ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 794
ตอนที่ 794 ถอดอย่างไร ใส่อย่างนั้น
ความเงียบงันคล้ายกับตาข่ายปกคลุม จากเดิมโรงน้ำชาที่ดูอบอุ่นกับกลายเป็นแทบไม่มีอากาศระบาย
แก้วน้ำชาในมือของหลงเซียวหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ตาของเขามองไปที่ก้นแก้ว ภาพสะท้อนในแก้วน้ำชาเห็นเป็นใบหน้าของเขาจากนั้นเขาก็หลับตาลง
เขากลืนน้ำลายลงคอและยากที่จะบรรยาย
ส้งชิงเซวี๋ยนสูบบุหรี่เข้าไป จากนั้นพ่นควันสีขาวออกมาทางปากและจมูก “ถ้าคุณเดาถูกละก็ ถังจงรุ่ยได้เข้าร่วมในการฆาตกรรมด้วย เขาเป็นพวกเดียวกับหลงถิง”
หลงเซียวเงียบไปพักใหญ่ เขาดื่มน้ำชาที่เย็นชืด “ลั่วลั่วรู้เรื่องนี้ไหม?”
ส้งชิงเซวี๋ยนคาดไม่ถึงว่าเขาจะนึกถึงความรู้สึกของลั่วหานก่อนใคร ดังนั้นคำตอบที่เขาได้เตรียมมามากมายกลับไม่ได้ใช้เลย “เธอ……ยังไม่รู้ ถ้าเธอรู้คงไม่อยู่นิ่งแบบนี้”
หลงเซียววางแก้วน้ำชาลง นิ้วมือของเขาซีดขาว “ลั่วลั่วฉลาดเกินไป เรื่องนี้ปิดเธอไม่ได้แน่”
จากประสบการณ์เรื่องที่ถังจงรุ่ยประสบอุบัติเหตุ หลงเซียวก็ไม่กล้าที่จะมองข้ามความคิดวิเคราะห์ของลั่วหาน
ส้งชิงเซวี๋ยนนำมือลูบไปที่คิ้วอย่างปวดหัว “เสี่ยวลั่วลั่วน่ะ ถ้าเธอจะโง่สักหน่อยก็คงดี ที่จริงเป็นคนไม่ฉลาดก็ดีออก ทำไมถึงต้องเกิดมาฉลาดแบบนี้นะ ว่าแต่จะบอกกับเธออย่างไร?”
หลงเซียวเองก็ปวดหัวเช่นกัน
“หรือว่าจะให้ลุงพูดกับเธอเอง หรือจะเปลี่ยนวิธีการอย่างอื่น เช่นว่า เรายังไม่บอกว่าถังจงรุ่ยเป็นผู้ต้องสงสัย หรือว่า……เห้อ คิดวิธีอะไรไม่ออกเลย” ส้งชิงเซวี๋ยนสูบบุหรี่ที่อยู่ในมือจนหมดเหลือเพียงก้นบุหรี่
หลงเซียวนั่งหลังตรงแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมจะพูดเองครับ”
ส้งชิงเซวี๋ยนหยิบบุหรี่ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง “แต่ว่าเสี่ยวลั่วลั่วรู้สึกผิดต่อถังจิ้นเหยียนมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงหาวิธีชดเชยให้ถังจิ้นเหยียนเสมอมา หากเธอรู้ว่าถังจงรุ่ยเป็นศัตรูของตระกูลมู่ จะให้เธอเลือกยังไง?”
ส้งชิงเซวี๋ยนดีดขี้บุหรี่ในมือทิ้ง “อีกอย่างหนึ่ง ถังจิ้นเหยียนเป็นคนที่มีความกตัญญูกตเวทีมาก เขาเคารพพ่อของเขา เขาจะไม่ปล่อยพ่อเอาไว้คนเดียวแน่”
“ผมรู้ครับ”
ส้งชิงเซวี๋ยนคล้ายกับจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งเงียบไป เขาเอื้อมมือมาตบที่หลังมือของหลงเซียว “เดิมทีคิดว่าถ้าได้พบเข้ากับความจริงคงจะดี แต่ถ้ายิ่งรู้มากก็จะทุกข์มาก จริงไหม?”
หลงเซียวเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า “คุณลุงส้งหมายความว่าจะไม่ตรวจสอบแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ !ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ คนเลวที่ทำเรื่องผิดก็จะต้องได้รับกรรม หลงถิงเองไม่ใช่คนดีอะไร ถังจงรุ่ยก็……ก็ไม่แน่ หัวใจอยู่ในร่างกาย เรามองไม่เห็น ใครก็ไม่สามารถตัดสินใครได้หรอก”
หลงเซียวยิ้มอย่างขมขื่น “แล้วคุณล่ะ?”
ส้งชิงเซวี๋ยนตกตะลึง “เจ้าเด็กบ้านี่ กล้าสงสัยฉันหรือ?”
หลงเซียวตบลงไปที่บ่าของเขา “ไม่ล้อเล่นแล้วล่ะครับ ผมจะส่งคุณกลับไป”
ส้งชิงเซวี๋ยนรีบสูบบุหรี่ให้หมด “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ กลับไปที่บริษัทเถอะ”
หลงเซียวหยิบกุญแจรถแล้วลุกขึ้น “ที่จริงผมต้องการไปลั่วลั่วกลับบ้านครับ ก็แค่บังเอิญเป็นทางผ่าน”
ส้งชิงเซวี๋ยนตะลึงไปชั่ววินาที จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าเด็กนี่! ไปแสดงความรักกันต่อหน้าสื่อมวลชนก็พอแล้ว อย่ามาทำแบบนี้ต่อหน้าคนแก่นะ!”
หลงเซียวไม่ได้ปฏิเสธใดๆ “ยังไม่ไปเหรอครับ?”
“ไป!ไปๆๆ มีรถรับส่งฟรีไม่นั่งได้ยังไง?”
——
นิวยอร์ก
เจิ้งซิ่วหยาสวมใส่เสื้อผ้าของแม่ถัง แต่ว่าเสื้อผ้าตอนสมัยคุณแม่ยังสาวๆค่อนข้างจะเป็นผู้หญิงหวาน ชุดผ้าขนสัตว์ในฤดูหนาวมีลายดอกไม้สีชมพูอ่อน
แตกต่างกับสไตล์การแต่งตัวก่อนหน้านี้ของเจิ้งซิ่วหยาโดยสิ้นเชิง
เจิ้งซิ่วหยาดึงชายกระโปรงลงมาและเดินออกจากห้องน้ำอย่างไม่เป็นตัวเอง “เอ่อ……คือว่า สวย ไหมคะ?”
ถังจิ้นเหยียนเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาเดินลากกระเป๋าเดินทางมาเมื่อหันหลังกลับไปดูก็พบเจิ้งซิ่วหยาสวมชุดกระโปรงงดงามสีชมพู แทรกเข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของเขา ทำให้สายตาของเขารู้สึกตกตะลึง ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้คือ เด็กสาวผู้ทะมัดทะแมง เป็นม้าดีดกะโหลก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นองค์หญิงแสนน่ารัก!
หัวใจของถังจิ้นเหยียนสั่นไหว “สวยครับ สวยมาก”
เจิ้งซิ่วหยาเห็นดวงตาถังจิ้นเหยียนที่มองเธออย่างน่าทึ่ง เธอก็กระโจนเข้าไปกอดเขา “ที่แท้คุณชอบสไตล์นี้เหรอคะ?”
ถังจิ้นเหยียนถูกเธอกอดคอเอาไว้แน่นจึงทำได้เพียงมองหน้าเธอแล้วพูดว่า “คุณใส่มันได้พอดีเลย ผมคิดว่าจะใหญ่ไปซะอีก”
เจิ้งซิ่วหยาไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร เธอเพียงมองเข้าไปในตาของเขาแล้วพูดว่า “หัวใจคุณเต้นรัวไหมคะ อยากจะจูบฉันไหม?”
ถังจิ้นเหยียนกลืนน้ำลายอย่างแห้งผาก “พวกเราควรไปโรงพยาบาลแล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาไม่ฟัง “ลุงถัง ฉันสวยขนาดนี้ไม่อยากดูฉันต่ออีกสักพักเหรอคะ?”
ถังจิ้นเหยียนหน้าแดงเมื่อถูกเธอมอง “ซิ่วหยา เราควรไปกันได้แล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาทำหน้ามุ่ย “คุณจูบฉัน ก่อนแล้วเราค่อยไปกัน”
ถังจิ้นเหยียนพูดอะไรไม่ออก จึงทำได้เพียงจุมพิตเข้าที่หน้าผากของเธอเบาๆ “ไปกันเถอะครับ”
เจิ้งซิ่วหยาเอื้อมมือมาจับแก้มทั้งสองข้างของเขาไว้ จากนั้นประทับริมฝีปากของเธอเข้าอย่างจัง เธอใช้แรงในการจูบริมฝีปากของเขา และจงใจใช้ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปในปาก ปลายลิ้นของเธอว่องไวเหมือนงูที่คดเคี้ยวและเจ้าเล่ห์
ถังจิ้นเหยียนรู้สึกหลงใหลในความร้อนแรงของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะกอดเธอเข้ามาแล้วกลายเป็นผู้รุกแทน
ในที่สุดจูบอันยาวนานนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่หอบเหนื่อยแทบหายใจไม่ทัน เจิ้งซิ่วหยายิ้มอย่างพอใจว่า “ลุงถัง แบบนี้แหละถูกแล้ว ครั้งหน้าคุณจะเริ่มมันด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง แค่นี้ก็ไม่วุ่นวายแล้ว จะให้ฉันทำตัวเป็นจิ๊กโก๋อย่างนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ คุณเป็นผู้ชาย ไม่มีใครว่าคุณหรอก”
คำพูดของเธอทำให้ถังจิ้นเหยียนพูดอะไรไม่ออก “ผม……” ทำไม่ได้
“เอาเถอะค่ะเรารีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
ครั้งนี้ถังจิ้นเหยียนเป็นคนขับรถ ส่วนเจิ้งซิ่วหยาขึ้นรถไปได้ไม่กี่นาทีเธอก็หลับแล้ว ยังไม่ทันจะปรับท่านั่งให้มั่นคงทำให้ศีรษะของเธอโอนเอนไปทางซ้ายทีขวาที
ถังจิ้นเหยียนกลัวว่าศีรษะของเธอจะชนเข้ากับอะไร จึงได้ขับรถช้าและระมัดระวังที่สุด ตอนติดไฟแดงเขาจึงได้ปรับท่านั่งให้เธอเอนตัวลงครึ่งหนึ่ง
เมื่อท่าทางการนอนเข้าที่แล้ว เจิ้งซิ่วหยาก็หลับลึกอย่างสบายใจ
ถังจิ้นเหยียนเฝ้าดูเธอในช่วงที่ติดไฟแดง หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
เมื่อรถมาถึงโรงพยาบาล ถังจิ้นเหยียนไม่ได้ปลุกเธอแต่ทิ้งเธอไว้ในรถ เขาปรับอุณหภูมิและเปิดประตูออกก้าวลงจากรถ
ณ ห้องICU
“มิสเตอร์ถัง เราคิดว่าคุณจำเป็นต้องรู้ผลการทดสอบบางอย่าง” คุณหมอผมสีบรอนตาสีฟ้าทำสีหน้าเคร่งขรึม
“เชิญพูดครับ” ถังจิ้นเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆหลายครั้ง
“เส้นเลือดในสมองตรงกลางคุณพ่อของคุณแตก และเกิดการอุดตัน อาการหลังจากการผ่าตัดเกินกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้” หมอคนนั้นกระแอมอยู่ 2-3 ครั้ง จากนั้นยื่นผลการวินิจฉัยภาษาอังกฤษให้แก่ถังจิ้นเหยียนที่มีศัพท์ทางการแพทย์อยู่
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สมองของถังจิ้นเหยียนก็คล้ายกับถูกเชือกรัดเอาไว้ เขาตกตะลึงไปชั่วขณะเนื่องจากถูกคำศัพท์ทางการแพทย์นั้น ชวนให้ตกตะลึง ตาทั้งสองข้างของเขาเป็นสีเทามืดมน
“การอุดตันของเส้นเลือดหลัก อาการเบื้องต้นมีอยู่ 3 ประการคือ อาจเป็นอัมพาต ประสาทสัมผัสส่วนลึกถูกทำลาย หรืออาจเป็นอัมพฤกษ์ คนบนโลกใบนี้แตกต่างกันไป ในกรณีที่รุนแรงอาจเกิดการรบกวนทางเส้นประสาท หากเกิดการอุดตัน จะทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีกหรือพิการทางสมอง”
หลังจากที่แพทย์อธิบายให้ถังจิ้นเหยียนฟังแล้ว เขารู้สึกถึงบางสิ่งก้องอยู่ในหู ร่างกายของเขาเริ่มสั่น
“มีวิธีช่วยเหลือไหม?” น้ำเสียงของถังจิ้นเหยียนสั่นเครือ
“ในระยะแรกเราปรับความดันโลหิตของเขาก่อน จากนั้นจึงเข้ารับการบำบัดด้วยเรื่อยๆ เมื่อความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติเราตรวจสอบแล้วว่าพ่อของคุณสามารถรับUKได้ และยังสามารถผสมกับ plasminogen activator ชนิดเนื้อเยื่อได้”
“ถ้าระยะแรกไปได้ดีก็สามารถใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนได้ คิดว่าHeparin และ warfarinคุณคงคุ้นเคยกับมันดี”
ถังจิ้นเหยียนพยักหน้าด้วยความเศร้า “ครับผมรู้”
“ในระหว่างการผ่าตัดหัวใจก็จะใช้warfarinด้วย แต่หากไม่ใช่ผู้ป่วยกรณีพิเศษก็คงไม่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด”
แพทย์คนนั้นกล่าวขึ้นอีกถึงวิธีการรักษาบางอย่างว่า “แน่นอนว่าสามารถทำการผ่าตัดได้เช่นกัน แต่ไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดเนื่องจากในขณะนี้คุณพ่อพึ่งได้รับการผ่าตัด และตอนนี้ไม่สามารถรับได้กับการบีบอัดขยะในกะโหลกศีรษะ ทั้งอาจมีผลข้างเคียงสูง”
ถังจิ้นเหยียนแสดงท่าทีว่าเข้าใจ “ผมฝากคุณพ่อด้วยนะครับ”
มือของแพทย์คนนั้น ชี้ไปยังทีมแพทย์ที่ไม่หยุดนิ่ง “พวกเขาเก่งมากและหวังว่าจะช่วยให้พ่อของคุณฟื้นตัวได้ดี”
แพทย์คนนั้นเดินจากไป ภายในห้องพักผู้ป่วยมีเพียงเสียงลมหายใจของเขาเท่านั้นที่หนักอึ้งขึ้นทุกครั้ง
ถังจิ้นเหยียนกุมมือผู้เป็นพ่อเอาไว้ แล้วนำมาสัมผัสที่หน้าของตน น้ำตาไหลรินลงมาหยดลงบนหลังมือของพ่อ
เขาจำได้ว่าหลายปีมานี้เขาไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนพ่อเลย สถานที่ที่เคยให้สัญญาไว้ว่าจะไปก็ยังไม่ได้ไปสักที่ อีกทั้งคุยกันไว้แล้วว่าวันหยุดฤดูหนาวและฤดูร้อนจะพาทั้งครอบครัวไปพักร้อน
แต่ทุกครั้งที่พ่อของเขาปิดเทอมในฤดูร้อนและฤดูหนาวเขาก็มักจะยุ่งอยู่เสมอ
ต่อมาการที่เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลและมารวมตัวกับครอบครัวก็ยิ่งน้อยครั้งขึ้น
ภาพในความทรงจำของพ่อผมเริ่มหงอกขาว เขาไม่สามารถเอาชนะเวลาที่หมุนไปอย่างรวดเร็วได้
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าพ่อของเขาแก่แล้ว……
“ขอโทษครับพ่อที่หลายปีมานี้ผมไม่ได้ตอบแทนบุญคุณเลย”
ถังจิ้นเหยียนพูดเสียงต่ำ เจิ้งซิ่วหยายืนอยู่ที่ประตูอย่างเงียบๆ เธอไม่กล้ารบกวนบรรยากาศของพ่อลูกที่อยู่ด้วยกัน เธอทำได้เพียงเช็ดน้ำตาของตัวเอง
“ลุงถัง ฉันจะต้องสอบสวนความจริงให้ได้!ฉันจะไม่ยอมให้คุณลุงล้มไปแบบนี้แน่!”
———
ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย
เมื่อลั่วหานกลับมายังห้องทำงานแล้ว เธอก็กางประวัติคนไข้ออก มองดูเวลาก็พบว่าดึกแล้วในอเมริกา ถังจิ้นเหยียนน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่จึงไม่ได้โทรศัพท์หาเขา
เธอเปิดอินเทอร์เน็ตดูข่าวแต่ก็เหมือนไม่มีอะไรคืบหน้า ประเด็นนั้นเริ่มคลายลงแล้ว
ลั่วหานรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เธอเอนไปที่เก้าอี้อย่างนุ่มนวล และหลับตาลงสักครู่
แขนคู่หนึ่งที่อ่อนโยนโอบมารอบคอของเธอจากด้านหลัง ในขณะที่เธอกำลังหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ลมหายใจอุ่นๆพ่นมาที่คอของเธอจากด้านหลัง
ลั่วหานลืมตาขึ้น “มาได้ยังไงคะ?”
“มารับคุณกลับบ้านไง ผมเช็กตารางแล้วว่าคุณไม่มีธุระอะไรต่อ สามารถเลิกงานก่อนได้” หลงเซียวหยิบเสื้อคลุมที่เธอแขวนเอาไว้ออกมาแล้วให้เธอเปลี่ยนมัน
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ลั่วหานถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่ครับ” หลงเซียวไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเธอ เขาเอาเอื้อมมือมาแกะกระดุมชุดคลุมสีขาว
“เดี๋ยวก่อนค่ะประตู!”
“ล็อกจากด้านในแล้วครับ” หลงเซียวยิ้ม
“หน้าต่าง!”
“ปิดแล้วครับ”
เมื่อลั่วหานหันไปดูก็พบว่าเป็นเรื่องจริง ผ้าม่านถูกเขาดึงลงมาแล้วตอนนี้ในห้องเป็นเขตปลอดภัย เธอจึงกางมือออกให้เขาถอดและสวมเสื้อผ้าให้
หลงเซียวช่วยเธอถอดเสื้อคลุมสีขาวออก “คุณไม่กลัวว่าผมจะฉวยโอกาสถอดอีกสักชิ้นสองชิ้นเหรอ?”
หลังจากสวมเสื้อคลุมให้เธอ เขาก็เอื้อมไปหยิบผ้าพันคอมาไว้ในมือ
“ไม่ว่าคุณจะถอดยังไง คุณก็จะต้องใส่มันตามเดิม ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ?” ลั่วหานเงยหน้าขึ้นโดยไม่มีความเกรงกลัวและหยอกล้อเขา
หลงเซียวยิ้มอย่างขมขื่น “ถูกคุณมองออกจนได้”