หลงเซียวคะ……”
“คุณฟางหลิงหยู้ ยังจำคำพูดที่ผมพูดได้ไหม?””น้ำเสียงอันเยือกเย็นของเขาและท่าทางที่ไร้ความรู้สึกนั่นทำให้ฟางหลิงหยู้สั่นสะท้าน
“ฉันจำ……จำได้ค่ะ”
หลงเซียวลูบไปที่แหวนแต่งงานแล้วค่อยๆพูดออกมาว่า “ดีมากครับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมจะมอบภารกิจที่หนึ่งให้กับคุณ”
“ค่ะ คุณพูดมาได้เลย ฉันจะทำตามทุกอย่าง”
“ครับ”
——
ช่วงบ่ายลั่วหานไม่ได้นั่งออกตรวจ แต่เธอได้ชี้นำแนวทางให้แก่นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดหลายคนในห้องทำงานของเธอเอง เกี่ยวกับการทำการผ่าตัด
กินเวลาเนิ่นนานอยู่ครึ่งวัน ที่จริงเธอก็รู้สึกชื่นชอบในชีวิตวุ่นวายเช่นนี้ เธอชอบที่จะทำงาน การทำงานทำให้เธอมีความสุข ไม่รู้สึกน่าเบื่อ ไม่เรียบง่าย ที่สำคัญงานวุ่นแบบนี้ทำให้เธอไม่มีเวลามานั่งคิดไปในเรื่องไร้สาระ
หลินซีเหวินโบกไม้โบกมือและพูดว่า “ให้ตายเถอะ! เหนื่อยสุดๆเลย คุณหมอฉู่คะ ถ้าฉันรู้ว่าการที่ฉันพักผ่อนไปแค่ไม่กี่วันแต่กลับมาทำงานจะต้องเข้าห้องผ่าตัดติดๆกันแบบนี้ ฉันคงไม่ลาหยุดหรอกค่ะ”
วันนี้เธอยังเป็นรอบเดือนอีกด้วย ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุด
“ชีวิตหมอก็แบบนี้แหละค่ะ ทั้งปีก็วุ่นวายตลอดเวลา ชีวิตยังอีกยาวไกลนะคะ คุณทำตัวให้ชินก็พอ”
หลินซีเหวินที่นอนพิงอยู่บนโซฟาเปิดโทรทัศน์ดูแล้วพูดว่า “โอ้โห!พวกดารานี่ก็สุดยอดจริงๆ เพื่อเงินทองแล้วทำอะไรก็ได้ ดูสิๆ!นักแสดงหญิงคนนั้นใส่อะไรน่ะ เปิดข้างบนเปิดข้างล่างน่าเกลียดจริงๆ”
ลั่วหานมองดูแก้วน้ำร้อนใส่น้ำตาลแดงในมือของเธอ ก็หัวเราะแล้วถามว่า “วันนั้นของเดือนเหรอ?”
หลินซีเหวินพยักหน้าอย่างหมดแรง “อืม”
ลั่วหานนำมะนาวฝานแว่นใส่ลงไปในน้ำชาของเธอและถามว่า “เสี่ยวจื๋อส่งเธอกลับบ้านเหรอ?”
หลินซีเหวินหัวเราะเหอะๆแล้วบอกว่า “ใช่ เขาส่งฉันแล้วก็กลับไปเลย”
“หา! ดึกขนาดนั้นแล้วเขาขับรถไปส่งเธอเสร็จแล้วก็กลับบ้านตัวเอง มันไม่เหนื่อยไปหน่อยเหรอ?” เมื่อลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเขาต้องลำบากจริงๆ จากบ้านหลินซีเหวินกลับไปยังบ้านตระกูลหลงต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าเชียว
“ฉันให้เขากลับไปเองแหละ ฉันกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็มันไม่ค่อยสะดวกนี่นา เธอเข้าใจดีแหละ” หลินซีเหวินกระพริบตาและยิ้มขึ้น
ลั่วหานหัวเราะออกมาและพูดว่า “เธอนี่ลามกจริงๆ”
“จุ๊ๆๆๆ อย่ามาเป็นขำฉัน คุณฉู่คะคุณท้องได้สามเดือนแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ทราบว่าได้ให้ไอดอลของฉันปลดปล่อยบ้างหรือเปล่า! โถๆๆน่าสงสารไอดอลของฉันจริงๆเลย ต้องอดทนกินเจมาตั้งหลายเดือนแล้ว ไม่แน่นะถ้าอดทนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดาราสาวๆสวยๆเยอะแยะมากมาย ก็อาจจะเข้าหาเขาจริงๆก็ได้ พระมเหสีต้องคอยระวังนะเพคะ!”
หลินซีเหวินเครื่องดื่มในมือเข้าไปอีกอีกหนึ่งคำเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ลั่วหานขมวดคิ้วและคิดว่า……
สามเดือนแรกก็พ้นขีดอันตรายไปแล้วสิ เดี๋ยวก่อนนะ! นี่เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย!!!
“ตายแล้ว!”
หลินซีเหวินมองดูโทรทัศน์และอุทานออกมาเสียงดัง ลั่วหานตกใจและหันไปมองเช่นกัน
นักข่าวหญิงยืนถือไมโครโฟนด้วยสีหน้าเป็นกังวลและรายงานออกมาว่า “อาคารเจ็ดชั้นที่อยู่ด้านหลังดิฉัน ณ ตอนนี้ เป็นสถานที่กบดานที่ใหญ่ที่สุดของขบวนการผู้ค้ามนุษย์ แต่ตอนนี้ผู้ร้ายทั้งหมดได้หลบหนี……”
ขบวนการค้ามนุษย์?
ต่อจากนั้นภาพก็ถูกตัดไปที่สถานีตำรวจของเมืองหลวง
เจิ้งซิ่วหยา เฉินเจาและโจวจั่นถูกผู้คนล้อมเอาไว้ บรรดาผู้สื่อข่าวรุมเข้าไปสอบถามความคืบหน้า
“หัวหน้าเฉิน ในฐานะหัวหน้าทีม คดีร้ายแรงแบบนี้คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้คะ? ได้ยินกันมาว่าคดีในครั้งนี้การที่คนร้ายหลบหนีไปได้เพราะมีใครบางคนในกลุ่มพวกคุณละเมิดวินัย คุณจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรคะ?”
ลั่วหานมองไปยังเจิ้งซิ่วหยาที่ใส่หมวกและก้มหน้าเดินไปอย่างรวดเร็ว
เป็นคดีที่เจิ้งซิ่วหยารับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ?
เฉินเจาพูดออกมาว่า “ที่นี่คือสถานีตำรวจ ไม่ใช่สถานีโทรทัศน์ ทุกคนขอเชิญออกไปจากที่นี่ อย่ารบกวนการทำงานของเรา”
ผู้สืบข่าวฝ่ายกฎหมายไม่ยอมละทิ้งความพยายามของตน ถามต่อไปว่า “หัวหน้าเฉินคะ ความผิดพลาดในครั้งนี้จะทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างไรบ้าง?”
“คนร้ายที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจะแก้แค้นสังคมมากกว่านี้หรือเปล่า?”
“ณ เวลานี้การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมเกินกว่าเวลาปกติที่เคยวางแผนไว้ หัวหน้าเฉินคะ คุณกำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันใช่หรือไม่?”
หลินซีเหวินกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ไอ้พวกนี้นี่ปากดีกันจริงๆ เขาเป็นตำรวจนะ!ตำรวจก็ต้องพยายามจะแก้ไขคดีต่างๆอยู่แล้วสิ การแก้ไขคดีมันง่ายอย่างกับแก้ไขเสื้อกางเกงหรือไงกัน? ใครมันจะไปทำกันได้ง่ายๆล่ะ?”
ลั่วหานมองไปยังหลินซีเหวินแล้วพูดว่า “คุณหมอหลินคะ แต่ปากของคุณก็ดีกว่านักข่าวเยอะเลยนะเนี่ย!”
“เหอะๆ! ฉันก็แค่ยกตัวอย่างนั่นแหละค่ะ แค่ยกตัวอย่าง แต่ว่าคุณตำรวจเจิ้งก็น่าสงสารนะคะ เธอดำเนินการรับผิดชอบคดีที่มีความเสี่ยงแบบนี้ถ้าเป็นอันตรายถึงชีวิตขึ้นมาจะทำยังไง”
ลั่วหานมองเห็นเจิ้งซิ่วหยาที่เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปยังสถานีตำรวจโดยไม่หันหลังกลับมามองนักข่าวพวกนั้นแม้แต่น้อยแล้วพูดว่า “อาชีพทุกอาชีพล้วนมีความยากลำบากของมันเอง การเลือกตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ต้องพิจารณาตามสถานการณ์และความรับผิดชอบ”
แต่เธอรู้ดีว่าภายในใจเจิ้งซิ่วหยาตอนนี้น่าจะกดดันและอึดอัดมาก
“คุณหมอหลิน รีบไปเตรียมตัวเถอะ รายงานการตรวจสอบร่างกายของคนไข้หมายเลข 4 ออกมาแล้ว เขาจะทำการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ คุณลองดูนะ” หวาเทียนเคาะประตูและเดินเข้ามา
“คุณหมอหวาคะ!คุณดูเองไม่เป็นหรือไง?”
“คุณจะดูไหม?”
“เชอะ!”
……
ณ สถานีตำรวจเมืองหลวง
เฉินเจาปวดหัวอย่างมาก เขาสูบบุหรี่เข้าไปหลายตัวแล้วพูดว่า “เจิ้งซิ่วหยายา ตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วยคุณนะ แต่นักข่าวรู้แล้วคนก็จะรู้กันมากขึ้น ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้”
เจิ้งซิ่วหยาถอดหมวกออก เธอเข้าใจในความหมายนี้ดี เมื่อสักครู่ที่ห้องโถงเธอก็ถูกผู้อำนวยการตำหนิเข้าให้แล้ว วันนี้เธอปวดหัวมากจริงๆ
“ฉันรู้ดีค่ะ และฉันจะรับผิดชอบเองทั้งหมด ฉันมีวิธีอยู่บ้างแล้ว”
โจวจั่นเองก็ถอดหมวกออก จากนั้นเดินไปดื่มน้ำ เมื่อเขากดน้ำได้ครึ่งแก้วก็หันมาพูดว่า “ดื่มน้ำก่อน” แล้วส่งแก้วให้กับเจิ้งซิ่วหยา
โจวจั่นมองดูสีหน้าคร่ำเครียดของเธอแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เนื่องจากตอนประชุมนั้นเธอได้ถูกผู้บังคับบัญชาการตำหนิอย่างหนัก เขาเองก็อยากจะเข้าไปต่อยหน้าพวกนั้นจริงๆ
เจิ้งซิ่วหยาเปิดลิ้นชักออกมาและนำแฟ้มเอกสารสีดำยื่นส่งไปให้เฉินเจา “หัวหน้าคะ ฉันทำเมื่อคืนนี้คุณลองดูสิ”
เฉินเจารับไปและถามว่า “อะไรครับ?”
เมื่อเปิดออกดู เฉินเจาก็ตกใจอ้าปากค้าง
“คุณบ้าไปแล้วหรือไง?”
ตึง!!!
เฉินเจาโมโหและฟาดแฟ้มลงไปบนโต๊ะ เขาสีหน้าเคร่งเครียดและพูดออกมาว่า “ไม่!ผมไม่อนุญาต!”
เจิ้งซิ่วหยายื่นน้ำแก้วเมื่อสักครู่ให้กับเขาแล้วพูดว่า “หัวหน้าคะ ฉันคิดดีแล้ว!นี่เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดที่พวกเราทำได้ในตอนนี้ เนื่องจากพวกเราไม่มีข้อมูลของกลุ่มผู้ค้ามนุษย์ เลยพวกเราทำได้เพียงแต่ให้พวกเขามาติดเบ็ด”
“คุณบ้าไปแล้วหรือไง?คุณจะเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ?ถ้าหากว่าคนพวกนั้นมันจ้องเล่นงานคุณเข้า คุณจะเป็นยังไงผมก็ยังไม่รู้เลย”
โจวจั่นมองพวกเขาด้วยสีหน้ามึนงงและเปิดเอกสารนั้นดู “ไม่ได้นะครับ ทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด! จะให้คุณไปปลอมตัวเป็น……สาวขายบริการเหรอ!คุณ……ไม่ได้ไม่ได้!”
เจิ้งซิ่วหยารีบยืนยันความคิดของตัวเองว่า “ฉันคิดดีและฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นขอให้พวกคุณฟังความคิดเห็นของฉันและนี่เป็นความสามารถส่วนตัวของฉัน พวกคุณจำเป็นจะต้องให้ความสนับสนุน!”
เฉินเจาสบถออกมาว่า “แม่งเอ้ย!”
โจวจั่น…..
เจิ้งซิ่วหยารู้ดีว่าเขาจะสบถออกมาเรื่องอะไร
“หัวหน้าคะ ขบวนการค้ามนุษย์พวกนี้มักจะไปรับซื้อผู้หญิงมาจากร้านกลางคืนหรือผับบาร์ต่างๆ การที่ฉันปลอมตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จะทำให้พวกเขาไม่ทันได้ระมัดระวังตัว พวกเราจะต้องติด GPS บนตัวพวกเขาให้ได้ และฉันยินดีที่จะใช้ตัวเองเป็นเครื่องติดตามตำแหน่งของพวกเขา หากภารกิจไม่สำเร็จฉันจะไม่กลับมาอีก!”
เจิ้งซิ่วหยายกมือขึ้นทำการตะเบ๊ะอย่างสง่างาม
เฉินเจาหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งตัวและจุดมันขึ้น “เจิ้งซิ่วหยา คุณอย่าได้หวังไปเลย ชีวิตของตำรวจก็เป็นชีวิต คุณอย่ามาทำตัวเป็นฮีโร่ ผมไม่เห็นด้วย!”
“ผมก็ไม่เห็นด้วย!”โจวจั่นตะโกนออกมาจนเสียงแหบจากนั้นก็เงียบไป
เจิ้งซิ่วหยายืนยันความคิดของตัวเองและพูดว่า “หัวหน้าคะ ฉันเป็นตำรวจ! ตอนที่ฉันเข้ามารับหน้าที่นี้ฉันได้ปฏิญาณตนต่อหน้าธงชาติของเราว่า ฉันจะเป็นตำรวจของประชาชน ฉันขอสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อ……ไม่กลัวความลำบากไม่กลัวการเสียสละ จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศและของประชาชนอย่างเด็ดเดี่ยว และฉันจะไม่ทิ้งคำสาบานนั้นแน่นอน ฉันจะไม่ดูถูกเครื่องแบบตำรวจนี้!”