ประธานเฟิง ฉันไม่รักนายอีกแล้ว - ตอนที่ 298
“เจี่ยนป๋าย” เฟิงเฉินถอดเสื้อคลุมออกให้ลี่ลี่นำไปแขวนไว้บนราว จากนั้นก็เปลี่ยนรองเท้าแล้วเดินไปที่ห้องรับแขก พลางเดินพลางตอบคำถามของลั่วมั่น “ทำไมจู่ๆถึงถามถึงเขาล่ะ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของกวนเส้าหยู้ คุณชายรองของตระกูลเจี่ยนแห่งเมืองหลวง
เขาเพิ่งจะเลิกงานกลับมา พอเข้าบ้านก็ได้ยินลั่วมั่นเอ่ยถึงชื่อชายอื่น จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยพอใจ ดังนั้นน้ำเสียงจึงค่อนข้างขึงขัง
“ตระกูลเจี่ยนแห่งเมืองหลวงเหรอ” ในที่สุดลั่วมั่นก็เริ่มจำได้คร่าวๆ จึงถามขึ้นด้วยสงสัย “อย่างนั้นทำไมถึงไปฝึกงานที่แผนกฝ่ายขายของบริษัทล่ะ”
ตระกูลเจี่ยนแห่งเมืองหลวงเป็นบ้านเกิดของกวนเส้าหยู้ เป็นตระกูลทหารตำตรวจเหมือนกับตระกูลกวน บนอินเทอร์เน็ตกล่าวกันว่าเก่งในด้านการรบทั้งสามรุ่น มีสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ ตระกูลเจี่ยนในวันนี้ยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการตำรวจ ทั้งครอบครัวตระกูลเจี่ยนเล็กๆใหญ่ๆต่างรับราชการเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เกือบจะครอบคลุมไปทั่วเมืองหลวง เหมือนอยู่ภายใต้เท้าของคนตระกูลเจี่ยน เกือบครึ่งประเทศตกอยู่ภาวะพังทลาย
ตระกูลเช่นนี้ เมื่อมาถึงรุ่นเจี่ยนป๋าย เพื่อตอบสนองต่อนโยบายการควบคุมกำเนิดบุตร จึงได้ให้กำเนิดเจี่ยนป๋ายเพียงคนเดียว ตามหลักแล้วถือว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล ทำไมถึงปล่อยให้มาถึงที่เมืองเจียงได้
“นิสัยเด็กๆน่ะ เป็นหนุ่มน้อยที่เพิ่งจะเรียนจบ ไม่อยากทำตามในสิ่งที่ครอบครัวจัดแจงไว้ให้ จึงได้ทะเลาะกับทางบ้านแล้วหนีมาหากวนเส้าหยู้ที่เมืองเจียง บอกว่าจะเดินตามเส้นทางของตัวเอง กวนเส้าหยู้จนปัญญา จึงขอให้ผมช่วย ถึงได้ใช้เส้นฝากเขาเข้าไปที่แผนกฝ่ายขาย บอกไปว่าให้เขาเจอความลำบากสักหน่อย”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” ลั่วมั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆก็หัวเราะเสียงดังออกมา
“หัวเราะอะไร” เฟิงเฉินเกิดอาการไม่พอใจ
“ฉันหัวเราะที่กวนเส้าหยู้พาสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้าน”
เธอเล่าเรื่องที่ลี่ลี่เจอในแผนกฝ่ายขายให้เฟิงเฉินฟังหนึ่งรอบ เฟิงเฉินพยักหน้าแล้วครุ่นคิด “บางทีอาจเป็นเรื่องดี”
“หือ” ลั่วมั่นไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร” เฟิงเฉินไม่อยากจะใช้เวลาที่มีค่าในการอยู่กับลั่วมั่นคุยเรื่องของคนอื่น “หิวไหม ผมจะไปทำเกี๊ยวให้คุณทาน”
ลั่วมั่นดึงความสนใจของตัวเองกลับมา แล้วก็คว้ามือของเฟิงเฉิน และพูดอย่างเสน่หาว่า “ฉันไปกับคุณด้วย”
ตั้งแต่ตั้งครรภ์มา ลั่วมั่นมีอารมณ์ที่ดีมาก และก็ออดอ้อนอ้อนออเซาะเก่งมากเช่นกัน ทำให้เฟิงเฉินรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
ค่ำคืนแห่งความมืดมิด เล่อสวี้ทำงานล่วงเวลาจนดึก เมื่อตอกบัตรเลิกงานแล้ว ก็เห็นเจี่ยนป๋ายยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู สะพายกระเป๋าสะพายข้าง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงดำ สูงร้อยแปดสิบห้าเซินติเมตร มองจากระยะไกลเห็นเป็นท่อนขาตั้งแต่ลำคอลงมา เต็มไปด้วยกลิ่นอายวัยรุ่น
เล่อสวี้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย รู้ทั้งรู้ว่าตั้งแต่สองทุ่มเป็นต้นไป ตึกบริษัทH.Y.มีเพียงประตูนี้ประตูเดียวที่ยังเปิดอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางออกทางอื่น
ล็อกไว้หมดแล้วจริงๆ
“อาสวี้……” วัยรุ่นที่อยู่ไกลๆได้มองเห็นเธอแล้ว ทำการโบกสองมือไปมาด้วยความดีใจ จักรยานสีฟ้าที่อยู่ข้างๆก็ได้สะท้อนแสงเย็นยะเยือกภายใต้แสงไฟ
เล่อสวี้ถอนหายใจ ฝืนตัวเองแล้วเดินเข้าไปหา
“ฉันบอกแล้วว่าตอนกลางคืนฉันจะกลับเอง เธอไม่ต้องรอ”
“ดึกมากแล้ว ไม่ปลอดภัย”
“ทางเส้นนี้ฉันเดินมาเกือบสิบปี ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ขับเรืออย่างระวังหมื่นปีก็ไม่จม!”
“ไม่เป็นไรจริงๆ เธอกลับไปเถอะ ไม่ต้องตามฉัน”เล่อสวี้ดึงจับกระเป๋าที่อยู่สะพายอยู่บนไหล่ หันศีรษะแล้วเดินจากไป
เดินไปสองก้าว ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง หนุ่มน้อยคนนี้ยังคงเดินตามติดต้อยๆ
“นี่เธอจะตามไปถึงไหน”
เล่อสวี้โมโหขึ้นแล้ว “บอกแล้วว่าไม่ให้เธอตามฉัน ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”
เจี่ยนป๋ายรู้สึกเสียใจ “ผมเพียงผ่านทาง คุณเดินของคุณ ผมเดินของผมอยู่ข้างหลัง จะไม่รบกวนคุณ พอใจไหม”
เล่อสวี้มองสำรวจเขาอย่างเย็นชา “เธอคิดที่จะทำอะไร”
“หือ” เจี่ยนป๋ายตะลึงงัน “นี่ไม่ใช่เรื่องที่รู้กันทั้งบริษัทหรอกหรือ”
เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ที่เขาได้ประกาศอย่างกึกก้องในที่งานเลี้ยงต้อนรับว่าเขาจะตามจีบเล่อสวี้
รู้กันทั้งบริษัทเหรอ เล่อสวี้ขมวดคิ้ว
“ฉันไม่มีอารมณ์ไปสนใจฟังคำซุบซิบ ตัดสินจากพฤติกรรมล่าสุดของเธอที่พักนี้คอยตามติดฉันในแต่ละคืน สามารถสรุปได้ว่าเธอกำลังมีแผนการร้าย ดังนั้นฉันจึงอยากถามเธอว่า เธอคิดที่จะทำอะไรกันแน่”
แผนการร้าย…..
หนุ่มวัยรุ่นสีหน้าเปลี่ยน