ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 141
บทที่ 141 ฉันบริสุทธิ์ใจ
เพราะมื้อกลางวันมื้อนี้ ทำอารมณ์ก็เสีย ลั่วมั่นจึงจะเดินออกไป แต่กลับถูกพ่อบ้านของคฤหาสน์เฟิงขัดไว้
“ตอนนี้นายหญิงอย่าเพิ่งไปเลยครับ คุณผู้หญิงได้กำชับไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้นายน้อยและนายหญิงพักที่นี่คืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปครับ มื้อกลางวันก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ ส่วนมื้อเย็นก็ยังจะขาดคนไปอีก เป็นเช่นนี้ เห็นทีคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายอาจจะไม่สบอารมณ์เอาได้นะครับ”
ลั่วมั่นงทำได้แค่ต้องอยู่
เดิมที่ที่จะไปอาคารตะวันตก ที่นั่นเป็นที่ของเฟิงเฉิน แต่แล้วจู่ๆเฟิงจิ่งก็เดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาอย่างไม่คาดคิด เดรสเข้ารูปสีไวน์แดงส่องประกายตามแสงอาทิตย์
“เฉิน ที่บ้านฉันไม่มีคนทำความสะอาดล่วงหน้า ช่วงนี้ก็อยู่ที่อาคารตะวันตกไปก่อนนะ”
“รีบให้คนรับใช้ทำความสะอาดเข้าสิ” เฟิงเฉินขมวดคิ้ว
“ที่นี่ไม่ได้มีคนมาอยู่นานแล้ว อย่าหงุดหงิดไปเลย”
เมื่อพูดจบ ร่างในชุดเดรสสีไวน์แดงก็มุ่งตรงไปยังอาคารตะวันตก โดยไม่สนใจท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าปฏิเสธของเฟิงเฉิน
ลั่วมั่นยืนอยู่ที่ประตูที่ลั่วมั่นทาลั่วมั่นทางเข้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ว่าเฟิงจิ่งนั้นจงใจให้เป็นอย่างนั้น
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับเฟิงจิ่งในวันแต่งงานวันนั้น คนในตระกูลเฟิงต่างก้รู้กันดีว่าเฟิงจิ่งนั้นไม่ชอบเธอ ทุกครั้งที่เจอก็มักจะคุยด้วยอย่างเย็นชา ทุกคำพูดล้วนแต่ถากถาง โชคดีที่เธอไม่ได้กลับมาบ่อยๆ เพราะลั่วมั่นเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะคอยโต้เถียงกับเธอ ซึ่งเธอกับเฟิงจิ่งนับเป็นคนละขั้วกันเลย
“เธอก็แค่พูดๆไปเท่านั้น คืนนี้ไม่ได้ไปอยู่ที่อาคารตะวันตกจริงๆหรอก”
เสียงของเฟิงเฉินดังขึ้นมาจากด้านข้าง ราวกับตั้งจะจะอธิบายอะไรบางอย่าง
ลั่วมั่นหันไปทางเขา “เธออยากให้อยู่ก็อยู่ไปเถอะ ทั้งคฤหาสน์เฟิงนี่เป็นของครอบครัวคุณไม่ใช่หรือไง ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับฉันหรอก”
“เธอไม่ถือสาอะไรก็ดีแล้ว”
“นี่มีอะไรให้ฉันต้องถือสาด้วยล่ะ สำหรับฉันแล้วมันไม่สำคัญหรอกนะ”
ลั่วมั่นเดินไปยังศาลาในสวนดอกไม้เล็กที่ตลอดทางมีก้อนกรวดเรียงราย เธอมักจะสะดุดมันเสมอเมื่อมาที่นี่ แต่วันนี้เธอสวมชุดกีฬา รองเท้าผ้าใบที่เธอสวมอยู่ทำให้เธอเดินได้อย่างมั่นคง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไหร่
“อย่างนั้นแล้ว เธอคิดว่าอะไรล่ะที่สำคัญ”
ร่างของลั่วมั่นหยุดชะงัก เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของเฟิงเฉินจากทางด้านหลัง
“ถ้าเธอมีอะไรอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลล่ะก็ ฉันตอบให้เธอได้ทั้งนั้น”
เขาช่างสุขุม ความสุขุมทำให้ลั่วมั่นรู้สึกว่านี้เป็นการยั่วยุอย่างหนึ่ง เธอจึงหันหลังกลับ
“แล้วถ้าฉันไม่อยากถามล่ะ คุณก็ไม่มีอะไรอยากจะพูดงั้นเหรอ”
เฟิงเฉินขมวดคิ้ว พูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ฉันบริสุทธิ์ใจ”
“แล้วตอนนี้คุณจะมาถามฉันทำไม” ลั่วมั่นพูดขัดจังหวะ พลางสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อให้เสียงของตัวเองฟังดูเป็นปกติ
“ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงๆ แล้วตอนนี้คุณจะถามฉันอีกทำไม”
“เธออย่าจงใจหาเรื่องกันเลย”
“จงใจหาเรื่อง?” สีหน้าของลั่วมั่นดูอึมครึม เธอขึ้นเสียงสูงอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์
“ฉันได้ไล่ถามอะไรคุณรึยัง เป็นคุณเอง คนที่บอกว่าบริสุทธิ์ใจ ที่ถามฉันว่าอยากจะรู้อะไรไหม ถามตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงบ้านฉัน อยู่ที่บ้านคุณก็ยังจะถามอีก จริงๆแล้วคุณอยากให้ฉันถามอะไรคุณกันแน่ ให้ถามว่าทำไมคุณถึงใส่ใจเรื่องของเด็กที่ป่วยนั่นขนาดนั้นเหรอ ให้ถามว่าลูกของเวินน๋อนเป็นลูกคุณหรือเปล่า หรือจะให้ถามว่าในเมื่อเธอกลับมาแล้ว คุณจะรื้อฟื้นถ่านไฟเก่าและกลับไปคืนดีกันไหมอย่างนั้นเหรอ”
แสงแดดที่ส่องสว่างในยามบ่าย มันแผดเผาจนสามารถทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่ลั่วมั่นกลับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ เธอจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาอยากให้ถามไม่ใช่เหรอ งั้นก็ถามแล้วนี่ไง
สุดทางเดินหินกรวด มีเงาตะคุ่มโผล่ออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ เมื่อได้ยินที่ลั่วมั่นพูดว่า ‘เด็กที่ป่วยนั่น’ เงานั่นก็สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ถูก สายตาพลางมองไปที่ลั่วมั่นและเฟิงเฉินที่เถียงกันอยู่ ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง และสุดท้ายก็หายไป