ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 13
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาตกในอันตรายอย่างยิ่ง ดีไม่ดีอาจจะถูกกระชากท้องฉีก ได้แต่รีบเหินเข้าไป กระชากเข็มขัดที่เอวออกมัดเอวเขาไว้แน่น ใช้แรงกระชาก เขาลืมบังคับพลังวัตร พออวี่ซือเฟิ่งกระแทกเข้ากับร่างจึงได้คิดว่าพลังห้าส่วนก็พอแล้ว
สายไปแล้ว ทั้งสองร่วงลงกับพื้น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังลั่น ดีที่การร่วงนี้ ร่วงลงตรงทางแยกพอดี ที่นี่พื้นที่แคบ อินทรีกู่เตียวบินเข้ามาไม่ได้ชั่วคราว ได้แต่คำรามดังโวยวายอยู่นอกทางแยก สองปีกราวกับจะกระพือเปิดถ้ำ
จงหมิ่นเหยียนรอดตายมาได้ ยังตกใจอยู่บ้าง กล่าวเสียงสั่นว่า “คิดไม่ถึง…ร้ายกาจเพียงนี้!”
อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ส่งเสียง “อือ” เสียงหนึ่งก่อนจะรู้สึกเจ็บปวด คิดว่าเมื่อครู่พลังวัตรมากไป เจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น เขากล่าวเสียงเย็นว่า “มัน ใกล้เป็น จอมปีศาจ! แม้แต่ อาจารย์เจ้า ไม่อาจ รับมือ นับประสาอันใดกับเจ้า! เมื่อครู่ จริงๆ เลย!”
จงหมิ่นเหยียนหน้าแดง รู้สึกสึกละอายใจ ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก
อวี่ซือเฟิ่งพยายามลุกขึ้นนั่ง หันกลับไปมองเสวียนจีที่เอนตัวนอนอยู่ กล่าวเบาๆ ว่า “เสียงดังเช่นนี้ นางถึงกับ ไม่ตื่น!”
จงหมิ่นเหยียนมองตามสายตาเขาไป เห็นเด็กหญิงขดตัวเป็นก้อนกับพื้น นอนหลับสนิทมาก นิ้วมือขดวางตรงข้างแก้ม สองแก้มราวหยก ขนตาไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังฝันอะไรอยู่ สองคิ้วขมวดแน่น มองดูแล้วทุกข์ทรมานยิ่ง
“ราวสุกรจริง” เขาถอนหายใจ ไม่รู้เหตุใด ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย รู้สึกวางใจ อย่างน้อยพวกเขายังปกป้องเสวียนจีปลอดภัย เจ้าภาระหนักนี่!
อวี่ซือเฟิ่งลูบใบหน้า พลันตัวแข็งค้าง “ข้า…หน้ากาก…” เขาร้อนใจควานหากลางกองเศษหินรอบๆ กลับหาอย่างไรก็ไม่พบ
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “หลุดนานแล้ว ไม่ต้องหาแล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งกลับไปนั่งทันที เป็นนานกว่าจะกล่าวราวกระซิบว่า “อาจารย์ ต้องด่าข้า ตายแน่”
จงหมิ่นเหยียนจ้องมองใบหน้าซีดขาวของเขา ราวกับเพราะสวมหน้ากากมานานปี สีหน้าเขาขาวกว่าคนปกติมาก และยังขาวราวกับป่วย แต่กลับไม่อาจปิดบังความหล่อเหลาสะอาดตาแต่กำเนิดของเขา สองคิ้วคู่นั้น สองตาคู่นั้น จมูกนั่น ริมฝีปากนั่น…จงหมิ่นเหยียนรู้สึกไม่อาจกล่าวอันใด เจ้าหมอนี่ที่แท้งามเพียงนี้!
ไม่ใช่เป็นความงามอ่อนแอแบบสตรีทั่วไป แต่เป็นความใสกระจ่าง งามสมบูรณ์ ดวงตาใสกระจ่างและริมฝีปากเม้มเล็กน้อย ยังมีความทระนงหนึ่งและจิตวิญญาณใสซื่อของเด็กหนุ่ม ทำให้คนคิดถึงไผ่เขียวหรือกระเรียนมงกุฎแดง สรุปอย่างไรก็เป็นสิ่งที่สูงส่งงดงามยิ่งพวกนั้น
จงหมิ่นเหยียนมองเห็นเขาท่าทางวุ่นวายราวกับจะสิ้นใจ ปากก็พึมพำไม่หยุด อดตบบ่าเขาเต็มแรงไม่ได้ “นี่ ใช่ชายชาตรีหรือไม่ ก็แค่เผยใบหน้า! อย่าพร่ำบ่นราวอิสตรี! เมื่อครู่หน้ากากไม่หลุด ที่หลุดคงเป็นชีวิตเจ้า! อาจารย์เจ้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นกระมัง!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “เจ้าสิ อิสตรี!”
เขาพูดภาษาจงหยวนได้ไม่ดีนัก คำเหล่านี้ถูกเขากัดฟันกล่าวออกมาเช่นนี้ ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกตลก จงหมิ่นเหยียนอดหัวเราะดังลั่นไม่ได้ สุดท้ายแม้แต่อวี่ซือเฟิ่งเองก็อดหัวเราะไม่ได้ พวกเขาสองคนผ่านเหตุการณ์มาด้วยกัน ก็นับว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ลืมวาจาก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ ถึงกับเริ่มคุยเล่นกันได้ แต่ละคนผลัดกันเล่าเรื่องสนุกสำนักตนเอง
ทางแยกนี้แม้แคบ แต่ก็ไม่ลึก เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงสุดผนังถ้ำแล้ว อินทรีกู่เตียวไม่อาจเข้ามาได้ชั่วคราว สถานการณ์ยังคงอันตรายยิ่ง
แต่พวกเขาแม้ว่าร่วมกันสู้ตายก็ไม่อาจรับมือมันได้ ตอนนี้ได้แต่หลบอยู่ที่นี่รอผู้ใหญ่ด้านนอกเข้ามาช่วยพวกเขา
ทั้งสองคุยกันสักพัก ก็รู้สึกว่าอินทรีกู่เตียวด้านนอกที่ส่งเสียงดังค่อยๆ แผ่วลง คิดว่ามันคงบาดเจ็บ ยามนี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว หากมันออกจากถ้ำไปเองได้นับว่าโชคดีมาก ไม่เช่นนั้นพวกเขายังไม่รู้จะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน
“เจ้า บาดเจ็บ?” อวี่ซือเฟิ่งเห็นหน้าอกจงหมิ่นเหยียนมีเลือดไหลซึม อดถามไม่ได้
จงหมิ่นเหยียนลูบหน้าอกทีหนึ่ง ถอนใจกล่าวว่า “เล็กน้อย ถูกตะปบแผลหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้าสิ เมื่อครู่ถูกปีกมันฟาด ไม่เป็นไรใช่ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “บาดแผลภายนอก เท่านั้น…”
กล่าวเพิ่งจบ ก็ได้ยินเสวียนจีที่ด้านหลังราวกับส่งเสียงเรียกอันใด ทั้งสองรีบหันกลับไป เห็นนางมีหน้าทนทุกข์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าแดงก่ำ หน้าผากมีเหงื่อชุ่ม พลิกตัวไปมาอย่างทรมานบนพื้น
จงหมิ่นเหยียนตกใจรีบเข้าไปยื่นมือลูบใบหน้านาง ร้อนเป็นไฟ! เขารีบตบใบหน้านางเบาๆ กระซิบเรียกนาง “เสวียนจี…เสวียนจี?! นี่! ตื่น! ได้ยินข้าพูดไหม”
นางไม่ได้ยิน ราวกับกำลังทนรับความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดอันใดสักอย่าง ฟันกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด
อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้ามาคว้าแขนจับชีพจรนาง “ใจเต้นเร็วมาก!” เขาขมวดคิ้ว “ไม่เหมือน ป่วย…” สถานการณ์ตอนนี้เหมือนว่าฝึกวิชาและมารเข้าแทรก น่าแปลก เห็นชัดว่านางเป็นเด็กหญิงที่อะไรก็ไม่เป็น เหตุใดอยู่ๆ ถึงมารเข้าแทรกได้
เขากำลังจับชีพจรอย่างละเอียด จับข้อมือเสวียนจีพลิก ราวกับมีกระแสสายฟ้าฟาด นิ้วทั้งห้าราวตะขอ คว้าข้อมือเขาไว้อย่างแรง เขาเจ็บปวดส่งเสียงร้องตกใจ ก้มหน้ามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ เด็กหญิงผู้นี้ถึงกับลืมตาขึ้น!
สายตานางเหม่อลอย จับจ้องราวกับมองทะลุร่างเขาไป ทะลุไปยังกำแพงถ้ำอันมืดมิด ไม่รู้มองไปที่ใดอันไกลไร้จุดหมาย
“เสวียนจี!” จงหมิ่นเหยียนตะโกนเรียกชื่อนาง ผู้ใดจะรู้ว่านางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย ใบหน้าแดงน่ากลัวค่อยๆ มลายหายไป สีหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นขาวราวหิมะตกใหม่ หว่างคิ้วมีกระแสดุร้ายสายหนึ่ง มองดูแล้วประหลาดน่าตกใจยิ่ง
“…รน หา ที่ ตาย” นางมองไปยังที่ไกลออกไปไม่รู้ที่ใด ปากก็เอ่ยวาจาออกมาช้าๆ
“อันใด?” จงหมิ่นเหยียนฟังไม่ชัด “เจ้าอย่าทำให้ตกใจได้ไหม! ฉู่เสวียนจี!” เขาตวาดดัง
เสียงตวาดเพิ่งเงียบ ก็ได้ยินอินทรีกู่เตียวด้านนอกส่งเสียงร้องแหลมดังขึ้น ราวกับเสียงแผดร้องดังของทารกแรกเกิดนับหมื่น ในถ้ำแคบๆ เปล่งพลังใหญ่มหึมามาเป็นระลอก น่ากลัวยิ่งกว่าคลื่นน้ำเสียอีก
เลือดในกายจงหมิ่นเหยียนและอวี๋ซือเฟิ่งทั้งสองคนราวระอุขึ้นฉับพลัน อ้าปากอยากอาเจียนออกมา อุดหูไม่ได้ผล เสียงนั่นกระแทกเข้ามาที่หน้าอกพวกเขา หากไม่ดิ้นรนสะกดลมหายใจไว้ เกรงแต่ว่าคงได้พ่นโลหิตออกมาในตอนนั้นสิ้นลมทันที
“ไม่ได้การ!” อวี่ซือเฟิ่งฝืนกล่าวออกมา “มัน! จะ จะเข้ามาแล้ว!”
พอส่งเสียงขึ้น ตัวเขาทั้งร่างก็ล้มทับร่างเสวียนจีไว้ ไม่ขยับอีก ที่แท้เมื่อครู่เขาถูกปีกอินทรีกู่เตียวสะบัดใส่บาดเจ็บภายใน เมื่อครู่ฝืนทนไว้ ตอนนี้ชีพจรถูกกระทบซ้ำอย่างหนักอีก แม้ว่าเขามีความสามารถสูงส่งเพียงใด แต่อย่างไรก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบสามเท่านั้น
“นี่! ไม่กระมัง! เหตุใดเจ้าล้มลง!” จงหมิ่นเหยียนลนลาน กำลังไม่รู้ทำเช่นไรดี ก็เห็นเงาดำปรากฏขึ้นตรงทางแยก อินทรีกู่เตียวนั่นถึงกับเก็บปีก เดินเลียบเข้ามาตามร่องกำแพงทีละก้าว!
เขาตกใจอย่างยิ่ง กำลังจะคว้ากระบี่ออกมาสู้กับมัน กระบี่ในมือหล่นตรงนอกทางแยกก่อนหน้านี้แล้ว นับประสาอันใดกับเขาที่ไหนเลยสู้กับมันได้! ทำสิ่งใดไม่ได้ ความกล้าพังทลาย…นี่มัน…ใกล้ตายแล้วใช่ไหม?!
เขาก้มหน้ามองเสวียนจีแวบหนึ่ง นางยังคงนอนนิ่งเงียบ ความทรมานเมื่อครู่หายไปแล้ว
ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ตายท่ามกลางความทรมาน
เขาหลับตาลง ล้มทับร่างเสวียนจี ใช้ร่างกายปกป้องนางไว้แน่นหนา
ร่างกายนางราวกับเหล็กหลอมร้อนระอุ ร้อนอย่างคิดไม่ถึง จงหมิ่นเหยียนสะดุ้งเล็กน้อย พลันเห็นนางหลับตา มือข้างนั้นที่คว้าอวี่ซือเฟิ่งไว้ค่อยๆ ยกขึ้น