ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 12
ราวกับรู้ว่าในใจพวกเขาคิดอันใด อินทรีกู่เตียวเปล่งเสียงร้องดังก้องฟ้า ทำเอาแสบแก้วหู กระพือปีกหนีไปทันที รู้ตนเองสู้โดดเดี่ยว ต้องถูกรุมเป็นแน่ ไม่สู้หนีไปหลบก่อนชั่วคราว
ฉู่เหล่ยไหนเลยจะปล่อยมันหนีไป ยกมือขึ้น อาวุธลับคมปราบลำแสงสีน้ำเงินวาบไปไร้สำเนียง ขวางทางไปของอินทรีกู่เตียว ทั้งสามไม่ปล่อยเวลาไว้ เหินกระบี่ขึ้นทันที ล้อมไว้สามด้าน ปิดเส้นทางหลบหนีของมัน
จงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่งหลบอยู่ปากถ้ำเงยหน้ามอง ไหนเลยมองกระจ่างว่ากระบวนท่าใด! หนึ่งเพราะมืด สองเพราะรวดเร็วมาก เห็นแต่ลำแสงกระบี่ทั่วฟ้า ล้อมอินทรีกู่เตียวไว้ แม้ไม่อาจทำร้ายมันได้แม้แต่น้อย แต่ก็ทำให้มันไม่อาจหนีได้
“คิดไม่ถึงอินทรีกู่เตียวร้ายกาจเพียงนี้!” จงหมิ่นเหยียนเห็นมารปีศาจใหญ่เป็นครั้งแรก อดอุทานตกใจไม่ได้ “หากจับไม่ได้จะทำเช่นไร”
อวี่ซือเฟิ่งจับตาดูการเคลื่อนไหวของทั้งสามไม่วางตา กล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ ต้องจับให้ได้!”
วาจากล่าวจบ ได้ยินเพียงฉู่อิ่งหงส่งเสียงดัง “ย่ะ!” กระบี่ในมือแทงเข้าตาซ้ายอินทรีกู่เตียว โลหิตดำสาดเต็มตัวนาง ทั้งคาวทั้งร้อน อินทรีกู่เตียวนั่นเจ็บปวดคำรามร้องดัง น่าหวาดกลัวยิ่ง ช่างราวกับแผ่นดินแตกสลายสายฟ้าฟาด สองปีกใหญ่ยิ่งกระพือแรง พาตัวมันทะยานสูงยิ่งขึ้น หันหลังจะบินหนี
ฉู่เหล่ยไม่ปล่อยให้มันหนีได้ รีบคว้าเอาเชือกมัดปีศาจออกมารัดเท้ามันไว้ ทั้งสามรวมกำลังดึงลงมา แต่ไม่อาจทานกำลังดิ้นรนของมันได้ ถูกมันกระชากเกือบร่วงจากระบี่
จงหมิ่นเหยียนตกใจ ชักกระบี่จะออกไปช่วย ผู้ใดจะรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งเร็วยิ่งกว่าเขา ชุดครามพุ่งไป ตัวคนอยู่บนกระบี่แล้ว ปลายเท้าอยู่บนกระบี่แตะเบาๆ ทั้งคนก็ราวกับไร้น้ำหนัก ค่อยๆ เหินบินขึ้น!
เขากางแขนเสื้อ มีกระบี่ลอยพุ่งออกมาจากในแขนเสื้อนั่นอีก พอเขาแตะเบาๆ ก็บินยิ่งสูง
จงหมิ่นเหยียนตาค้างมองกระบี่พุ่งออกจากในแขนเสื้อเขา เขาทะยานขึ้นไปอย่างสบาย ทั้งสามที่กำลังต่อสู้พัวพันกับอินทรีกู่เตียวจ้องมองมาที่เขาทันที ล้วนตะลึง ในใจฉู่อิ่งหงพลันเป็นห่วง ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าขึ้นมาทำไป! รีบกลับไป!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด ล้วงในแขนเสื้อพลันมีสิ่งบางอย่างสีขาวแถบหนึ่ง เป็นผงกระจาย เหมือนว่าเป็นหิมะตก
ทั้งสามกับอินทรีกู่เตียวนั่นไม่อาจหลบพ้น ถูกสาดไปทั้งตัว ฉู่อิ่งหงปฏิกิริยาเร็วที่สุด ยกมือลูบบ่าทีหนึ่งแตะเข้าที่ลิ้นชิมเบาๆ เป็นเกลือ!
เจ้าเด็กนี่! ทั้งสามพากันยินดี
ตามคาด ดวงตาอินทรีกู่เตียวนั่นถูกเกลือสาด อดเจ็บปวดตกใจไม่ได้ ส่งเสียงแผดร้องดังยิ่ง ตาข้างหนึ่งของมันถูกแทงไปแล้ว อีกข้างถูกเกลือสาดบาดเจ็บ พริบตาก็ไม่อาจลืมตาได้ สองปีกสูญเสียความควบคุม รีบหันหัวกลางท้องฟ้าคิดหนี
“รีบขวางไว้!” ตงฟางชิงฉีตะโกนดัง กระบี่ในมือยื่นออกไปทันที ตวัดวาดแทงเข้าท้องที่อ่อนนุ่มที่สุดของมันอย่างไร้ทางป้องกัน กำลังจะส่งเสียงดีใจ อินทรีกู่เตียวกลับกระพือปีกบินบ้าคลั่ง หมุนตัวไปทั่วสารทิศ ราวกับคิดจะหาที่ซ่อนตัวในป่า
เท้ามันยังถูกเชือกมัดปีศาจรัดไว้ เชือกนั้นแบ่งออกเป็นสามแรง ผูกไว้ที่เอวพวกฉู่เหล่ยสามคน ปีศาจที่บาดเจ็บ พลังบินชนไปทั่วน่ากลัวที่สุด ทั้งสามยื้อไว้สุดกำลังก็ลากไม่อยู่ พักหนึ่งบินขึ้น พักหนึ่งบินลง ขาลอยจากระบี่ใต้ฝ่าเท้ากันนานแล้ว ถูกดึงลากจนหัวหมุนไปหมด
ฉู่เหล่ยเห็นสถานการณ์ไม่ได้การแล้ว กำลังจะตวัดกระบี่ตัดเชือกมัดปีศาจ พลันได้ยินฉู่อิ่งหงตกใจร้องดัง ที่แท้พลังวัตรภายในของนางไม่พอแล้ว ทนมานาน สุดท้ายถึงกับหมดแรง ถูกอินทรีกู่เตียวลากสะบัด ร่วงตกในพุ่มไม้หนามที่พื้นอย่างแรง กายท่อนล่างโลหิตไหลไม่หยุด
ตงฟางชิงฉีด้านหลังคิดจะเอื้อมมือลงไปดึงนาง กลับถูกปีกอินทรีกู่เตียวกวาดเขาเต็มแรงจากด้านหลังฟาดกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับหินหน้าถ้ำเต็มแรง เงียบไปทันที ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ฉู่เหล่ยเห็นว่าพริบตาสามคนบาดเจ็บไปสอง ในใจก็แอบรู้ว่าไม่ได้การแล้ว เขาไม่กล้าบุ่มบ่าม รีบสะบัดมือตัดเชือกมัดปีศาจสามเส้นทิ้ง พาตัวฉู่อิ่งหงออกจากพุ่มหนามมาตรวจดูอาการบาดเจ็บก่อน ดีที่หนามไม่มีพิษ แม้ว่าครึ่งร่างด้านล่างมีแต่โลหิต แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก ไม่นับว่าสาหัส
“อินทรีกู่เตียวเล่า?” ฉู่อิ่งหงถามอย่างอ่อนแรง กัดฟันดึงหนามบนบ่าออก
ฉู่เหล่ยส่ายหน้า “วันนี้เกรงแต่ว่าจับมันไม่ได้ ก่อนหน้าไม่เคยคิดว่า ที่แท้จะเป็นปีศาจเฒ่าที่ใกล้กลายเป็นจอมปีศาจ เตรียมตัวมาไม่พอ ได้แต่ไว้คราหน้าแล้ว”
ฉู่อิ่งหงถอนใจกล่าวว่า “ดีที่…ทำร้ายมันไปสองจุด…เจ้าสำนักไม่ต้องสนใจข้า รีบไปหารังมัน ตอนนี้มันได้รับบาดเจ็บหนัก ย่อมไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
ฉู่เหล่ยกำลังจะกล่าว ก็พลันได้ยินเสียงร้องตกใจของจงหมิ่นเหยียนในถ้ำ ทั้งสองร้อนใจหันกลับไป เห็นอินทรีกู่เตียวที่เต็มไปด้วยโลหิตกำลังบินไปที่ถ้ำ!
เสวียนจีอยู่ในถ้ำ! ทุกคนตกใจอย่างมาก ฉู่อิ่งหงฮึดจะลุกขึ้น พลันสีหน้าเจ็บปวดซีดเผือด ฉู่เหล่ยกดนางลง “เจ้าพักก่อน ดูแลตัวเอง ข้าไปเอง!”
เขาเคลื่อนไหวราวสายฟ้า พริบตาก็ไปถึงปากถ้ำ กลับไม่เห็นจงหมิ่นเหยียนกับอวี่ซือเฟิ่ง เจ้าเด็กโง่สองคน คิดว่าตอนชุลมุนน่าจะแบกเสวียนจีหนีเข้าไปในถ้ำแล้ว เช่นนี้มีแต่หมดสิ้นกัน! ในถ้ำคับแคบ ไม่อาจต่อสู้ได้นัก หากถูกอินทรีกู่เตียวบ้าคลั่งตามทัน สามคนมีแต่ตายสถานเดียวแล้ว!
ในใจเขาร้อนดังไฟเผา ตอนนี้ได้แต่รีบเหินไล่ตามเข้าไปในถ้ำ
กล่าวถึงเมื่อครู่ที่อินทรีกู่เตียวบินเข้าไปในถ้ำ จงหมิ่นเหยียนร้อนใจจนผมแทบชี้ กำลังจะชักกระบี่ ก็กลัวว่าจะทำให้เสวียนจีที่เอนตัวนอนอยู่ด้านข้างบาดเจ็บ หากจะหนีออกไป อินทรีกู่เตียวตัวใหญ่เช่นนี้ปิดปากถ้ำไว้ ไหนเลยจะผ่านไปได้
ขณะกำลังร้อนใจอยู่ ก็มีเงาหนึ่งปรากฏวูบ อวี่ซือเฟิ่งเหาะมาข้างกาย คว้าเสวียนจีโยนขึ้นหลัง หันกลับไปตวาดเขาดังว่า “อึ้งอันใดเล่า! รีบหนีเร็ว!”
เขาได้สติทันที ไม่อาจสนใจอันใดอีก ทั้งสองสะบัดกาย รีบวิ่งเข้าไปในถ้ำลึกทันที
อินทรีกู่เตียวตาบอด มองไม่เห็นเส้นทางด้านหน้า กลับได้กลิ่นคาวเลือดจากตัวเสวียนจี กลิ่นนี้สำหรับมันแล้วเป็นอาหารโอชะที่สุด ได้สติคืนมา ปีกใหญ่กระพือสองที ก็ไล่ตามหลังพวกเขาไปติดๆ
“มันไล่ตามมาแล้ว!” จงหมิ่นเหยียนหันกลับไปเห็นอินทรีกู่เตียวห่างจากตนเองไม่ถึงสามจ้าง ได้แต่ตกใจมือไม้อ่อน
“ร้องทำไม! ไร้ประโยชน์!” อวี่ซือเฟิ่งตวาด “นี่!” เขาเลี้ยวขวับ ที่แท้ในถ้ำยังมีเส้นทางเล็กแยกสายหนึ่ง อินทรีกู่เตียวกางปีกไม่ได้ หากคิดกินพวกเขา ได้แต่เดินเข้าไป เช่นนี้พวกเขาก็จะมีเวลายิ่งมาก
จงหมิ่นเหยียนถูกเขาตวาด ในใจทั้งอับอายทั้งเสียหน้า ร้อนใจรีบชักกระบี่ออกมา กล่าวเด็ดขาดว่า “พวกเจ้าไปก่อน! วันนี้ข้าจะต้องสังหารเจ้าเดรัจฉานมีขนตัวนี้ให้ได้!”
กล่าวจบเขาก็ทะยานขึ้น ตั้งท่ากระบวนกระบี่นภากระจ่างที่เห็นได้บ่อยที่สุดของสำนักเส้าหยาง ปลายเท้าหมุน ข้อมือสะบัดแทงออกไปมั่นคง แต่ในยามต่อสู้ ผู้ใดจะรอให้เขาเอากระบี่มาตั้งท่าเสร็จก่อนได้กัน อินทรีกู่เตียวได้ยินเสียงกระบี่ ก็ส่งเสียงดังยาว จะงอยปากราวตะขอเหล็ก จิกใส่อย่างแรง
จงหมิ่นเหยียนคิดไม่ถึงว่ามันเคลื่อนไหวเร็วเพียงนี้ เพียงแต่หลบไม่ทันแล้ว เสื้อด้านหน้าถูกฉีกขาด ผิวหนังบาดเจ็บเล็กน้อย เขากัดฟันตั้งกระบวนท่าที่สอง แทงเอียงเข้าไปยังส่วนท้องของอินทรีกู่เตียว
อวี่ซือเฟิ่งเห็นเขาโจมตีไม่คิดชีวิตเช่นนี้ ก็ร้อนใจตวาด “ไม่ต้องสู้! รีบมานี่!”
กล่าวไม่ทันจบ พลันเห็นอินทรีกู่เตียวสยายปีก ในถ้ำเกิดลมหอบหนึ่ง หินกระจายปลิวว่อน กระบวนกระบี่ที่จงหมิ่นเหยียนตั้งท่าได้ครึ่งเดียว กระบี่ในมือก็ถูกเศษหินกระแทกร่วง ก้อนหินน้อยใหญ่กระจายปลิวทั่วฟ้าและพื้นดิน เขาได้แต่หลบและหลบ หากยังถูกกระแทกเข้าหลายก้อน ศีรษะมีเลือดสดๆ ไหลอาบ
เขาจึงรู้ตัวว่าปีศาจขั้นนี้ไม่ใช่ระดับตนเองจะรับมือได้ กำลังคิดจะเร้นกายหลบเข้าทางแยก หูพลันแว่วเสียงลมเสียดดัง ที่แท้อินทรีกู่เตียวกางกรงเล็บเตรียมจิก
ยามนั้นราวกับแสงไฟสว่างวาบ ความเป็นความตายก็แค่พริบตา จงหมิ่นเหยียนเบิกตาค้างมองกรงเล็บจิกมาที่ตน กรงเล็บดำมันขลับส่องประกาย แต่ละนิ้วยังหนากว่าแขนเขาเสียอีก
หรือว่าวันนี้สิ้นชีพที่นี่แล้ว?
เขาไม่ทันได้คิดอะไรมากนัก รู้สึกเพียงแค่แขนถูกกระชากอย่างแรง บังคับตนเองไม่ได้ ตัวเอียงลอยหวือออกไป ปลายตามองเห็นเงาสีครามสายหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่ง!
ในมือเขาไม่รู้มีกระบี่สั้นสองเล่มตั้งแต่ตอนไหน มันส่องประกายวาบ กระตุกมาหน้าจงหมิ่นเหยียน สองแขนกางออก วาดเป็นวงกลม ได้ยินเสียงปังดัง กรงเล็บอินทรีกู่เตียวเล็บหนึ่งถูกเขาตัดขาดอย่างแรง กระบี่สั้นสองเล่มนั่นก็สะบัดหักไปด้วย
เจ้านกเฒ่า กรงเล็บแข็งจริง!
อวี่ซือเฟิ่งอาศัยจังหวะอินทรีกู่เตียวร้องเจ็บปวด หันกลับไปตวาดว่า “ยังมัวอึ้ง อะไรอีก! พานาง ไป!”
ครั้งนี้จงหมิ่นเหยียนถูกเขาตวาด แต่ในใจกลับรู้สึกยินยอม ไม่กล้าลังเลหยิ่งทะนงอีก หันกายเข้าไปในทางแยก พาเสวียนจีไปวางอยู่ตำแหน่งในสุดของทางแยก
กำลังหันกลับไปช่วยเขา ก็กลับได้ยินเสียงร้องอวี่ซือเฟิ่งที่ถูกปีกอินทรีกู่เตียวกวาดสะบัดใส่ ทั้งตัวลอยออกไปร่วงลงพื้นพร้อมกับเขา ยังมีหน้ากากอสุราน่ากลัวนั่นอีกด้วย
หน้ากากบนใบหน้าเขาหลุดออกมาแล้ว!