ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 688
ตอนที่ 688 ตั๊กแตนอยู่บนเชือก
จู่ๆฉู่ซีหรานรู้สึกถึงความรู้สึกหมดหวังขึ้น ไม่นานเธอก็ยิ้มประชดต่อจ้าวฟางฟาง “จ้าวฟางฟาง คุณคิดว่าฉันไม่รู้หรอว่าคุณคิดอยากพูดอะไร? อยากให้ฉันหย่าหรอ ฮ่าฮ่า หลังจากฉันจากไป เธอคงคิดจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในบ้านตระกูลเสิ่นใช่ไหม?”
จ้าวฟางฟางพูดประชดประชันขึ้น แต่เหมือนกับประชดประชันตัวเอง ขณะเดียวกันก็ประชดประชันฉู่ซีหรานด้วย เธอหันหน้ามองคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น สวนข้างนอกมีความหรูหรามาก มองจากข้างนอกแล้วรู้สึกว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่วิจิตรตระการตามาก แต่อันที่จริงแล้วข้างในสกปรกมาก คงมีเพียงพวกเธอสองคนที่เห็นได้ชัดเจน และเข้าใจมากที่สุด
“ฉู่ซีหราน อันที่จริงพวกเราสองคนเป็นคนโชคร้าย พวกเราสองคนถูกตระกูลเสิ่นทำร้าย คุณมองดูคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นสิ มันคุ้มค่าที่คุณจะอาลัยอาวรณ์หรอ?” จ้าวฟางฟางเผยสายตาเศร้าจ้องมองเธอ
ฉู่ซีหรานกอดอก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกขึ้นว่า “จ้าวฟางฟาง ฉันมองไม่ออกจริงๆว่า เธอมีเจตนาร้ายขนาดนี้ ทำไมหรอ? อยากร้องไห้ให้ฉันดูหรอ? ฉันขอบอกคุณเลยนะว่า น้ำตาของคุณไม่คุ้นค่าแม้แต่บาทเดียว เก็บไว้เถอะ ตอนที่คุณยอมแต่งงานกับตระกูลเสิ่นเพื่อเงิน คุณน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี
ฮ่าฮ่า เป็นโสเภณีแล้วยังบังอาจคิดสร้างบารมีให้กับตัวเองอีก เธอวาดฝันช่างสวยงามมาก
เธอเดินเข้ามาข้างหน้าทีละก้าว ส่วนจ้าวฟางทำได้เพียงถอยหลังทีละก้าว “ฉู่ซีหราน เธอจะหลงผิดจนลืมตัวจริงหรอ?”
ฉู่ซีหรานดึงแหวนแต่งงานออกมาจากนิ้วนาง แสงแดดส่งกระทบเพชรจนแสบตาฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันก็ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วย
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นฉันพูดตามตรงกับเธอก็แล้วกัน ฉันกับเสิ่นเหลียวมีใบจดทะเบียนสมรสก่อนแต่งงาน ถ้าหากฉันเสนอขอหย่า ฉันก็จะได้รับเพียงเงินค่าเลี้ยงดู ฮ่าฮ่าฮ่า เงินค่าเลี้ยงดูจะกี่บาทกัน? สิ่งที่ฉันต้องการคือตระกูลเสิ่น! ฉันอุตส่าห์อดกลั้นถูกดูถูกจนถึงตอนนี้ ดังนั้นฉันจะไม่ล้มเลิกอย่างง่ายดายหรอก! คนที่หลงผิดจนลืมตัวคือคุณต่างหาก ไม่ใช่ฉัน!”
จ้าวฟางฟางเบิกตากว้าง เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอก็เข้าใจทันที “ที่แท้คุณ….ก็เหมือนกับฉัน”
ฉู่ซีหรานรู้เรื่องมาตั้งนานแล้ว “ฉันรู้ เสิ่นคั่วใกล้เข้าโลงศพแล้ว และที่เขาต้องการกับคุณก็เพื่อประดับหน้าตาของตระกูล คุณคิดว่าเขาจะยกสมบัติครึ่งหนึ่งให้กับคุณหรอ?”
จ้าวฟางฟางรู้ดีว่าไม่มีทาง ดังนั้นเธอเลยทำได้เพียงรอคอย รอคอยให้อีแก่เสิ่นคั่วรีบตาย ขอเพียงเขาตาย เธอถึงจะสามารถได้รับสิ่งที่ต้องการ
ตอนนี้อานอานยังเด็กอยู่ ดังนั้นเธอไม่สามารถคาดหวังกับลูกชายมากเกินไป
ฉู่ซีหรานกระแอมเล็กน้อย ” เอาล่ะ หยุดจ้องมองฉันด้วยสายตาน่าสงสารได้แล้ว บนหน้าของฉันไม่มีเงิน”
เมื่อกี้จ้าวฟางฟางนึกว่าตัวเองสามารถพบจุดอ่อนของฉู่ซีหราน แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ ที่แท้เธอหาทางตันพบต่างหาก
ฉู่ซีหรานพูดขึ้นว่า “จ้าวฟางฟาง หากต้องการอยากได้สมบัติของตระกูลเสิ่น พวกเราสองคนต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเอง ของในมือของเธอและฉันตอนนี้สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตายได้ ดังนั้นต้องลงมือด้วยวิธีอื่นบ้าง อย่างเช่น ปรนนิบัติเสิ่นคั่วให้ดีขึ้นหน่อย”
หลังจากพูดถากถางเสร็จ ฉู่ซีหรานก็ลุกขึ้นเดินจากไป ขณะเดียวกันเสื้อหนาวและเส้นผมของเธอก็พริ้วตามสายลมอย่างสวยงาม
จู่ๆจ้าวฟางฟางก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง จนต้องไปพยุงจับรูปปั้นแกะสลักที่อยู่ข้างหลัง และพิงตัวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองล้มลง โดยที่เธอมีสายตาเหม่อลอย จนไม่สามารถโฟกัสสิ่งของบางอย่าง และรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนอยู่
——
ณ บริษัทเสิ่นซื่อ ห้องทำงานคณะกรรมหารบริหาร
“บ้าจริง! ใครทำ!”
เสิ่นเหลียวคว้าจับไอแพดที่ผู้ช่วยยื่นให้ แล้วเขวี้ยงแขนขว้างไอแพดทิ้งลงบนพื้นด้วยความโมโห เกิดเสียง “ตึง” ดังขึ้น ไอแพดถูกเขาขว้างทิ้งหน้าจอแตกกระจาย แต่รูปภาพยังคงปรากฏขึ้นอยู่
ข้างบนหน้าจอเป็นรูปภาพที่ชัดเจน นั้นคือรูปภาพของเขากำลังเรื่องไม่ดีไม่งามกับหญิงสาวไม่กี่คนอยู่
ผู้ช่วยตกใจจนไม่กล้าเดินออก และไม่กล้าก้มลงเก็บขึ้นมาด้วย แต่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ประธานเสิ่นครับ พวกเราได้ติดต่อกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ และทางสื่อข่าวแล้วด้วย แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมลบทิ้ง”
เสิ่นเหลียวเผยสีหน้าขาวซีด ขณะเดียวกันก็จับไม้เท้าด้วยมือสั่นเทา และจ้องมองรูปภาพด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นก็ยกไม้เท้าขึ้นออกแรงทุบบนหน้าจออย่างแรง”
“แครก!”
จากนั้นหน้าจอก็กลายเป็นสีดำ ซึ่งมีสภาพแตกกระจุยกระจายหมดแล้ว
ผู้ช่วยไม่กล้าทำอะไร และไม่กล้าส่งเสียงด้วย
เสิ่นเหลียวรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นสมอง จนรู้สึกเหมือนกับสมองจะระเบิด จากนั้นก็รู้สึกตาลาย เขาพยายามออกแรงพยุงตัวจับริมขอบโต๊ะ ซึ่งฝ่ามือกลับติดกับมุมบนโต๊ะพอดี
“ประธานเสิ่นครับ คุณเป็นยังไงบ้าง?” เมื่อผู้ช่วยเห็นสถานการณ์ผิดปกติก็รีบเดินเข้ามาช่วยพยุงเขา ตอนที่มือสัมผัสร่างกายของเขานั้นถึงจะรู้ว่า ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงมากเหมือนกับตะแกรง ดูเหมือนว่ากระดูกของเขาผิดตำแหน่งอย่างรุนแรงแน่ เลยไม่สามารถพยุงตัวเองได้
เสิ่นเหลียวเมื่อถึงวัยกลางคน นอกจากเรื่องขาเป๋ ร่างกายของเขายังถือว่าแข็งแรง
เพียงแต่….
ผู้ช่วยนึกถึงเรื่องที่เขาเคยเข้าคุก คุกไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย แต่…คิดไม่ถึงว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่เดือนจะทำให้คนทรมานถึงแบบนี้?”
ช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ
เสิ่นเหลียวหลับตาสูบลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆดึงสติกลับมา “โทรศัพท์หาสื่อข่าว ผมจะเจรจากับพวกเขาเอง!”
ผู้ช่วยพยุงเขาขึ้นมานั่ง เพราะกลัวเขาขาดสติสลบหมดสติไป
“ครับ คุณนั่งก่อนนะครับ คุณอย่าเพิ่งวู่วาม และอย่าโมโห ผมจะโทรศัพท์ตอนนี้เลย” ผู้ช่วยรินน้ำแก้วหนึ่งให้กับเสิ่นเหลียว แต่เขาไม่ดื่ม
โทรศัพท์ยังไม่โทรออกไป ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายนอกประตูขึ้น เป็นเสิ่นคั่วกับผู้ช่วยของเขาวิ่งเข้ามาในห้องทำงานของคณะกรรมการบริหาร เมื่อเอาไว้เท้าดันเปิดประตู และเดินเข้ามาก็ด่าทอทันทีว่า “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เสิ่นเหลียวมีดวงตาแดงก่ำ “พ่อครับ เรื่องนี้มีคนเล่นงานผมจากเบื้องหลังแน่เลยครับ เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว แล้วใครจะไปรู้ล่ะครับว่าจะถูกคนแอบถ่าย!”
ใช่ ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นยิ่งเสิ่นเหลียวคิดก็ยิ่งกลัวสุดขีด ที่แท้เขาถูกคนจับตาอยู่ มีคนต้องการเล่นงานจากเบื้องหลังอยู่ เพียงแต่เขาไม่รู้
คนๆนั้น…..
ตูม!
เสิ่นเหลียวเหมือนกับหัวสมองระเบิด เมื่อลองคิดดูแล้วก็พบว่า คนๆนั้นไม่ใช่ใคร ความเป็นไปได้ที่สุดคือไป๋เวย! นังผู้หญิงสารเลว!
เวลาถ่ายของรูปภาพเหล่านี้ล้วนเป็นช่วงเวลาที่หลังจากไป๋เวยเข้ามาใกล้ชิดเขา ผู้หญิงคนนี้วางแผนตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยเอามาใส่ใจ
ใช่ เป็นเธอ เธอแน่!
ตอนแรกเธอไม่กล้าเปิดโปง เพราะเธอเป็นแค่บุคคลธรรมดา ต่อให้เปิดโปงก็คงถูกเขาลบทิ้ง อีกอย่างเขาเป็นคนที่ตรวจสอบข้อมูลได้อย่าง่ายดาย และสามารถฆ่าเธอได้อย่างง่ายดายด้วย
ซึ่งตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว
เสิ่นเหลียวถูกโจมตี จนริมฝีปากขาวซีดและสั่นเทา “ผมรู้แล้ว ผมรู้แล้วเป็นใคร บ้าจริง ผมควรยิงเธอให้ตายตั้งนานแล้ว! ผมควรฆ่าเธอให้ตายตั้งนานแล้ว!”
เสิ่นคั่วยังคงรอเขาตอบว่าเรื่องนี้ตกลงเกิดอะไรขึ้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาอย่างไม่มีหลักการ ทำให้เสิ่นคั่วยิ่งโมโห
“ตอบคำถามของฉัน!”
บนใบหน้าของเสิ่นเหลียวเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูด ซึ่งเส้นเลือดบนหน้าผากปูดชัดจนเหมือนกับมีงูเลื้อยอยู่ และสามารถผุดออกมาจากผิวหนังได้ทุกเวลาอย่างนั้น
“พ่อครับ ผมจะส่งคนจัดการไป๋เวยให้เรียบร้อยครับ ข้อมูลนี้เป็นของเธอครับ ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังเธอต้องเป็นหลงเซียวแน่ ตอนนี้หลงเซียวกำลังเผชิญหน้ากับข่าวด้านลบ และมีโอกาสพลาดโครงการของเมืองเจียงเฉิง ดังนั้นเขาคงอยากดึงผมก่อนตาย และดันหลงเซียวขึ้นมา บ้าจริง!”
เสิ่นเหลียวโกรธจนระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ น้ำเสียงเลยยิ่งคมเข้ม และหลังมือมีเส้นเลือดปูดขึ้นอย่างชัดเจน
ผู้ช่วยโทรศัพท์หาสื่อข่าวแล้ว จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับเสิ่นเหลียวอย่างระมัดระวัง “ประธานเสิ่น ติดแล้วครับ คุณจะรับสายไหมครับ?”
เสิ่นเหลียวจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยดวงตาแดงก่ำ ซึ่งบนหน้าจอปรากฏเป็นประธานของสื่อข่าวที่มีอิทธิพลแห่งหนึ่ง โดยที่ก่อนหน้านี้ระหว่างพวกเขาเคยเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ดังนั้น…..
เสิ่นเหลียวหลับตาลง และปฏิเสธ
“รับสายไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เขาคงอยากให้ผมตายในมือของหลงเซียว ตอนนั้นผม…..” เมื่อพูดถึงพูดถึงเรื่องตัวเองลงมืออย่างรุนแรงในตอนนั้น เสิ่นเหลียวก็ไม่พูดต่อ
เสิ่นคั่วรออยู่สักพักใหญ่ แต่กลับไม่ได้ยินคำตอบที่ตัวเองต้องการ เมื่อครุ่นคิดสักพักก็คิดว่า หากต้องการรับผิดชอบความผิดตอนนั้นใยตอนนี้คงส่ายไปแล้ว งั้นรีบคิดหาวิธีการแก้ไขตอนนี้ดีกว่า!
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเสิ่นคั่วก็ดังขึ้น สายตาขุ่นเคืองของเขาหายไป และหยิบโทรศัพท์ออกมา พบว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเจิ้งเฉิงหลิน แค่โทรมาสายเดียวก็ทำให้เสิ่นคั่วยืนไม่มั่นคงเหมือนกัน
“ใครหรอ?”
“คนที่สามารถทำให้แกตายจนไม่รู้ว่าตายยังไง” เสิ่นคั่วกัดฟันด่าทอขึ้น จากนั้นก็สูบลมหายใจขึ้น แล้วรับสาย
“ผู้อำนวยการเจิ้งครับ ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมถึงมีเวลาว่างโทรศัพท์มาหาผมล่ะครับ?” เสิ่นคั่วเปลี่ยนสีหน้าขึ้น แล้วพูดกับเจิ้งเฉิงหลินอย่างเกรงอกเกรงใจ
ภายในห้องทำงานของเจิ้งเฉิงหลิน บนหน้าจอโน็ตกำลังแสดงข่าวของเสิ่นเหลียว ตอนที่เปิดข่าวนึกว่าตัวเองเปิดเข้าในเว็บไซต์ผิดกฎหมายแล้ว
“ฮ่าฮ่า คณะกรรมการบริหารเสิ่นครับ คุณนี่ใจเย็นดีนะครับ แล้วไม่ทราบว่าเรื่องที่ถูกเปิดโปง คุณจะอธิบายกับผมยังไงหรอ? เป็นแค่การเข้าใจผิดหรอ? ถูกใส่ร้ายหรอ? หรือว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงระหว่างนักธุรกิจด้วยกันหรอ?”
เจิ้งเฉิงหลินพูดประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ จนเสิ่นคั่วคิดแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่ได้แล้ว เลยทำได้เพียงพูดอย่างหน้าด้านว่า “ผู้อำนวยการเจิ้งครับ เป็นเพราะในตอนนั้นไม่รู้ความเลยถูกคนอื่นหลอก มีคนคิดเล่นงานเขาเบื้องหลัง พวกเราจะต้องสืบให้ได้ครับ!”
เจิ้งเฉิงหลินหัวเราะฮ่าฮ่า ตอนนี้เขามีโอกาสตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเสิ่นแล้ว ซึ่งรูปภาพเป็นตัวพลิกสถานการณ์ “คุณเสิ่นครับ ดูเหมือนจะพูดอะไรก็คงพูดไม่ขึ้นแล้ว เพราะเรื่องที่คุณเสิ่นเหลียวมีความสัมพันธ์ไม่เหมาะสมกับเหล่าหญิงสาวเป็นความจริง”
เสิ่นเหลียวเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก และพูดขึ้นว่า “ผู้อำนวยการเจิ้งครับ คุณคิดว่าเราควรจัดการเรื่องนี้ยังไงครับ?”
เจิ้งเฉิงหลินส่ายมือพูดว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณถามผมคงถามผิดคนแล้วล่ะ ผมเป็นแค่พนักงานราชการตัวเล็กๆ เป็นคนรับใช้ของประชาชน เรื่องธุรกิจของพวกคุณผมไม่สนใจครับ”
เขาพูดว่าไม่สนใจแล้ว นั้นหมายถึงว่าไม่สามารถแทรกแซงแล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าปล่อยบริษัทเสิ่นซื่อตามน้ำ
แบบนี้หรอ?
เสิ่นคั่วส่ายมือต่อคนที่อยู่ในห้องทำงานให้พวกเขาออกไปก่อน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ผู้อำนวยการเจิ้งครับ คุณพูดแบบนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนั้นตระกูลเสิ่นของพวกเราให้อะไรคุณ คุณคงไม่ลืมใช่ไหมครับ? พวกเราเป็นเหมือนตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกด้วยกัน หากบริษัทเสิ่นซื่อถูกโค่นล้ม หมวกข้าราชการที่อยู่บนหัวของผู้อำนวยการเจิ้งก็คงไม่สามารถสวมได้นานเหมือนกันครับ”
เจิ้งเฉิงหลินจ้องมองลูกสาว แล้วกัดฟันพูดว่า “ข่มขู่ผมหรอ?”
“คงไม่เรียกว่าข่มขู่ครับ เพียงแต่เมื่อเจอวิกฤติ พวกเราต้องสามัคคีเดินหน้าถึงจะถูกต้องครับ”
เสิ่นคั่วเป็นใคร? เขาล้มลุกคลุกคลานในวงการธุรกิจมาหลายปี ดังนั้นเลยมีประสบการณ์ที่โชกโชน
เจิ้งซินกำหมัดอย่างแน่น และทุบลงบนโต๊ะหนึ่งที “พ่อค่ะ เสิ่นคั่วกล้าข่มขู่พวกเราหรอ ฉันต้องให้คนสั่งสอนสักหน่อยแล้ว”
“พูดจาเหลวไหล! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสร้างศัตรูกับตระกูลเสิ่น หากเขาโจมตีกลับ ถึงตอนนั้นพวกเราคงแย่แน่”
เจิ้งเฉิงหลินวางโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกปวดหัว
เจิ้งซินหัวเราะอย่างมั่นใจ “ไม่แน่เสมอไป มีอีกคนที่สามารถทำให้เสิ่นเหลียวหุบปาก และปกป้องพวกเรา”
เจิ้งเฉิงหลินเบิกตากว้างและซักถามขึ้นว่า “ใครหรอ?
“หลงเซียว