ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 260
บทที่ 260 ฉันชอบเขาจริงๆ
ประโยคที่เอ่ยว่า ‘เฟิงเฉินก็รู้เช่นกัน’ ประโยคเดียว ก่อให้เกิดความหนาวเหน็บไร้รูปลักษณ์ขึ้นในตัวรถ
ภายในประเทศ นอกจากซือโม่แล้ว คนที่รู้ว่าตัวเองใช้ปืนเป็น ก็มีเพียงแค่เฟิงเฉินจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอถูกซือโม่พาตัวไปต่างประเทศ เฟิงเฉินจำเธอได้ตั้งแต่แวบแรกที่สนามยิงปืน เขาเห็นวิธีการยิงปืนของเธอกับตา
แต่ลั่วมั่นโต้กลับทันทีโดยที่แทบจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีทางที่จะเกี่ยวข้องกับเขา?”
“ทำไม” ซือโม่เอ่ยเนิบๆ
“เพราะว่า……..” ลั่วมั่นขมวดคิ้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่ “เขาเป็นคนที่ไม่อาจจะให้ร้ายฉันมากที่สุด อีกทั้งคนที่ถูกยิงก็เป็นแม่ของเขา เขาจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“……….” ซือโม่ครุ่นคิด จึงไม่ได้ใส่ใจ
แววตาลั่วมั่นกลับปรากฏร่องรอยความสงสัยเล็กน้อย “พี่ซือโม่ ทำไมพี่ถึงได้พุ่งเป้าไปที่เฟิงเฉินตลอดเลยล่ะ? เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะเกี่ยวข้องกับเฟิงเฉิน? พี่กำลังสงสัยอะไรอยู่คะ หรือจะพูดว่าพี่รู้อะไรมา?”
ซือโม่สีหน้านิ่งค้าง ถามกลับว่า “ทำไมถึงรู้สึกว่าฉันจะต้องรู้อะไรอย่างแน่นอนล่ะ”
ลั่วมั่นจะชักไปครู่หนึ่ง
“ในความทรงจำของฉัน ไม่มีอะไรที่พี่ทำไม่ได้มาตลอด รู้สึกราวกับว่ามีเรื่องอะไรให้ไปหาพี่ พี่ล้วนสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้หลายปี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ซือโม่มักจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยได้อย่างง่ายดาย ช่วงเวลาที่อยู่ต่างประเทศ ก็เป็นเพราะการปกป้องคุ้มครองของซือโม่ ตัวเองถึงได้ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น เมื่อนับช่วงเวลาที่ตัวเองอยู่ต่างประเทศในหลายปีนั้น เทียบกับการไปเรียนต่อต่างประเทศของเฟิงเฉินในตอนนั้นยังล้ำค่ากว่ามาก
สำหรับเธอแล้ว การคงอยู่ของซือโม่เหมือนพี่ชาย เหมือนญาติพี่น้อง ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจบการศึกษาพวกนั้น เธอก็คงจะไม่ได้ตัดสินใจกลับประเทศกะทันหัน ถึงอย่างไรในตอนนั้น สำหรับเธอแล้ว สถานที่ที่เธอคุ้นเคยมากที่สุดยังคงเป็นสภาพแวดล้อมในต่างประเทศ
“นานแล้วที่ไม่ได้ยินเธอพูดแบบนี้” ซือโม่มองเธออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง น้ำเสียงเจือไปด้วยแววทอดถอนใจ “ตั้งแต่เธอจากไปโดยไม่ร่ำลา หลังเธอจบการศึกษาและในปีนั้น เธอก็ไม่เคยขอร้องให้ฉันช่วยเรื่องอะไรเลย แม้ว่าตอนแรกบริษัทลั่วซื่อจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องเงินทุน เธอก็ไม่ได้คิดจะให้ฉันช่วยเลย”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องในปีนั้น แววตาของลั่วมั่นหมองลงเล็กน้อย
ตอนนี้เธอแทบจะตัดความสัมพันธ์กับซือโม่ไปแล้ว ตอนที่จากไปโดยไม่ร่ำลาก็เป็นการตัดสินใจของตัวเอง แล้วตอนที่ครอบครัวตัวเองเกิดปัญหา ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้อย่างไร
“มั่นมั่น มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามเธอมาโดยตลอด”
“พี่ถามเลย”
“ถ้าหากว่าในปีนั้นฉันรู้แล้วว่าการหมุนเวียนเงินทุนของบริษัทลั่วซื่อขาดสภาพคล่อง ฉันจะต้องช่วยเธออย่างแน่นอน ถ้าหากว่าคนที่ช่วยเธอเป็นฉัน แต่ไม่ใช่เฟิงเฉินล่ะก็ ตอนนั้นเธอจะมีตัวเลือกอื่นหรือไม่”
ลั่วมั่นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
‘ตัวเลือก’ จากปากของซือโม่นี้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้ชัดเจนมากนั้น เธอก็รู้ว่าคือตัวเลือกอะไร
ตอนแรกที่จากอเมริกา ละทิ้งโอกาสที่จะศึกษาต่อในชั้นปริญญาเอก ก็เป็นเพราะซือโม่เตรียมจัดปาร์ตี้จบการศึกษา บวกกับรู้ล่วงหน้าว่าซือโม่จะขอตัวเองแต่งงาน เธอตกใจมาก ดังนั้นจึงรีบเร่งเดินทางกลับประเทศทั้งคืน
ชายที่เคยทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจอยู่เป็นเพื่อตัวเองมาตลอดสิบปี ชายผู้ถูกตัวเองนับถือเป็นพี่ชาย ญาติพี่น้อง ก่อนหน้านี้ไม่มีการเกริ่นใดๆเลย แต่จะมาขอตัวเองแต่งงานกะทันหัน เธอในตอนนั้นตื่นเต้นมาก ไม่มีใครแนะนำอะไร เธอเพียงมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อซือโม่ไม่ใช่ความรัก แต่หลังจากปฏิเสธไปแล้ว ทุกคนล้วนเสียหน้า ดังนั้นวิธีเดียวที่คิดออกในนั้นก็คือการหลบหนี
“ฉัน……..”
เธอรู้ว่าคำพูดนี้ทำให้คนเสียใจ แต่ว่าคำพูดที่ไม่ได้พูดออกไปตั้งแต่ตอนนั้น คงจะไม่สามารถติดค้างไปได้ตลอดชีวิต เธอนึกว่าเวลาสามารถลบล้างทุกอย่างได้ แต่เมื่อมองดูแล้ว ซือโม่ก็ยังปล่อยวางจากเธอไม่ได้
“พี่ซือโม่ ความจริงแล้วในตอนแรกที่ฉันแต่งให้กับเฟิงเฉิน ไม่ใช่เพียงเพราะปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียนขาดสภาพคล่อง แต่ฉันชอบเขาจริงๆ และชอบมานานแล้ว”
ภายในรถเงียบกริบเป็นเวลานาน ก่อนจะมีเสียงแหบพร่าของซือโม่ลอยมา
“นานมากหรือ นานเหมือนสิบปีไหม