ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 793
ตอนที่ 793 วนไปวนมา สุดท้ายก็มาบรรจบกัน
เขายังจำได้ดีเมื่อ 30 ปีก่อน
มีอยู่คืนหนึ่งส้งชิงเซวี๋ยนกำลังหลับสบายแต่ก็ต้องลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากเฉียวจื้อ
“มาได้ยังไง มีอะไรหรือเปล่า?”
“ชิงเซวี๋ยน พวกเราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”
ส้งชิงเซวี๋ยนที่กำลังอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นคิดว่าเขาบ้าไปเสียแล้ว “พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน?ป่วยหรือไง มานี่เดี๋ยวจะฉีดยาให้”
เฉียวจื้อส่ายหัว “ชิงเซวี๋ยน พวกเรารู้จักกัน กระทั่งเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตาย บอกตรงๆว่านี่มันเป็นพรหมลิขิต”
ชิงเซวี๋ยนฟังแล้วตกตะลึง “ละเมออยู่หรือไง?”
“เหอะๆก็จริงอยู่ ฉันอาจจะพูดอะไรไร้สาระไป เอาล่ะไม่รบกวนเวลานอนแล้ว ฉันกลับล่ะ”
ส้งชิงเซวี๋ยนไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
หลังจากนั้นไม่นานตระกูลมู่ก็เกิดเรื่องขึ้น
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลมู่ เพื่อนสนิทอีกสี่คนก็กระจัดกระจายคล้ายกับระเหยไปท่ามกลางโลกนี้
ไม่กี่ปีต่อมาส้งชิงเซวี๋ยนก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
“ผมเอง”
ส้งชิงเซวี๋ยนอยากจะซัดคนในสายให้เป็นชิ้นๆ เขาด่าทออยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามว่าเรื่องของตระกูลมู่เกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่
เขารู้จักเฉียวจื้อมาไม่ใช่วันสองวันแล้วแม้เขาจะเป็นนักธุรกิจ แต่ก็โดดเด่นในด้านวิชาการ เขาเป็นคนยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าๆอีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์
“ไม่ใช่ฉัน ไม่เกี่ยวกับฉันเลย ฉันแค่กลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เดียวกันจึงไม่อยากโผล่หน้าไปไหนอีก ได้แต่คอยระมัดระวังตัว แกเองก็คอยระวังตัวไว้ด้วย”
คำอธิบายของเขามีเหตุมีผล ในเวลานั้นส้งชิงเซวี๋ยนจึงได้เชื่ออย่างไม่ลังเลและให้เขาดูแลภรรยากับลูกให้ดี
ในตอนนั้นเฉียวจื้อมีลูกชายที่ยังไม่เต็มสองขวบอยู่หนึ่งคน หน้าตาน่ารักมาก
เฉียวจื้อตอบกลับไปว่า “พวกเราสบายดี ตอนนี้ลูกชายเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว พวกเราไม่มีปัญหาอะไร”
“แกจะกลับมาอีกไหม หรือจะหายไปแบบนี้?”
“ไม่กลับแล้ว เรื่องของเส้าเอินทำให้หัวใจฉันสลาย เอาตามนี้แหละ ฉันไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจอีกต่อไป ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายดีที่สุด”
เขายังจำได้ดีว่าเสียงของคนปลายสายในวันนั้นโศกเศร้าเพียงใด
“ชิงเซวี๋ยน ทำเหมือนว่าฉันตายไปแล้วได้ไหม ไม่ต้องพยายามตามหาฉันและอย่าติดต่อมาหาฉันอีกนอกจาก นอกจากสถานการณ์บีบบังคับจริงๆ ถือว่าฉันขอร้องแกแล้วกัน”
เนื่องจากคำว่าขอร้อง โทรศัพท์เบอร์นี้ส้งชิงเซวี๋ยนจึงไม่ได้โทรไปอีกเป็นเวลายี่สิบกว่าปี แต่เขากลับท่องจำมันได้ขึ้นใจ ชนิดที่ว่าไม่อาจลืมได้
แม้จะเคยคิดว่าเขาคงเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังเล็กๆน้อยๆอยู่ เนื่องจากเขายังไม่เคยลืมความรู้สึกในตอนนั้น มันยังอบอุ่นอยู่ในใจเสมอ
เพียงแต่ว่า เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ส้งชิงเซวี๋ยนคิดว่าเขาควรจะลองโทรไปดีหรือไม่
แต่การโทรไปในครั้งนี้กลับทำให้ส้งชิงเซวี๋ยนคล้ายตกลงไปในเหว
ถังจิ้นเหยียนคิดว่าส้งชิงเซวี๋ยนวางสายไปแล้ว แต่เมื่อเขาดูบนหน้าจอปรากฏว่ายังอยู่ในสายจึงได้ถามอย่างใจเย็นว่า “ศาสตราจารย์ส้งครับ”
ส้งชิงเซวี๋ยนเช็ดน้ำตาที่หัวตาของเขา “ผมฟังอยู่ พูดสิ”
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อืมไม่เป็นไรฉันจะเป็นอะไรไปได้ สบายดีซะด้วยซ้ำ ว่าแต่พ่อของคุณเป็นยังไงบ้าง” ส้งชิงเซวี๋ยนพยายามเก็บความรู้สึกไว้ในใจแล้วพูดออกมา
“เขายังอยู่ในอาการโคม่าต้องคอยสังเกตอาการ”
ถังจิ้นเหยียน……
เขาคือตุ๊กตาตัวน้อยในตอนนั้น ผ่านมาหลายปีแล้วรูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไป อีกทั้งเด็กคนนี้หน้าตาไม่เหมือนกับเฉียวจื้อ ทำให้มองไม่ออก
ส้งชิงเซวี๋ยนจะคิดอย่างนั้นได้อย่างไร?
“เอ่อ ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองด้วยนะ……”ส้งชิงเซวี๋ยนกล่าวซ้ำไปซ้ำมา
จนกระทั่งวางสายลง ถังจิ้นเหยียนยังคงนั่งงงอยู่ที่บันได ดวงตาทั้งคู่ของเขาเหม่อลอย
เฉียวจื้อคือถังจงรุ่ย ถังจิ้นเหยียนคือลูกของเฉียวจื้อ
โชคชะตาหมุนวนไปมาทำให้พวกเขาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอีกครั้ง พวกเขา……กลับมาข้องเกี่ยวกันอีก
ส้งชิงเซวี๋ยนถอดแว่นตาออกจากนั้นใช้แรงขยี้ไปที่ตา เขาพูดไม่ออกถึงความรู้สึกในใจตอนนี้
ณ บริษัทฉู่ซื่อ เมืองหลวง
ลั่วหานสิ้นสุดการประชุม แอนดี้กำลังจัดเรียงรายงานการประชุมและจี้ตงหมิงกำลังรายงานความคืบหน้าของโครงการเมืองเจียงเฉิงแก่เขา
เมื่อยื่นเอกสารให้หลงเซียวแล้ว จี้ตงหมิงก็ยิ้มอย่างสะใจว่า “เจ้านายครับ ในครั้งนี้คุณนายจัดการกับตู้หลิงเซวียนได้เด็ดขาดจริงๆ โครงการชานเมืองหลวงยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็มีชื่อเสียงแล้ว ตอนนี้เป็นประเด็นร้อนแรงในอินเทอร์เน็ต”
หลงเซียวมองดูเอกสารแล้วเซ็นชื่อลงไป “แค่มีชื่อเสียงไม่พอหรอก โครงการวิลล่าชานเมืองหลวงนั้น หากทำได้สำเร็จ ตู้หลิงเซวียนจะเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลักในเมืองหลวงโดยตรง สิ่งที่เขาต้องการก็คือกลืนส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฉู่ซื่อ”
จี้ตงหมิงพยักหน้า “เป็นไปได้ครับ เนื่องจากความทะเยอทะยานของตู้หลิงเซวียนเหมือนกับพวกหมาป่า แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินทุนที่จะแข่งขันกับเขา แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”
หลงเซียวหยิบเอกสารปกสีดำออกมาจากกองเอกสารแล้วพูดว่า “ดูนี่สิ”
เมื่อพูดจบ กู้เยนเซินก็เดินเข้ามาพอดี “คุณชายหลงตามหาผมอยู่เหรอ?”
หลงเซียวพยักหน้าแล้วบอกว่า “อ้าวมาได้จังหวะพอดี คุณกับอาหมิงดูด้วยกันนะดูเสร็จแล้วให้คำติชมกับผมด้วย”
กู้เยนเซินยื่นมือออกไป “ขอให้ผมฉบับหนึ่ง”
“มีเพียงฉบับเดียว ดูด้วยกันนะ” หลงเซียวพูดออกมาอย่างเรียบง่าย
กู้เยนเซินกระแอม “พ่อมหาเศรษฐี คุณจำเป็นต้องประหยัดขนาดนี้ด้วยเหรอ?ก็แค่พิมพ์ออกมาอีกฉบับหนึ่งจะทำให้ยากจนกว่านี้หรือไง?เอาเถอะๆดูด้วยกันก็ได้!”
ขณะที่เขากำลังบ่นอยู่นั้น หลงเซียวก็มองมาด้วยสายตาเยือกเย็น
ทั้งสองคนก้มหน้าดูเอกสารนั้น เมื่อเปิดออกดูจึงเข้าใจว่าเหตุใดจึงมีเพียงฉบับเดียว
เนื่องจากแผนการออกแบบทั้งหมดนี้หลงเซียวเขียนออกมาด้วยมือของตัวเอง……
เอกสารมีอยู่หลายหน้า สัญลักษณ์และลวดลายดูสะอาดตาเหมือนงานฝีมือ
“คุณชายหลง คุณจะต่อสู้กับเสือหรือไง? ด้วยปืนหนึ่งด้ามและม้าตัวเดียวเนี่ยนะ?” กู้เยนเซินตกตะลึง หลังจากที่อ่านกลยุทธ์ของหลงเซียว มันซับซ้อนเกินไปเขาไม่เข้าใจ
จี้ตงหมิงไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขารอคำชี้แจงจากเจ้านาย
“ถูกต้อง ประมาณที่คุณชายกู้พูดนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เพียงม้าหนึ่งตัวและปืนหนึ่งด้าม การลงทุนในภาคเอกชนและการระดมทุนเป็นวิธีจัดหาเงินทุนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดสำหรับผู้บริโภคทั่วไป”
หลงเซียวพูดไปพลางเดินออกจากโต๊ะทำงาน “ตู้หลิงเซวียนใช้เงินสามหมื่นล้านหยวนไหลเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นอาคารสำนักงานพาณิชย์ก็ไม่เป็นไร แต่นี่คือวิลล่าระดับไฮเอนด์ ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับผู้ขายและการลงทุนนั้นใหญ่มาก ราคาต่อหน่วยของวิลล่าสูงขึ้นทำให้ราคาบ้านสูงขึ้นตามไป”
“ก็ใช่ แต่การลงทุนในภาคเอกชนจำเป็นต้องมีกรอบทางการเงินที่เป็นรูปเป็นร่าง ถ้าอยู่ๆคุณเดินเข้าไปเขาจะสนใจดูแลคุณเหรอ?” กู้เยนเซินถามคำถามของเขาออกมา
“หนังสือสัญญา! การนำเงินไปลงทุนหุ้นต้องดูอัตราส่วนดีๆ เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากปฏิเสธ” หลงเซียวยิ้มอย่างหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นคำถามก็คือ คุณจะเอาหุ้นมาจากมือตู้หลิงเซวียนได้อย่างไร?”กู้เยนเซินนั่งบนโซฟาแล้วเอ่ยถาม
หลงเซียวพูดว่า “ผมจะเล่าเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีชายหนุ่มคนหนึ่งฐานะยากจนผิวพรรณขาวผ่อง ต้องการสมัครเป็นผู้ช่วยธนาคารแล้วอ้างว่าเป็นลูกเขยของบิลเกตส์ เมื่อผู้จัดการธนาคารได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงได้ตอบตกลงไป หลังจากนั้นเขาไปหาบิลเกตส์ เพื่อแสดงตัวว่าตนคือผู้จัดการธนาคาร อยากจะรู้จักกับลูกๆของเขา คิดว่าบิลเกตส์จะปฏิเสธเขาไหม?”
จี้ตงหมิงมองไปยังกู้เยนเซิน กู้เยนเซินมองไปทางหลงเซียวแล้วพูดว่า “พูดมาตั้งนาน ต้องการจะแอบอ้างผู้อื่นเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สินะ”
หลงเซียวหัวเราะ
จี้ตงหมิงลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วพูดว่า “ผมจะรีบไปจัดการทันที”
กู้เยนเซิน “……”
ทั้งสองคนออกไปจากห้องทำงาน แอนดี้ก็เดินเข้ามา
หลงเซียวมองดูนาฬิกา ยังไม่ถึงเวลาประชุมช่วงต่อไป “มีอะไรเหรอ?”
แอนดี้ชี้ไปที่ด้านนอกแล้วพูดว่า “ท่านประธานคะ ศาสตราจารย์ส้งมาค่ะ อยู่……”
หลงเซียวยังไม่ทันนั่งลง ขาเรียวยาวของเขาก้าวออกไปยังด้านนอก “ทำไมไม่เชิญเขาเข้ามา?”
แอนดี้จึงได้มีโอกาสพูดว่า “ศาสตราจารย์ส้งรออยู่ที่ห้องโถงชั้นล่างค่ะ เขาไม่ยอมขึ้นมา บอกให้คุณลงไปค่ะ”
“โอเคผมรู้แล้ว”
หลงเซียวกดไปที่ลิฟต์ VIP และลงไปที่ชั้นล็อบบี้อย่างรวดเร็ว
ส้งชิงเซวี๋ยนนั่งอยู่บนโซฟาบริเวณโต๊ะประชาสัมพันธ์ ร่างกายเขาผอมซูบมาก โซฟาขนาดใหญ่แบบนี้ทำให้ขาวยิ่งดูผอมอย่างกับตะเกียบ
“คุณลุงส้งครับขอโทษทีที่มาสาย”
ส้งชิงเซวี๋ยนมองดูเขาแล้วทำท่าปาดน้ำตา “ลุงไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า ไม่สายหรอก”
“คุณลุงส้งเดินทางมาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” หลงเซียวไม่ได้นั่งลง เนื่องจากว่าหากเป็นเรื่องธรรมดาเขาคงไม่มาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง หากมีเรื่องพิเศษก็ไม่เหมาะสมที่จะสนทนากันที่นี่
“มีปัญหานิดหน่อย สะดวกไหมไปหาที่นั่งคุยกัน?”
ส้งชิงเซวี๋ยนทำท่าจะลุกขึ้นมา หลงเซียวใช้มือทั้งสองข้างไปประคองเขาไว้ ในตอนที่มือของเขาสัมผัสเข้ากับแขนของชายชราคล้ายกับสัมผัสเข้ากับกระดูกที่อยู่ในเสื้อ
“สะดวกครับ ผมจะขับรถไปเอง คุณลุงส้งอยากไปที่ไหน?”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง รถโรลส์-รอยซ์คันหนึ่งก็ตรงมาจอดที่หน้าโรงน้ำชา
ภายในโรงน้ำชานั้นเงียบสงบและดูสง่า ในห้องVIPให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของลูกค้ามาก คนด้านในพูดอะไรคนด้านนอกจะไม่ได้ยิน
หลงเซียวชงชาเหมาเจียนให้ส้งชิงเซวี๋ยน ในถ้วยชงชาอันใสมองเห็นใบชาถูกแบ่งออกเป็นสองชั้น ดอกตูมและดอกบานลอยแยกกัน
ส้งชิงเซวี๋ยนจิบชาลงไปแล้วพูดว่า “หลงเซียว อยากรู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าคนในรูปภาพนั้นคือใครบ้าง?”
คิ้วคมเข้มของหลงเซียวขมวดขึ้น “อะไรนะครับ?”
ส้งชิงเซวี๋ยนรินน้ำชาออกมา เสียงของน้ำไหลประกอบกับชาอันใสแจ๋ว ทำให้บรรยากาศดูเงียบขึ้น “ในวันนี้ลุงจะบอกให้คนหนึ่ง”
เขายื่นแก้วน้ำชาไปให้หลงเซียวลองชิม
“ใครกันครับ?”
ส้งชิงเซวี๋ยนเสียงถอนหายใจออกมา “อันที่จริงลุงไม่ควรจะบอก แต่เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว ลุงควรจะพูดออกมาดีกว่า ไหนๆก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน”
“ครับ”
หลงเซียวจิบชาแล้วมองไปยังเขา
ส้งชิงเซวี๋ยนเขย่าถ้วยน้ำชาไปมา “เฉียวจื้อ เขาเป็นคนที่แต่งงานและมีลูกคนแรกในบรรดาพวกเราห้าคน อายุเขามากกว่าพวกเรานิดหน่อย”
หลงเซียว “……”
“ในตอนนั้นลุงกับพ่อเราสนิทสนมกันดี รองลงมาก็คือเฉียวจื้อ แต่เขาเป็นคนไม่พูดมากและไม่ชอบเข้าสังคม ดังนั้นจึงมองเหมือนว่าเขาไม่ค่อยสนิทกับใคร”
ส้งชิงเซวี๋ยนคล้ายกับกำลังพูดคุยกับตัวเอง เขาดื่มชาเข้าไปและทุกคำที่ออกมาจากปากเขาคล้ายกับความหลังอันขมขื่น
“เฉียวจื้อ เป็นพวกคงแก่เรียนเขาค่อนข้างจะโง่และหลอกง่าย”
หลงเซียว “……”
ส้งชิงเซวี๋ยนดื่มชาคล้ายกับดื่มเหล้า เมื่อเขาดื่มหมดแก้วหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ลุงสูบบุหรี่ได้ไหม?”
หลงเซียวจุดไฟให้เขาด้วยตัวเองจากนั้นมองดูควันบุหรี่ที่ลอยไปทั่ว
ส้งชิงเซวี๋ยนนั่งพิงไปที่เก้าอี้จากนั้นพูดต่อไปว่า “ในตอนนั้นพ่อของเราเคยช่วยเขาเอาไว้ ตอนที่เฉียวจื้อลำบากที่สุดในชีวิต พ่อของเราให้เงินเขาก็หนึ่งไปตั้งหลัก ในตอนนั้นพ่อของเราคิดไปแล้วก็โง่จริงๆ ตัวเองก็ไม่ได้ใช่คนรวยแต่กลับไปเที่ยวยืมเงินทั่ว”
หลงเซียว “……”
“เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ก่อนที่พ่อของเราจะเกิดเรื่องขึ้น เฉียวจื้อเคยติดต่อมาหาลุงอยู่ครั้งหนึ่งจากนั้นก็……”
หลงเซียวพยักหน้า
“แม้ว่าลุงจะไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นะ แต่ตอนนี้มองแล้วเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมพ่อของเราแน่นอน บางทีเขาอาจจะกลัวที่ต้องกลายเป็นมู่เส้าเอินคนที่สอง จึงได้หลบหนีไป”
หลงเซียวสูทควันบุหรี่มือสองอย่างเงียบๆ “เฉียวจื้อ ที่คุณลุงพูดคือใครกัน?”
ส้งชิงเซวี๋ยนดีดขี้บุหรี่ทิ้ง มันกระจัดกระจายไปทั่ว “เจ้าตัวเล็กในตอนนั้นเติบโตแล้ว และกลายมาเป็นหมอที่คอยช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เหอะๆ และยังทำได้ดีอีกด้วย มีชื่อมีเสียงหน้าตาดี ทักษะดี จิตใจก็ดี”
หลงเซียวคิ้วขมวดขึ้นมากกว่าเดิม “คุณลุงส้งหมายถึง?”
“ถังจิ้นเหยียนคือลูกชายของเฉียวจื้อ เฉียวจื้อก็คือคนที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และอาการโคม่า ถังจงรุ่ย”