ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 242
บทที่ 242 ติดเหยื่อ
เขาเซ็นชื่อแล้ว? เซ็นตอนไหน?
ลั่วมั่นคิดขึ้นได้หลังจากฝู้หมิงถังเข้าไปในห้อง เขาให้ตัวเองรินน้ำให้ น่าจะเป็นตอนนั้น
หลังจากเข้าใจแล้ว เธอสงสัยว่าเด็กคนนี้ทำอะไรผิดรึเปล่า ในเมื่อเซ็นชื่อแล้ว ยังจะหยอกล้อเธออีก นิสัยเด็กแบบนี้ เขียนอธิบายประวัติศาสตร์ได้ยังไงกัน?
คนแก่ในห้องที่ได้กลิ่นหอมลงมาด้านล่าง กำลังแย่งหมูผัดซอสกับฝู้หมิงถังอยู่
กำลังแย่งกัน โทรศัพท์ของคนแก่ก็ดังขึ้น หลังดูสายที่โทรเข้ามาแล้วแวบหนึ่ง จึงโยนไปให้ฝู้หมิงถัง “โทรหานายนะ!”
เสียงของลั่วมั่นดังมาจากโทรศัพท์ “เด็กน้อย อย่าคิดว่าฉันจะตกปลาให้นายทุกวัน ฉันก็มีเรื่องต้องทำ แต่ว่าสองวันนี้สามารถสอนคุณตกปลาได้”
“ฉันตกปลาเป็น”
“ตกปลาขึ้นมาได้ถึงจะเรียกว่าตกเป็น คุณตกแบบนั้นเขาเรียกติดเหยื่อ”
ลั่วมั่นไม่ชอบติดค้างความรู้สึกใคร ในเขาเซ็นสัญญาให้อย่างสบายๆ แม้ว่าขั้นตอนจะทำให้หงุดหงิด แต่สุดท้ายแล้วตัวเองก็ไม่ได้ใช้กำลังอะไรมาก สอนเขาตกปลายังไง ก็ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างต่อกันแล้ว
“……”
อีกด้านหนึ่ง เฟิงเฉินประชุมตอนเที่ยงเสร็จ ตอนที่กลับถึงห้องทำงานความเคยชินจึงมองไปที่โต๊ะชา
ไม่เห็นกล่องใส่แซนด์วิชที่เห็นติดต่อกันมาทั้งอาทิตย์ ไม่รู้สึกสบายใจขึ้น ใจในกลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างแปลกๆ
ถึงแม้กระเพาะจะรับไม่ไหวกับการกินสิ่งนี้ทุกวัน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว รู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาทันที
ต่อมาได้คุยเรื่องนี้กับกวนเส้าหยู้อีกครั้ง กวนเส้าหยู้สรุปว่านี้สิ่งนี้เป็นความผิดในใจของผู้ชาย
“อีกนิดก็ผ่านไปแล้ว เมื่อกี้ประธานเจินโทรหาฉันบอกว่าเรื่องคำแถลงการณ์ของคุณฝู้ติดสายยังไม่สำเร็จ ฉันมีธุระต้องไปจัดการพอดี ข้าวเที่ยงคุณจัดการแก้เองแล้วกัน ฉันไปจัดการธุระก่อน”
โทรศัพท์เขาพิมพ์ตัวอักษรไว้หนึ่งบรรทัด ลังเลอยู่สักพัก และลบออกหมดอีกครั้ง แล้วโทรไปหาโดยตรง
“ฮัลโหล?”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากอีกฝั่ง
“ธุระจัดการเสร็จรึยัง?” เขาถาม “ถ้าเกิดวุ่นวายเกินไปไม่ต้องสนใจคนในแผนกประชาสัมพันธ์พวกนั้น หน้าที่ของตัวเองไม่มีความสามารถ เห็นว่าคุณพูดง่าย รบกวนคุณตลอด”
“งานยากสำหรับคนมีความสามารถ” เสียงหัวเราจากอีกฝั่ง ราวกับว่าอารมณ์ดี
ได้ยินเสียงอย่างนี้หมายความว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เซ็นสัญญาสำเร็จแล้ว โทรศัพท์คั่นอยู่ลั่วมั่นมองไม่เห็นความชื่นชมในสายตาเฟิงเฉิน แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะที่อบอุ่นจากน้ำเสียงเขา
“คืนนี้คงต้องฉลองกันหน่อยแล้ว”
ตกกลางคืน ที่ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกใจกลางเมืองเจียง ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง เห็นวิวทิวทัศน์แสงไฟยามค่ำคืนของเมืองเจียงได้ทั้งหมด สวยงามมาก
เล่อสวี้จ้องกวนเส้าหยู้ที่อยู่ตรงกันข้าม เสียงไม่ดังแต่ได้ยินชัดเจน “คุณมาได้ยังไง?”
มือข้างหนึ่งของกวนเส้าหยู้วางไว้บนบ่าของเฟิงเฉิน และพูดสบายๆ ว่า
“เฉินคือเพื่อนที่สวมกางเกงตัวเดียวกันโตมาด้วยกันของฉัน แน่นอนว่าเขาเชิญฉันมา”
เฟิงเฉินดึงมือเขาลง อธิบายอย่างเรียบง่ายว่า “ฉันไม่ได้เรียกเขามา เขาเรียกฉันมาดื่มตอนค่ำ ฉันบอกว่าตอนค่ำมีธุระ เขาตามมาเอง”
เล่อสวี้มองกวนเส้าหยู้อย่างเยือกเย็น มองจนเขาแทบจะเหงื่อตก แต่กลับพูดแค่สองคำ
“โกหก”
กวนเส้าหยู้กระตุกหางตา หน้าหนายกแก้วเหล้าขึ้น “คือว่า ยังไงวันนี้ก็มาฉลองให้มั่นมั่นที่เซ็ฯนสัญญามาได้ งั้นในฐานะที่ฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเฉิน ไม่ว่าจะเชิญไม่เชิญแต่ยังไงก็มาแล้ว ข้าวมื้อนี้ฉันเลี่ยงเอง มั่นมั่น คุณว่าดีไหม?”
ลั่วมั่นที่กำลังดูความสนุกสนานอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็โดนกวนเส้าหยู้เรียกชื่อ ไม่อยากทำให้เขาเสียหน้า จึงทำได้แค่ยิ้มตามและยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับเขา
“แน่นอนเป็นไปตามที่ขอ”