ประธานหยิ่งยโสของฉัน - ตอนที่ 906
ตอนที่ 906 พี่ใหญ่ของนายฟ้องร้องพ่อของนาย
ณ สถานีตำรวจ
เพราะการมาของหลงเซียวทำให้ทั้งตึกเหมือนถูกแช่แข็ง เมื่อตำรวจยศน้อยที่มีประสบการณ์น้อยนึกถึงอำนาจบารมีของหลงเซียวต่างพากันไม่อยากสู้หน้า แต่ละคนแอบหลบซ่อนอยู่นอกประตู
เจิ้งซิ่วหยากับเฉินเจานั่งบนเก้าอี้เก้าตรงข้าม ทั้งสองคนเปิดถุงกระดาษด้วยสีหน้ากังวล ส่วนอีกคนไม่ได้เปิดถุงกระดาษ เพียงมองจากภายนอกก็ทราบได้ว่าเป็นสิ่งของอะไร
เฉินเจาหยิบกล่องบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาอัตโนมัติ และดึงบุหรี่ม้วนหนึ่งออกมา แล้วเงยหน้าเผลอมองหลงเซียวที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เขายกบุหรี่ในมือขึ้นด้วยท่าทางเก้อเขิน “ถ้าผมจะสูบบุหรี่ม้วนหนึ่งจับถือสาไหม?”
หลงเซียวพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เฉินเจามีท่าทางตื่นตระหนกจริงๆ คดีนี้ถูกปิดไว้นานมากแล้ว ในตอนนั้นถูกตัดสินคดีว่าเป็นคดีที่ยังปิดไม่ได้ เพราะครอบครัวที่พังพินาศ และเวลาที่ร่วงเลยผ่านทำให้ผู้คนลืมเลือน
อีกอย่างความจริงคืออะไร แทบไม่มีใครสนใจเลย
เหตุการณ์แบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่าสลดใจมาก
เฉินเจาจุดไฟบุหรี่ แล้วออกแรงสูบเต็มแรง จากนั้นก็เริ่มดูหลักฐาน
เจิ้งซิ่วหยาอ่านเอกสารทั้งหมดจนหมด แล้วสวมถุงมือสีขาวหยิบกล่องวางปืนขึ้นมา หลังจากนิ่งเงียบสักพักใหญ่ ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากพูดว่า “คุณหลงค่ะ คุณต้องแน่ใจนะคะว่า เป็นปืนของคุณหลงถิงจริงๆ”
ริมฝีปากอันเรียวปากของหลงเซียวยิ้มเย็นชาขึ้นเหมือนกับน้ำแข็งบนกระเบื้องที่แขวนในฤดูหนาว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคมว่า “แน่นอนครับ ผมมั่นใจ”
เจิ้งซิ่วหยากับเฉินเจาหันหน้าสบตากัน จากนั้นเฉินเจาก็อนุญาตให้เธอเปิด
“กระสุนของปืนกระบอกนี้เหมือนกับกระสุนที่พบในสถานที่เกิดเหตุในตอนนั้นจริงๆ” เจิ้งซิ่วหยาเอาปืนวางไว้ในถุงกระดาษเหมือนเดิม โดยที่ซองกระสุนว่างเปล่า และหลังจากผ่านการตรวจสอบพบว่าบนปืนมีรอยลายนิ้วมือของหลงถิง
หลงเซียวนั่งอกผ่ายไหล่ผึ่งบนเก้าอี้ โดยที่วางแขนบนที่รองแขนเก้าอี้ ขณะเดียวกันก็ลูบแหวนบนนิ้วมืออย่างเหม่อลอย
“ปัญหาอยู่ที่ ถึงแม้ปืนเป็นของหลงถิง แล้วจะพิสูจน์ว่าเขาเป็นฆาตกรยังไง? ในทุกปีปืนเกรดสินค้าเดียวกันส่วนใหญ่มีปืนหลายกระบองที่ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายตกอยู่ในมือของประชาชน ในตอนนั้นหลงถิงอยู่อเมริกา ดังนั้นการพกปืนถือเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ตอนนี้พบปืนแล้ว ถือว่าเป็นการซุกซ่อนอาวุธผิดกฎหมายเท่านั้น”
เจิ้งซิ่วหยาตั้งคำถามขึ้น เหมือนกับกำลังรายงานต่อเฉินเจา แต่อันที่จริงแล้วอยากจะให้หลงเซียวทบทวนอีกครั้ง
เฉินเจายังไม่ทันเอ่ยปากพูด หลงเซียวก็พูดขึ้นก่อนว่า “การกล่าวว่าเป็นการพกปืนผิดกฎหมายถือเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล แต่หากอยากพลิกสถานการณ์ พวกคุณควรจับกุมเขาตามกฎหมาย ส่วนขั้นตอน พวกคุณอยากสอบปากคำเรื่องอะไรก็ซักถามเขาได้เลย”
เฉินเจาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วสูบบุหรี่สุดกำลัง “ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ฐานะของคุณหลงถิงไม่ธรรมดา แถมตอนนี้เขายังอยู่โรงพยาบาล เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นถือเป็นเรื่องยุ่งยากมากที่ทางเราจะดำเนินการตามกฎหมาย”
หลงเซียวดึงมือที่ลูบแหวนออก แล้วหันหน้ามองเฉินเจาที่มีสีหน้าสงสัย และพูดว่า “หัวหน้าทีม คุณเป็นตำรวจ ผมคิดว่าคุณคงรู้ว่าควรทำยังไง”
เจิ้งซิ่วหยาปิดเอกสารลง “ศาลจะส่งหมายศาลถึงมือคุณหลงถิงในไม่กี่วันนี้แน่ค่ะ แต่….อย่างน้อยต้องรอเขาฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะเริ่มเปิดคดี”
“เข้าใจครับ”
เฉินเจาสูบบุหรี่ใกล้จะหมดแล้ว เขาเขี่ยหัวบุหรี่มอดดับ และพูดขึ้นว่า “คุณหลงครับ คุณฟ้องร้องคุณหลงถิง คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อม ไม่เช่นนั้นอาจถูกเขาเล่นงานแทน เพราะคดีนี้ผ่านไปนานมากแล้ว อีกอย่างหลักฐานในมือของคุณไม่เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นฆาตกรด้วย ถ้าหากการฟ้องร้องล้มเหลว จะส่งผลเสียต่อคุณเป็นอย่างมากนะครับ”
หลงเซียวเผยสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้น “อะไรนะครับ?”
เฉินเจาพูดอธิบายว่า “ผมไม่ได้อยากให้คุณล้มเลิกสืบหาความจริง ในทางกลับกัน หน้าที่ของพวกเราคือตามหาฆาตกรตัวจริง แต่คุณเองก็ต้องรู้ว่า ฐานะของคุณกับคุณหลงถิงไม่ธรรมดา การฟ้องร้องคดีครั้งนี้หากถูกเปิดขึ้นคงสร้างความสนใจต่อสังคมเป็นอย่างมาก และคงส่งผลกระทบต่อบริษัทMBKและบริษัทฉู่ซื่อไม่น้อยเลย”
“เรื่องนี้ผมรู้ดีครับ” หลงเซียวยังคงตอบอย่างนิ่งเฉย
เฉินเจาถอนหายใจยาวๆหนึ่งที “ในเมื่อคุณได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้ว พวกเราก็พร้อมให้ความร่วมมือสุดกำลัง หวังว่าคุณหลงจะสืบหาหลักฐานมากกว่านี้นะครับ ทางที่ดีที่สุดตามหาพยาน หากมีพยาน การตรวจสำนวนจะผ่านไปอย่างราบรื่นครับ”
“ครับ”
เมื่อพูดถึงพยาน หลงเซียวกับเจิ้งซิ่วหยาก็สบตากันเล็กน้อย
ถังจงรุ่ยที่ยังไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี…
เจิ้งซิ่วหยาเอาเอกสารฉบับหนึ่งยื่นให้กับหลงเซียวด้วยสองมือ “ฉันรู้ค่ะว่าคุณมีความรู้เรื่องขั้นตอนของศาลเป็นอย่างดี แต่ทางเราก็อยากเตือนคุณตามหน้าที่สักหน่อย”
“ขอบคุณมากครับ”
หลงเซียวยื่นมือรับเอกสาร แล้วกวาดตามองบนตัวอักษรเอกสาร เป็นรายละเอียดที่ถูกฟ้องร้องควรระวังในขั้นตอนการฟ้องร้องศาลและเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับการดำเนินคดี
แน่นอนว่า เขาไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้
ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่กี่คนที่อยู่นอกประตูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “หลงเซียวสมกับเป็นท่านเซียวจริงๆ นิ่งเฉยมาก!”
“พูดเหลวไหล เขาเป็นผู้มีอำนาจไม่เคยเห็นกันหรอ?”
หลงเซียวเปิดประตู มีตำรวจชั้นผู้น้อยไม่กี่คนหลบหลีกแทบไม่ทัน เลยทักทายกับหลงเซียวอย่างเก้อเขิน แล้วยิ้มแห้งๆ และพูดว่า “คุณหลง….สวัส สวัสดีครับ”
หลงเซียวกวาดตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เดินออกจากสถานีตำรวจด้วยท่าทางเมินเฉย
ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่กี่คนกุมหน้าอกที่หัวใจเต้นแรงตูมตาม “แม่เจ้า ตกใจหมดเลย! ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!”
ณ ห้องประชุม
เฉินเจาจุดไฟบุหรี่อีกม้วนหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาหลักฐานเจอ”
เจิ้งซิ่วหยาที่มีท่าทางเรียบร้อยรีบกลับมาอยู่ในท่าทางผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว เขาวางขาข้างหนึ่งบนเก้าอี้ และพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลมู่จะถูกหลงถิงฆ่า! ตอนที่ฉันฟังเขาพูดแบบนั้นเมื่อกี้ ฉันตกใจจนเกือบฉี่ราดออกมาแล้ว”
เฉินเจามองบนใส่หนึ่งที “เด็กผู้หญิง เวลาพูดระมัดระวังหน่อย!”
“ระมัดระวังอะไรกัน! ฉันพูดความจริง ฉันสืบคดีนี้มาไม่ใช่วันสองวัน แต่ไม่พบเบาะแสเลยสักนิดเดียว ตีฉันให้ตายฉันก็คิดไม่ออกว่า ฆาตกรจะเป็นหลงถิงที่แย่งชิงอำนาจ ภรรยา ฆ่าคน…..โห้ หัวหน้าทีมคุณช่วยหยิกฉันหน่อย ฉันฝันไปหรือเปล่า?”
เฉินเจายกมือขึ้นมาเตรียมหยิกเธอ แต่ไม่ลงมือ “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่ฝัน! ต่อไปพวกเราควรไปเยี่ยมหลงถิงเจ้าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าแล้วล่ะ?”
เฉินเจารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เลยยกมือกุมขมับเล็กน้อย “สิ่งที่ผมเป็นกังวลมากที่สุดคือ กลัวหลงถิงเสียชีวิตก่อน…..”
“ถุย! จะตายอย่างง่ายดายได้ยังไงกัน คนทำชั่วตายยาก คุณไม่รู้หรอ? ฉันจะไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย หญิงสาวอย่างฉันสืบคดีนี้อย่างยากลำบากมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ในที่สุดก็มองเห็นความหวังสักที!” หลังจากเจิ้งซิ่วหยาจัดเก็บหลักฐานเรียบร้อยก็จัดเครื่องประดับยศบนบ่าเล็กน้อย
เฉินเจาทำปากมุ้ย “เอาล่ะ คำสั่งเข้าทำงานอย่างเป็นทางการของเธอลงมาแล้ว หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลไปรับด้วย”
เจิ้งซิ่วหยากะพริบตาเล็กน้อย “จริงหรอ! ตอนนี้ฉันเป็นตำรวจของเมืองหลวงสาขาย่อยแล้วหรอ?”
เฉินเจายกมือที่ไม่ได้คีบบุหรี่เคาะบนหัวของเธอ “จะตะโกนทำไม? เมื่อกี้ไม่ใช่สามารถเก็บความโกรธได้หรอกหรอ? ใจกล้ามากจริงๆ แม้แต่หลงถิงเธอก็กล้ามีเรื่อง ไม่กลัวรับมือยากบ้างหรอ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หัวหน้าทีมกำลังชมฉันอยู่หรอ!”
“เธอจะไปไหน? โรงพยาบาลหรอ?” เฉินเจา หันหน้ามองเจิ้งซิ่วหยา
“ใช่ค่ะ ไปเยี่ยมหลงถิง”
“เปลี่ยนเสื้อเถอะ สถานการณ์บริษัทMBKตอนนี้ หากเธอไปแบบนี้คงมีข่าวไม่ดีเกิดขึ้นแน่ เหล่านักข่าวเฝ้าโรงพยาบาลอยู่นะ”
เจิ้งซิ่วหยามองดูชุดตำรวจของตัวเอง “โอเค ไว้หน้าเขาสักหน่อยก็ได้”
เฉินเจาจัดไฟบุหรี่อีกม้วน เขาพ้นควันบุหรี่ออกมาหนาแน่นจนปิดใบหน้าของเขาหมดแล้ว
……
ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย ห้องไอซียู
ลั่วหานรินน้ำเปล่าให้กับหยวนชูเฟินแก้วหนึ่ง “แม่ค่ะ เดียวแม่ทำการตรวจร่างกายด้วยนะคะ หนูขอดูอาการฟื้นตัวของแม่สักหน่อย”
หยวนชูเฟินจิบน้ำคำหนึ่ง ในตอนนี้เธอมีสีหน้าผ่อนคลายกว่าเมื่อกี้มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงมีสายตาเป็นประกายเล็กน้อย “ฉันมีความสุขขนาดนี้ ฉันดูเหมือนคนมีอาการแย่หรอ?”
ลั่วหานเม้มปากยิ้มแย้ม “ค่ะ แม่พูดถูก ตอนนี้แม่มีสภาพร่างกายที่ดีมากค่ะ! ดูอ่อนเยาว์ลงยี่สิบปีเลยทันที จนหนูอยากเรียกแม่ว่าพี่สาว”
หยวนชูเฟินยิ้มเบาๆขึ้น “เดียวนี้พูดจาไม่เหมือนผู้ใหญ่กันแล้ว สงสัยคงถูกเซียวเอ่อทำจนติดเป็นนิสัยเองแล้วล่ะ”
ลั่วหานไม่โต้เถียง เอาเถอะ ถูกเขาทำเป็นนิสัยเองจริงๆ ตอนนี้เธอไม่กล้ายั่วโมโห “หลงถิงยังไม่ฟื้นในตอนนี้ค่ะ ต่อไปคงต้องรอดูการทำงานของตำรวจแล้วล่ะ”
ก๊อกก๊อก
นอกประตูห้องไอซียูถูกเคาะเบาๆสองที เมื่อมองผ่านกระจก ลั่วหานเห็นเจิ้งซิ่วหยาที่สวมชุดธรรมดาทั้งตัว “เร็วขนาดนี้เลยหรอ?”
เจิ้งซิ่วหยาผลักเปิดประตู โดยที่ไม่มีคนอยู่ข้างๆ “คุณผู้หญิงหลง คุณหมอฉู่อยู่กันครบเลยนะคะ”
หยวนชูเฟินมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ยังคงเผยรอยยิ้มเป็นมิตรอยู่
เจิ้งซิ่วหยามองประเมินหยวนชูเฟินหนึ่งรอบ “สุขภาพของคุณดีขึ้นมากแล้วใช่ไหมคะ?”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ” หยวนชูเฟินพูดขึ้น
เจิ้งซิ่วหยาหันหน้ามองหลงถิง อาการป่วยสาหัสอย่างที่คาดคิด หัวหน้าทีมกังวลถูกต้องแล้ว “ดูเหมือนวันนี้ฉันคงไม่สามารถพูดคุยกับเขาได้”
ลั่วหานเผยสีหน้าสงสัย “มีเรื่องอะไรหรอคะ?”
เจิ้งซิ่วหยา พูดขึ้นว่า “หลงถิงเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมตระกูลมู่ค่ะ หลงเซียวได้แจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจเมืองหลวงสาขาย่อยแล้ว อีกอย่างยังฟ้องร้องหลงถิงด้วย หมายศาลคงมาถึงอีกสองวัน”
ลั่วหานพูดขึ้นว่า “เกินความคาดหมาย….จริงๆ!”
เจิ้งซิ่วหยาเลือกทำเป็นไม่สนใจ “หากไม่มีธุระแล้ว ฉันขอตัวไปรับประวัติอาการป่วยของคุณหลงถิงก่อนนะคะ พวกคุณตามสบายเลยคะ ฉันไปก่อนค่ะ”
ลั่วหานพาเจิ้งซิ่วหยาไปส่งนอกประตู ทั้งสองคนเดินไม่กี่ก้าว เจิ้งซิ่วหยาก็หยุดฝีเท้าลง “คุณหมอฉู่ คดีของตระกูลมู่ ฉันสืบมาตลอด ถึงแม้ไม่สามารถสืบสาวถึงหลงถิง แต่ฉันพบเรื่องบางอย่าง”
เธอหันหน้าเหลือบมองในห้องไอซียูเล็กน้อย “แม่ยายของคุณติดค้างบางอย่างใช่ไหม
ลั่วหานเก็บรอยยิ้ม และพูดว่า “ซิ่วหยา ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร การใส่ร้ายป้ายสีจนเสียชื่อเสียง ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายนะคะ”
เจิ้งซิ่วหยาบีบจมูกเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “โฉหวั่นชิงออกนอกประเทศแล้ว นักฆ่าที่จ้างได้เล่าบางส่วนแล้ว แต่ความจริงมีเพียงอย่างเดียว ฉันเชื่อว่า คดีเมื่อสามสิบปีก่อนจะค่อยๆคลีคลายแน่นอน”
“งั้นขออวยพรให้คุณตำรวจเจิ้งสืบคดีอย่างราบรื่นนะคะ”
ณ บริษัทMBK ห้องประชุมหมายเลขหนึ่ง
“เพื่อข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ของบริษัท พวกเราเสนอแผนการรับมือสามอย่าง ขอให้คณะกรรมทุกท่านโปรดวางใจ บริษัทMBKผ่านการพัฒนามาสามสิบปี ไม่มีทางล่มลงอย่างง่ายดายหรอกครับ”
หลงจื๋ออยู่ในห้องประชุมเป็นเวลายาวนาน ในตอนนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดมาก
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่กี่คนยิ้มแย้ม “ผู้บริหารดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดมาก พวกเราจะคอยดูผลการพัฒนานะครับ”
หลงจื๋อยิ้มแย้มด้วยสีหน้ามั่นใจ “ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเหลียงจ้งซุนก็ดังขึ้น เขาเหลือบอ่านข้อความ จากนั้นก็เบิกตากว้างขึ้น!
เขารีบเดินไปกระซิบข้างหูของหลงจื๋อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คุณชายรองครับ เมื่อกี้ตำรวจไปที่โรงพยาบาล และทางศาลกำลังออกหมายศาลด้วยครับ พี่ใหญ่ของคุณฟ้องร้องพ่อของคุณครับ”
หลงจื๋อที่มีสีหน้าผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้น “พ่อของผมหรอ?”
“ผู้บริหารยังไม่ฟื้นเลย ตำรวจก็มาแล้ว แต่….”เหลียงจ้งซุนเหลือบมองสายตาเหล่าคณะกรรมที่เผยสีหน้าสงสัย “เลิกการประชุมค่อยคุยกันใหม่”
หลงจื๋อวางเอกสารลง “วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ เลิกการประชุมครับ”
การประชุมเพิ่งเสร็จ เขาก็กระโจนเดินออกไปทันที “ผมจะไปโรงพยาบาลหน่อย บริษัทฝากคุณช่วยดูแลหน่อยนะครับ’
เหลียงจ้งซุนเดินตามหลงจื๋ออย่างเสียเปรียบ “คุณชายรองครับ สถานการณ์โดยรวมของบริษัทMBKยังไม่มั่นคง คุณต้องอยู่จัดการก่อนครับ ผู้บริหารยังไม่ฟื้น ตำรวจและหมายศาลคงยังทำอะไรเขาไม่ได้ คุณอย่าเพิ่งตื่นตระหนกครับ”
หลงจื๋อหยุดฝีเท้าลง “พี่ใหญ่มีเหตุผลอะไรถึงฟ้องร้องพ่อหรอ?”
เหลียงจ้งซุนนิ่งเงียบ
“พูดสิ” หลงจื๋อกัดฟันแน่น พร้อมพูดออกมาด้วยความคับอกคับใจ
เหลียงจ้งซุนกวาดตามองรอบบริเวณ “จากที่ผมให้คนที่สถานีตำรวจและที่ศาลสอบถาม คุณขายใหญ่ฟ้องร้องผู้บริหาร….ข้อหาฆาตกรรมหมู่ครอบครัวตระกูลมู่”