ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 209
บทที่ 209 ตอนเด็กแกล้งง่ายขนาดนี้เลยเหรอ
ในที่สุดเรื่องโต้เถียงกันก็ยังไม่จบ เฟิงเจิ่งเป็นคนดื้อรั้น เมื่อได้ยินว่าต้องขอโทษก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในห้องบ้าง ตนเองกลับเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
พ่อเฟิงไม่มีอารมณ์ที่จะกินข้าวแล้ว จึงเดินขึ้นไปยังห้องหนังสือ
เหลือเพียงแม่สามีลูกสะใภ้และลูกชายสามคนอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ให้เฟิงเฉินไปดูพี่สาวดีไหมคะ?”ลั่วมั่นถามแม่สามี
สีหน้าของลู่จิ่งจูราบเรียบ “อย่างมากก็แค่กลับเข้าไปในห้อง หรือออกไปหาที่ชอปปิ้งระบายอารมณ์
เฟิงเฉินตามไปก็พอแล้ว เธอกินข้าวเถอะ”
ลั่วมั่นรู้สึกเสียใจที่ตนพูดมากไป ไล่ให้เฟิงเฉินออกไป เหลือเพียงเธอที่ต้องทานข้าวกับแม่สามีตามลำพัง บรรยากาศช่างบอบบางเสียจริง
หลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เธอกำลังหาคำพูดเพื่อออกจากคฤหาสน์เฟิง ไม่ง่ายเลยที่จะหาข้ออ้างได้ แต่ลู่จิ่งจูกลับพูดว่า
“ตอนบ่ายถ้าไม่มีธุระอะไร ลูกมานี่ เดี๋ยวแม่จะให้ดูอะไร”
“อะไรเหรอคะ?”
ลั่วมั่นเดินเข้าไป เห็นลู่จิ่งจูหยิบกล่องไม้ที่อยู่ใต้โต๊ะน้ำชาออกมากล่องหนึ่ง จากนั้นก็พลิกอัลบั้มรูปขนาดใหญ่อัลบั้มหนึ่ง “เป็นรูปของเฟิงเฉินกับเสี่ยวจิ่งตอนเด็กๆ”
ลั่วมั่นเกิดความสนใจ
ตอนเงเฉินเด็กๆเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร
วิลล่าจิ่นซิ่วเป็นสถานที่ ๆ ตกแต่งใหม่หลังแต่งงาน ไม่มีร่องรอยของความเก่าหลงเหลืออยู่เลย เฟิงเฉินอาศัยอยู่ตึกตะวันตกนอกจากสถาปัตยกรรมเก่าแก่ก็ไม่มีสิ่งของจำพวกอัลบั้มรูปเลย เดิมทีเธอคิดว่าเฟิงเฉินไม่ชอบถ่ายรูป
“เฟิงเฉินกับเสี่ยวจิ่งอายุห่างกันสองปี ตอนเด็กๆเฟิงเฉินรูปร่างเล็ก ทำให้พี่สาวที่แข็งแกร่งกว่าชอบแกล้งเขา เธอดูรูปนี้สิ ……”
ลั่วมั่นมองตามสายตาของลู่จิ่งจู เห็นรูปเก่าสีเหลืองรูปหนึ่ง บริเวณน้ำพลุคฤหาสน์เฟิง มีเด็กผู้ชายตัวเปียกนั่งอยู่ ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ด้านข้างมีเด็กผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีแดงถักเปียสองข้างยืนเท้าสะเอวอยู่ ด้วยความโอ้อวด
“เสี่ยวจิ่งเป็นคนผลักเฟิงเฉินตกน้ำ”
สีหน้าของลั่วมั่นตกตะลึง “เฟิงเฉินตอนเล็กๆ……ถูกรังแกได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอคะ?”
“ก่อนสิบขวบเขาเป็นเช่นนั้น เชื่อฟังพี่สาวของเขาทุกอย่าง หากถูกพี่สาวแกล้งก็จะร้องไห้ แต่ก็ยังเดินตามก้นพี่สาวเพื่อเล่นกับเธอ เกมส์แบบนี้เขาเล่นกันกับพี่สาวมานับครั้งไม่ถ้วย แต่เฟิงเฉินก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับพี่สาวเลย”
สิบขวบ
จู่ๆลั่วมั่นก็พอที่จะเข้าอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกสงสารเขา
“ฉันจำได้ว่าเฟิงเฉินอายุสิบขวบก็เริ่มงานที่บริษัทแล้ว”
“อืม” ลู่จิ่งจูพยักหน้าเบาๆ “สิบขวบขณะที่เพิ่งฉลองวันเกิดได้สามวัน ก็ไปเข้าร่วมการประชุมผู้บริหารของบริษัทแล้ว ”
“ช่วงแรกเริ่ม เขาเต็มใจไปไหมคะ?”
“ไม่เต็มใจ” ลู่จิ่งจูฝืนยิ้ม “ถามแม่ว่า ทำไมพี่สาวของเขาไม่ต้องไป”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ……”
“ต่อมา เฟิงเซิ่งก็เข้ามาอาศัยในบ้านหลังนี้ จู่ๆเขาก็เต็มใจที่จะไป ”
ลู่จิ่งจูพูดถึงเรื่องนั้นอย่างปกปิด เพราะถึงยังไงเรื่องนี้ก็เคยเป็นข่าวฉาวของตระกูลเฟิง เธอในฐานะสะใภ้ไม่ควรถามมาก ลั่วมั่นจึงไม่ถามอะไรมาก ทั้งสองจึงข้ามหัวข้อนี้ไป
“ทำให้เฟิงเฉินที่อายุยังน้อยต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวง แม่เคยทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่เคยเสียใจ กลัวก็แต่เหตุการณ์ในวันนี้ ดังนั้นหากตอนนั้นเขาจะหาว่าฉันเคร่งครัดกับเขามากเกินไป ฉันก็ไม่เสียใจ”
หากตอนนั้นเขาไม่เข้มแข็ง นำสิ่งที่ควรเป็นของตนมาไว้ในกำมือ หรือหากแม่ของเฟิงเซิ่งอายุยืนกว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องต่าง ๆ ก็คงจะไม่เป็นอย่างวันนี้
วันนี้ลู่จิ่งจูพูดเยอะกว่าปกติ ลั่วมั่นรู้สึกได้ว่าเธอเหงาไม่น้อย หลายปีมานี้ ภายนอกดูเหมือนว่าแข็งแกร่งไม่สะทกสะท้าน อยู่ในตระกูลเฟิงพูดคำไหนเป็นคำนั้น แต่ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว เธอนั้นเหงาไม่น้อย
“แต่ว่าเฟิงเฉินเข้าใจคุณแม่นะคะ” เธอลองพยายามปลอบใจ