ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 17
เชิงเขาลู่ไถซานมีทะเลสาบใหญ่ผืนหนึ่ง ว่ากันว่าอินทรีกู่เตียวเคยมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่คอยจับผู้คน ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้ามาเดินเล่น
พวกเสวียนจีแบกเงือกมาที่ริมทะเลสาบ วางลงบนก้อนหินอย่างเบามือ จงหมิ่นเหยียนวิ่งมาตลอดทาง ถึงกับลืมหายใจ ตอนนี้เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่ลงนั่งยองหอบหายใจกับพื้น พลางกล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “เสวียนจี…เจ้า เจ้าดูแล…เขาก่อน…”
เสวียนจีนั่งยองลงข้างกายเงือก เห็นทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงกับไม่มีที่ดีสักแห่ง อดถอนใจกล่าวไม่ได้ “เจ้า…เจ็บไม่เจ็บ ข้ามียา ให้เจ้า”
เงือกเพียงมองนางเงียบๆ ราวกับฟังไม่เข้าใจ แม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ
เสวียนจีดึงแขนเสื้อจงหมิ่นเหยียน “ทำอย่างไรดี เหมือนเขาฟังข้าพูดไม่เข้าใจ?”
“เจ้า…สน สน ว่าเขาฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง! ควร ควรใส่ยาให้เขา ควรปล่อยก็ปล่อย!” จงหมิ่นเหยียนลงแผ่หรากับพื้นในที่สุด ไม่คิดกล่าววาจาใดอีกแล้ว
เสวียนจีควักเอายาสมานแผลสูตรเฉพาะของสำนักเส้าหยางออกมาจากถุงหนังที่เอว จ้องมองบาดแผลทั้งตัวของเขาเป็นนาน บนร่างมีทั้งโลหิตและน้ำ สกปรกยิ่ง บางแห่งผิวหนังเปิดออก แช่น้ำจนซีดขาว
นางรีบฉีกผ้าเช็ดหน้าตนออกเป็นสองส่วน ชุบน้ำในทะเลสาบทำความสะอาดแผลให้เขาจนสะอาด ก่อนจะใส่ยาให้ ดีที่ระยะนี้เนื่องจากจับปีศาจ คนได้รับบาดเจ็บกันมาก ถุงหนังยังมีผ้าพันแผลเหลืออยู่ เพียงพอพันให้เขาอย่างแน่นหนา
ใส่ยาให้เขาเสร็จ เสวียนจีถอนหายใจ ทำตามจงหมิ่นเหยียน นั่งลงบนพื้นหญ้า คางจรดเข่า จ้องมองเงือก
แม้ว่านางได้เข้าใกล้สังเกตเงือกระยะประชิดเป็นครั้งที่สาม แต่สองครั้งแรกอยู่ในน้ำ ตอนนี้ไม่มีน้ำ มองไปแล้วเขายิ่งซีดขาวโพลน ผมยาวราวกับสาหร่ายน้ำพันกันอยู่ด้านหน้าอกและแผ่นหลัง สีผมไม่เหมือนคนทั่วไป เส้นผมเงือกดำราวกับไม้จันทร์หอมดำ ในความดำมีสีม่วง ยามต้องแสงอาทิตย์ส่องประกายงดงาม
นัยน์ตาเขาเป็นสีฟ้าอ่อนราวกับน้ำในทะเลสาบ กรอบดวงตายาวรีกว่าคนทั่วไป แววตาลึกล้ำ จมูกโด่ง ปากบาง น่าจะเพราะโดนทรมานมามาก ทำให้สีปากซีดขาว ท่าทางอเนจอนาถยิ่ง
แต่ไม่ว่ามองอย่างไร เขาก็เป็น ‘คน’ ที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนผู้ใด อาจไม่สูงส่งแบบอวี่ซือเฟิ่ง อาจไม่หล่อเหลาแบบจงหมิ่นเหยียน แต่ผู้ใดขอเพียงได้เห็นเขาย่อมลืมไม่ลง ลืมดวงตาสีฟ้าอ่อนเจ็บปวดคู่นั้นไม่ลง ลืมกลิ่นอายความอ่อนโยนสงบนิ่งที่มีเฉพาะเขาไม่ลง
เสวียนจีมองไปมองมาก็ตกสู่ห้วงภวังค์ความคิด แอบรู้สึกว่าดวงตากระจ่างใสของเขามีรอยยิ้ม นางพลันได้สติ ดึงเสื้อจงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เจ้าดู เจ้าดู ! เขากำลังยิ้ม! ใช่รู้สึกอิสระเบิกบานหรือไม่”
จงหมิ่นเหยียนผงกศีรษะขึ้นมองเขา “ยิ้มที่ไหน! เจ้ามึนงงแล้วกระมัง!”
เขาขยับยืดเส้นยืดสาย ลุกขึ้นจากพื้นหญ้า มองซ้ายมองขวา กล่าวว่า “เจ้าซือเฟิ่ง เหตุใดยังไม่มา! คงไม่ใช่เจออะไรยุ่งยากเข้านะ เสวียนจี หรือเจ้าไปดูหน่อย?”
เสวียนจีไม่ได้ฟังวาจาเขาแม้แต่น้อย นางกำลังประคองขนมนึ่งส่งไปตรงหน้าเงือก
“เจ้าหิวไหม” นางถามอย่างระมัดระวัง “อยากกินไหม”
เงือกยังคงไม่พูด เพียงแค่มองนางนิ่งๆ เสวียนจีเอาขนมนึ่งใส่ปากกัดคำหนึ่ง แสดงท่าทางว่าของนี้กินได้ จากนั้นก็เอาที่ยังไม่กัดส่งไปยังปากเขา สายตาส่องประกายเต็มไปด้วยการคาดหวัง
เขายังคงนิ่ง ราวกับนั่งเป็นท่อนไม้กับที่
“เขาไม่ชอบกินของกินแบบพวกเรากระมัง!” จงหมิ่นเหยียนเองก็หันมาสนใจ “เขาเป็นเงือก ควรกินของที่เงือกควรกิน”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้นเงือกกินอันใด”
“เอ…” จงหมิ่นเหยียนก็เริ่มคิดจริงจัง “เงือกมีชีวิตในน้ำ ไม่ต่างกับปลานัก…น่าจะกินแมลงเล็กหรือกุ้งเล็กมัง! เจ้าไม่สู้ไปหาไส้เดือนมาให้เขา!”
ไส้เดือน?! เสวียนจีสีหน้าหม่นลง เงือกตรงหน้าเหมือนเหงื่อตก แต่ก็ยังคงไม่กล่าวอันใด
“เงือกกับมนุษย์ กินเหมือนกัน” เสียงอวี่ซือเฟิ่งดังมาจากด้านหลัง
จงหมิ่นเหยียนรีบกระโดดลุกขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง มีคนพบเจอไหม”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าเดินเข้ามา มองเงือกก่อน เห็นร่างเขาพันผ้าพันแผลไว้ อดถามเสวียนจีอ่อนโยนไม่ได้ว่า “เป็นเจ้า ทำหรือ”
เสวียนจีพยักหน้า “ก็ไม่รู้ยาสมานแผลของคนใช้กับเขาได้ผลไหม”
เขายิ้ม “ได้ผล วางใจเถอะ”
เห็นขนมนึ่งในมือนางเขายิ้มอีก “แต่เงือก ไม่ชอบกิน ขนมพวกนี้ เจ้าก็ อย่าเปลืองแรง เลย”
เสวียนจีส่งเสียง “อ้อ” เสียงหนึ่ง ราวกับน่าเสียดายมาก ได้แต่เก็บขนมนึ่งตนเองให้ดี ไว้กินเป็นของว่างคืนนี้
จงหมิ่นเหยียนมองไปรอบๆ กล่าวว่า “ทำอย่างไรดี ปล่อยเขาลงทะเลสาบนี้ได้ไหม จะมีคนพบเห็นไหม”
อวี่ซือเฟิ่งนั่งยองลงตรงหน้าเงือกราวกับได้พบกับเพื่อนสนิทที่คุ้นเคย ยกมือไปจัดผมที่พันกันยุ่งเหยิงให้เขา กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าอย่ากลัว อยู่ที่นี่ก่อน สองสามวัน อย่าให้ ถูกจับ เดือนหนึ่ง จากนี้ จะมีคน มารับเจ้า”
เงือกนั่นราวกับฟังเขาเข้าใจ กะพริบตา แสดงการเห็นด้วย จงหมิ่นเหยียนอดตกใจไม่ได้ “เขาฟังที่ซือเฟิ่งพูดเข้าใจ? หรือว่าเงือกฟังภาษาจงหยวนแท้ๆ ไม่ออก กลับชอบฟังภาษาจงหยวนแบบสำเนียงถิ่นฟากตะวันตก?”
อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองเขาอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไร หันกลับไปกล่าวกับเงือกว่า “วาจาข้า จดจำไว้ ไม่นาน จะมีคน มารับ”
เสวียนจีถามกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนมารับเขา”
อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเรา ตำหนักหลีเจ๋อ มีคน เฉพาะทางนี้ รับหน้าที่ บาดแผลเหล่านี้ ปีศาจอ่อนแอ ยังไม่โต ไม่ใช่ใต้หล้า ทุกสำนัก เหมือนกับ เส้าหยางเจ้า กำจัด พวกแตกต่าง เช่นนั้น”
จงหมิ่นเหยียนได้ฟังวาจานี้ก็ราวไฟปะทุ แต่หวนกลับมาคิดดูที่เขาพูดก็เป็นความจริง หากเป็นอาจารย์หรืออาจารย์อา พวกเขาเห็นเงือกนี่ อย่าว่าแต่กล่าวช่วย เกรงแต่ว่าจะลงมือจับพวกเขาด้วยตนเองด้วยซ้ำไป
เขารู้สึกตนเองแพ้เหตุผลนี้ แต่ก็ไม่อยากยอมรับ ได้แต่แค่นเสียงฮึ เดินไปด้านข้าง ไม่พูดอันใดอีก
เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่กำจัดพวกแตกต่าง ข้าเพียงช่วยคนที่ต้องการช่วย ไม่ว่าปีศาจหรือมนุษย์”
อวี่ซือเฟิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ผลักร่างเงือกเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ ยาเม็ดขวดนี้ ให้เจ้า หิวแล้ว ก็กินเม็ด ดีต่อ บาดแผล” เขาใช้เชือกรัดขวดกระเบื้องสีม่วงขวดเล็กไว้ที่เอวเงือก
เงือกจ้องมองเขาไม่วางตา ก่อนจะก้มมองเสวียนจี พลันเงยหน้าขึ้น อ้าปาก เปล่งเสียงเพลงกระจ่างใส
เสียงนั้นช่างไพเราะงดงามอย่างที่พวกเขาคาดไม่ถึง พอได้ฟัง ทำให้คนต้องขนลุก รูขุมขนราวเปิดออกในพริบตา ถูกกระแสสบายสดชื่นปกคลุม ทั่วร่างพลันรู้สึกผ่อนคลาย
สุดท้ายเขามองเสวียนจีแวบหนึ่ง พลันตั้งกายขึ้น หางปลาสีเงินต้องแสงตะวันราวแพรบางเบา สะบัดราวห้วงฝัน ลื่นนุ่มวาวไหว กระโดดพลิ้วลงทะเลสาบไปอย่างนุ่มนวล แม้แต่น้ำกระเซ็นก็ไม่มีสักหยด
สามคนตะลึงมองคลื่นน้ำกระเพื่อมใหญ่ เงาขาวราวหิมะของเงือกในที่สุดก็มองไม่เห็นอีก ข้างหูยังแว่วเสียงเพลงของเขา แว่วอยู่เช่นนั้น ออกไปไกลถึงสวรรค์เก้าชั้น แสงเมฆาล้วนราวเคลิบเคลิ้มชั่วระยะหนึ่ง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสวียนจีจึงได้ตกใจตื่นจากเสียงเพลงในห้วงฝัน เดินไปดูผืนทะเลสาบ ที่นั่นไหนเลยจะยังมีเงาคนอยู่!
“เอ๋ เขา…เมื่อครู่ ขับร้องอันใด” จงหมิ่นเหยียนยังคงตกตะลึง “ไพเราะจริง ข้าแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเสียงเช่นนี้”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เขากำลัง ขอบคุณ พวกเรา หลายคน บอกว่า เงือก ใช้บทเพลง กล่อมคุมจิต ความจริง พวกเขา ในใจ คิดไม่ดี สำหรับเงือก เสียงพวกเขา เพราะที่สุด มีค่ามาก ดังนั้นพวกเขามอบ สิ่งมีค่า ให้กับ ผู้มีพระคุณ”
เสวียนจีลูบแขน ยังคงรู้สึกใจเต้นแรง ขนที่ลุกยังลุกอยู่
นางนิ่งเป็นนานพลันยิ้มกล่าวว่า “ปฏิบัติการไข่มุกนับว่าเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือไม่”
สองคนตรงหน้าอึ้งไปก่อนจะล้วนยิ้มตาม ทั้งสามคนยื่นมือออกมาโดยไม่ต้องกล่าว ร้องตะโกนพร้อมกัน “ปิดฉากสวยงาม! พวกเราเป็นวีรบุรุษ!”
พวกเราเป็นวีรบุรุษ!
ตอนบ่ายวันนั้น วาจานี้นี้ยังคงลอยพลิ้วบนผืนทะเลสาบ
เด็กสามคนอายุสิบกว่าขวบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ลิ้มรสความสุขที่ได้เป็นวีรบุรุษ
หลังกลับถึงโรงเตี๊ยม สีหน้าพวกเขายังคงตื่นเต้น สุดท้ายพอฉู่อิ่งหงถามพวกเขาตอนบ่ายทำอันใด ผลปรากฏว่าไม่มีผู้ใดตอบ ได้แต่ยิ้ม
นี่เป็นความลับของทั้งสาม เป็นความลับแห่งมิตรภาพจากนี้ไปชั่วชีวิต