ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 10
ถึงโรงเตี๊ยม ฉู่อิ่งหงก็รีบเริ่มจัดสรรภารกิจให้กับทุกคนอย่างละเอียดทันที
แน่นอนว่าเรื่องจับปีศาจมอบให้ผู้ใหญ่สามคน เด็กทั้งหมดเพียงแต่รับหน้าที่จุดคบไฟกับงานจิปาถะอื่นๆ ก็พอ อวี่ซือเฟิ่งเคยมาเขาลู่ไถซาน มีหน้าที่ดูแผนที่บอกทาง จงหมิ่นเหยียนกับนายพรานสองสามคนมีหน้าที่จุดคบไฟและโยนถุงเกลือ ภารกิจสำคัญในการสาดซอสเปรี้ยวใส่สุนัขฟ้าก็เป็นเขาจัดการ
“แล้วข้าล่ะ” เสวียนจีได้ฟังเป็นนานเห็นไม่กล่าวถึงนางอดถามเบาๆ ไม่ได้
ฉู่เหล่ยมองนางนิ่ง “เจ้าแค่หลบด้านหลังก็พอแล้ว ไม่ให้วิ่งไปไหน”
ความหมายคือนางไม่ต้องทำอันใดทั้งนั้น เสวียนจีสองตาส่องประกาย ยากที่ท่านพ่อจะรู้เหตุผลเช่นนี้ได้ สิ่งใดก็ไม่ต้องให้นางทำ!
ฉู่อิ่งหงเห็นเด็กหญิงลอบดีใจ อดยิ้มส่ายหน้ากล่าวขึ้นไม่ได้ “เสวียนจี แน่นอนมีงานให้เจ้าทำ เจ้าน่ะ รับหน้าที่นำกระต่ายสองตัวไปทาน้ำผึ้งย่างให้สุก”
นางโยนกระต่ายยังไม่ลอกหนังสองตัวให้เสวียนจี ดูแล้วเพิ่งล่ามาได้ บนใบหูยังมีเลือดเกาะอยู่ เสวียนจีตกใจตัวโยน สุดท้ายหน้าตาย่ำแย่ หิ้วกระต่ายถามว่า “แม้แต่หนังข้าก็ถลกเองหรือ”
“ใช่สิ มา นี่ให้เจ้า” ฉู่อิ่งหงยัดขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ สองใบใส่มือนาง ด้านบนยังมีด้ายแดงรัดไว้รอบหนึ่ง
เสวียนจีจำมันได้ อดไม่ได้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “อา นี่ไม่ใช่ยาจรุงหรือ”
ยาจรุงคือยาปรุงหนึ่งที่สำนักเส้าหยางปรุงเอง ฤทธิ์ค่อนข้างแรง ขอเพียงช้อนเล็กๆ เหยาะลงในอาหารหรือน้ำชา ก็ทำให้ผู้ที่มีตบะบำเพ็ญสิบปีขึ้นไปกลายเป็นดังไก่ถูกมัดไร้แรงกำลัง สามวันจึงฟื้นคืนได้ ตัวยาเองไม่มีสีกลิ่นรสใด น่าแปลกก็คือทันทีที่ใส่ในอาหารและน้ำ ก็จะกลายเป็นกลิ่นหอมยั่วยวนให้คนอยากลิ้มรส ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่ายาจรุง
ฉู่อิ่งหงยิ้มกล่าวว่า “เจ้านี่ ตอนย่างอย่าลืมเติมเครื่องปรุงด้วย ยาจรุงหยดหนึ่งใช้กับกระต่ายป่าย่างหนึ่งตัวก็เพียงพอแล้ว”
เสวียนจีพลันนึกออกทันที กล่าวว่า “อา ที่แท้ไม่ใช่ย่างให้พวกเรากิน! ท่านอาหง กระต่ายเตรียมให้มารปีศาจสองตัวนั่นใช่ไหม”
ฉู่อิ่งหงพยักหน้า “พวกเราใช้กระต่ายสองตัวล่อพวกมันออกมา เช่นนี้พวกเราก็จะอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ” นางมองเสวียนจีราวรู้ราวไม่รู้ พยักหน้าไม่หยุด อดลูบศีรษะนางไม่ได้กล่าวอ่อนโยนว่า “เหตุใดเรียกข้าว่าท่านอาหง พี่สาวเจ้าหลิงหลงเรียกข้าว่าอาจารย์อา”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เพราะอาจารย์อาไม่เพราะเหมือนอาหง”
นางเกรงแต่ว่าไม่อาจเข้าใจความคิดเด็กหญิงผู้นี้ ฉู่อิ่งหงหลุดยิ้ม ก่อนจะแจกแจงภารกิจจับปีศาจละเอียดอีกที ทุกคนกลับห้องไปจัดของ รอยามไฮ่ค่อยออกเดินทาง
****
เขาลู่ไถซานกลางคืนเดินทางยากกว่ากลางวัน มีคนกล่าวไว้นานแล้ว หากปีนทั้งเขาลู่ไถซาน ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ จากเชิงเขาถึงกลางเขา ล้วนมีแต่หินรูปร่างประหลาด ผาสูงชะโงก ไม่ทันระวังเพียงนิดก็อาจลื่นร่วงลงไปได้ กลางเขาเริ่มมีต้นไม้ใบหญ้า อย่างอื่นไม่มาก ต้นหนามมีมากอย่างยิ่ง ฟ้ามืดมองไม่ชัด มักจะเหยียบตำเอาจนเลือดออก กว่าจะพบว่านั่นเป็นทุ่งต้นหนามผืนใหญ่ทั้งผืน
เดินมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม คนหาบเกลือและซอสเปรี้ยวด้านหลังสองคนก็บาดเจ็บไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทิ้งเกลือสองกระสอบกับซอสเปรี้ยวไปหนึ่งถัง
พูดถึงจงหมิ่นเหยียน เขาเห็นเสวียนจีเดินกระหืดกระหอบ ราวกับใกล้จะล้ม อดไม่ได้กล่าวว่า “นี่ หรือว่าเจ้าแม้แต่กำลังยุทธ์นิดเดียวก็ไม่มี เหนื่อยจนเป็นเช่นนี้ได้!”
เสวียนจีส่ายหน้า และไม่รู้ว่าจะยอมรับหรือไม่ดี นางราวกับเหนื่อยจนกล่าววาจาใดไม่ออก
“เดี๋ยว เดี๋ยว! อย่าไปทางนั้น!” จงหมิ่นเหยียนเห็นนางเอียงเข้าใกล้ดงหนามผืนใหญ่ ก็รีบเอื้อมมือคว้านางไว้ “ใครให้เจ้าไม่ฝึกให้ดี! พละกำลังช่างแย่ยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก!”
นางเงยหน้างุนงง ยามนี้ดวงจันทร์แสงมืดมัว ใบหน้านางก็เลือนราง ราวกับมีผ้าแพรยาวหนาชั้นหนึ่งปกคลุม มีเพียงสองตาราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง กระจ่ายใสอย่างคาดไม่ถึง ในนั้นม่านหมอกบาง ราวกับกระจ่างไม่กระจ่าง ช่างไม่เหมือนฉู่เสวียนจียามปกติ
จงหมิ่นเหยียนตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งพลันเอื้อมมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ น้ำเสียงเปลี่ยนกล่าวว่า “เจ้าเป็นไข้แล้ว!”
เสวียนจีลูบหน้าผากตนเอง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้าก็รู้สึกเหนื่อยมาก…เหมือนหายใจไม่ทัน…เป็นไข้หรอกหรือ”
จงหมิ่นเหยียนคิดถึงที่นางเปียกมะล่อกมะแล่กไปทั้งตัว ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ร่างกายย่อมแข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นผู้ใดก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่เสวียนจีไม่เหมือนกัน นางมิใช่ผู้บำเพ็ญเซียนแม้แต่น้อย เกรงแต่ว่าแม้แต่เคล็ดวิชาครบสมบูรณ์ก็ท่องไม่ได้ เสื้อผ้าเปียกอยู่นานกว่าจะได้เปลี่ยน มิน่าเล่าจึงเป็นไข้
“เจ้าทำอย่างนี้ไม่ได้!” เขารีบกล่าว “รีบกลับไป! จับปีศาจไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น เจ้าอ่อนแอเช่นนี้ เกิดบาดเจ็บไปจะทำเช่นไร”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด
ด้านหน้ามีคนได้ยินเสียงเอะอะเข้าแล้ว ฉู่อิ่งหงเห็นสีหน้าเสวียนจีแปลกไป รีบเข้ามายกมืออังหน้าผากนาง ลูบทีหนึ่ง “เด็กนี่ป่วยแล้ว! เจ้าสำนักไม่สู้ส่งนางกลับไปก่อนไหม” นางกล่าวอย่างเป็นห่วง
ฉู่เหล่ยเงยหน้ามองไปภูเขาสูงที่ไม่เห็นยอดเขา ถามว่า “ต้องเดินไปอีกนานเท่าไร”
หัวหน้านายพรานแซ่หวังกล่าวว่า “ใกล้แล้ว ข้ามเนินนี้ไป ด้านหน้าก็เป็นสระน้ำใหญ่”
เขาถอนหายใจ หันกลับไปมองเสวียนจี สายตามีแววตำหนิหากก็รักลูก บุตรสาวคนเล็กผู้นี้ปกติก็เกียจคร้านไม่ฝึกยุทธ์ ในที่สุดผลเสียเกิดแล้ว ในสถานการณ์สำคัญนี้คอยรั้งทุกคนเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจส่งคนพานางกลับไป เกิดระหว่างทางไปเจอมารปีศาจ มีแต่ตายสถานเดียว
เขากล่าวเบาๆ ว่า “เสวียนจี อดทนหน่อยแล้วกัน ใกล้ถึงแล้ว”
นางพยักหน้า พยายามก้าวเดินไปด้านหน้าอีกสองก้าว พลันได้ยินจงหมิ่นเหยียนด้านหลังร้อนใจกล่าวว่า “อย่าเข้าไปทางนั้น!”
นางนิ่งอึ้ง เพียงรู้สึกเจ็บปวดใต้ฝ่าเท้า นางเหยียบหนามเข้าแล้ว!
บ่านางพลันแข็งค้าง นางถูกพลังหนึ่งดึงถอยหลังหลายก้าว บาดแผลใต้ฝ่าเท้าเหยียบลงพื้น เจ็บจนนางต้องส่งเสียงร้องดัง
“ถอดรองเท้าออก” ฉู่เหล่ยกอดบุตรสาวคนเล็กขมวดคิ้วกล่าว
เสวียนจีหน้าบึ้ง วันนี้นางถูกความโชคร้ายประทับร่างมาจริงๆ เหตุใดเรื่องโชคร้ายจึงวิ่งเข้าหาแต่นาง นางกัดฟันเบ้ปากสลัดร้องเท้าทิ้ง ยกเท้าขึ้น ทุกคนเห็นเพียงใต้ฝ่าเท้าราวหิมะของนางมีเลือดเปื้อนซึมไปหมด ก็ไม่รู้ว่าถูกตำไปเท่าไร คิดแล้วก็เจ็บแทนนาง
“เจ้าสำนัก ให้ข้าดูหน่อย” ฉู่อิ่งหงเดินเข้ามาใช้คบไฟส่องตรวจดูบาดแผลนางอย่างละเอียด ก่อนจะดึงแหนบยาวอันหนึ่งออกจากถุงหนังวัวหลังเอว กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่ากลัว ข้าจะช่วยเจ้าดึงหนามออกมาก่อน”
เสวียนจีได้แต่พยักหน้า นางเองก็รู้สึกเสียหน้า ท่านพ่อกล่าวไม่ผิด นางอะไรก็ทำไม่เป็น ที่ชำนาญที่สุดก็คือเป็นภาระคอยรั้งผู้อื่นเท่านั้น
หันกลับไปเห็นจงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งยืนด้านหลังมองนาง นางกระซิบว่า “ขอโทษ…สร้างความยุ่งยากให้พวกเจ้าเรื่อย”
จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ เขาหลบฉู่เหล่ย ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ “เจ้าเองก็รู้ว่าตนเองนั้นตัวยุ่ง…”
ฉู่อิ่งหงดึงหนามออกให้นาง และยังใส่ยาให้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าตนเองพันเท้านางแน่น ก่อนกล่าวว่า “เกรงแต่ว่าเสวียนจีไม่อาจเดินได้แล้ว ต้องหาใครสักคนมาแบกนาง”
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “ข้าเอง”
นางส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกเราสามคนไม่อาจแบกนาง มารปีศาจไม่รู้จะออกมาเมื่อใด พวกเราไม่อาจขาดสมาธิ”
กล่าวอยู่ นางก็หันกลับไปกวักมือเรียกจงหมิ่นเหยียน “หมิ่นเหยียน เจ้ามาแบกศิษย์น้องเล็กเจ้า อีกสักพักถึงริมสระน้ำ ต้องดูรอบๆ ให้ดี เกรงแต่ว่ากลิ่นคาวเลือดจะชักนำพวกมันให้โจมตีกะทันหัน”
จงหมิ่นเหยียนในใจอัดแน่นไปด้วยความไม่ยินยอม แต่คำพูดอาจารย์อาเขาเองไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่เข้ามาแบกเสวียนจีขึ้นหลังเบาๆ พลางกระซิบว่า “เป็นตัวภาระจริง รู้อย่างนี้ทิ้งเจ้าไว้โรงเตี๊ยม ไม่ให้ออกมาก็ดี!”
เสวียนจีทั้งเป็นไข้ทั้งบาดเจ็บ หมดแรงไปหมด ตัวอ่อนอยู่บนแผ่นหลังเขา ได้ยินเขาบ่น นางอดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า “เป็นความผิดข้า…คราหน้า ข้าจะยอมอยู่รอที่โรงเตี๊ยมดีๆ ไม่ออกมาแล้ว”
จงหมิ่นเหยียนแต่ไรยอมกับการขอ ไม่ยอมการบังคับ ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ความโกรธที่อัดแน่นภายใจก็ระเบิดไม่ออก ได้แต่กระซิบว่า “ไหนเลยจะมีคราหน้า! วันหน้าไม่พาเจ้าออกมาแล้ว”
เสวียนจีนิ่งเงียบ
นางพิงอยู่บนหลังจงหมิ่นเหยียนเงียบๆ ปล่อยให้เขาแบกเดินโยกไปมา ในใจพลันคิดขึ้นมาหลายเรื่อง
แต่ไรมานางไม่ชอบบำเพ็ญเพียร ขี้เกียจฝึกยุทธ์ ขี้เกียจนั่งสมาธิท่องเคล็ดวิชา รู้สึกทำเช่นนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา นางคิดว่าตนเองขลุกอยู่แต่ในเส้าหยางได้ ขอเพียงไม่ออกไปไหน ไม่ผจญคลื่นลมด้านนอก แต่นางไม่เคยคิดว่า ต้องมีสักวันนางย่อมเป็นเช่นครั้งนี้เพราะสาเหตุต่างๆ นานา ออกจากการปกป้องคุ้มครองของเส้าหยาง ออกจากการดูแลของบิดามารดา
นางเพิ่งจะพบว่า พอก้าวออกจากทุกสิ่งที่นางเคยใช้ชีวิต ตนเองถึงกับอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ช่างเป็นภาระยุ่งยากเสียจริง วาจาใหญ่โตผู้ใดล้วนกล่าวได้ เมื่อก่อนนางเองก็กล่าววาจาใหญ่โตไม่ขาด กล่าวว่าตนเองปกป้องตนเองได้ ตอนนี้เล่า? นางปกป้องตนเองได้จริงหรือ
เฮ้อ…นางถอนหายใจในใจ
แท้จริงแล้วต้องการทำอันใด จึงจะเกียจคร้านไป ป้องกันตนเองไปได้กัน
คำถามเคร่งเครียดนี้ นางไตร่ตรองจริงจังอยู่นานมาก แต่ก็หาคำตอบไม่ได้
เงยหน้ามองไปยังพระจันทร์ส่องกระจ่างบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีรู้สึกไร้ทิศทาง ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนแสวงหา ท่านพ่อคิดบำเพ็ญสำเร็จผลเป็นเซียน หลิงหลงคิดได้รับยกย่องว่าเก่งกล้าในเส้าหยาง จงหมิ่นเหยียนอยากให้ท่านพ่อยอมรับ…แล้วนางเล่า นางต้องการสิ่งใด
นางไม่รู้