ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 35
“ศิษย์พี่ตวนเจิ้ง!” ศิษย์สำนักเส้าหยางด้านล่างพากันโห่ร้องดังไม่หยุด หลิงหลงกระโดดตัวลอยบนก้อนหิน เกือบจะไถลลื่นลงมา
เพียนเพียนเห็นข้อมือคู่ของตนบาดเจ็บ ก็ชักกระบี่คืนมา เขามาดูมือนางที่บาดเจ็บ ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บถึงเอ็นข้อมือไหม”
อวี้หนิงสีหน้าซีดขาว มองจ้องตวนเจิ้งราวกับเขาเป็นมารปีศาจใดอยู่นานกว่าจะกระซิบว่า “เปล่า เพียงแต่…สองสามวันนี้ถือกระบี่ไม่ได้แล้ว”
เสียง ฉับ ดังขึ้น เพียนเพียนเก็บกระบี่คืนฝัก ประสานมือให้ตวนเจิ้งกล่าวเสียงดังกังวานว่า “ศิษย์พี่ฝีมือยอดเยี่ยม ข้าสองคนยอมแพ้”
วาจากล่าวออกไป พิสูจน์ว่ารอบนี้ตวนเจิ้งชนะแล้ว ในสี่คนสุดท้ายมีคนสำนักเส้าหยางแล้ว ศิษย์เส้าหยางด้านล่างพากันโห่ร้องยินดีจนฟ้าแทบพลิกถล่มทลาย
ตวนเจิ้งยิ้มเล็กน้อย กระบี่ในมือออกกระบวนท่าอย่างเบามือ แสงขาวส่องประกาย ตามมาด้วยเสียง ขวับ ส่งไปยังตรงหน้าอวี้หนิงเบาๆ นางยกมือรับ สีหน้าสับสน ปากขยับคล้ายอยากกล่าวอันใด สุดท้ายกลับไม่กล่าวอันใด
ตวนเจิ้งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ครั้งก่อนงานชุมนุมปักบุปผาตวนเจิ้งไร้สามารถ พ่ายแพ้ให้สองท่าน ครั้งนี้ทั้งสองยอมอ่อนให้ ตวนเจิ้งก้าวล่วงแล้ว”
กล่าวจบเขาก็หันกายกลับ ประสานมือให้กับบรรดาศิษย์เส้าหยางร่วมสำนักด้านล่างเวทีที่ส่งเสียงร้องสนับสนุนเขา ใบหน้าใสซื่อของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“นี่สิชำระสะใจ!” จงหมิ่นเหยียนตื่นเต้นหน้าแดงก่ำ “ศิษย์พี่ตวนเจิ้งเจ๋งจริง! วิญญูชนแก้แค้นสิบปีไม่สาย!”
“แก้แค้นอันใด” หลิงหลงถามเขาทันที
ตู้หมิ่นหังยิ้ม กล่าวว่า “งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน เจ้ากับเสวียนจียังเล็ก ไม่ได้เห็น ศิษย์พี่ตวนเจิ้งแพ้ให้แก่เพียนเพียนและอวี้หนิงในรอบแรก เอนขาซ้ายถูกอวี้หนิงตัดขาดไปครึ่ง เกือบจะพิการ ดีที่อาจารย์อาเหอหยางดูแลรักษาอย่างดีถึงครึ่งปีจึงหายเป็นปกติ ตอนนี้เขาเคลื่อนไหวเร็วเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแต่มหัศจรรย์ ยังเป็นเพราะศิษย์พี่ตวนเจิ้งทุ่มเทแลกชีวิตบำเพ็ญเพียรมา”
“โอ้โห อวี้หนิงนี่ที่แท้โหดเ**้ยมเพียงนี้!” หลิงหลงโมโห “ศิษย์พี่ตวนเจิ้งครั้งนี้ควรตัดเอ็นข้อมือนางครึ่งหนึ่งถึงจะถูกต้อง!”
ตู้หมิ่นหังส่ายหน้า “แค้นต้องชำระ มิใช่วิถีผู้บำเพ็ญเซียน นับประสาอันใดกับอวี้หนิงเป็นสตรี ชายชาตรี ตามหลักควรยอมให้ถึงจะถูก การประลองนี้เอาชนะได้สวยงาม ความพยายามที่ผ่านมาของเขาไม่เสียเปล่า”
ขณะพูดนั้น ทั้งสามลงจากเวทีแล้ว ตวนเจิ้งถูกศิษย์เส้าหยางร่วมสำนักที่ตื่นเต้นยินดีล้อมหน้าล้อมหลังไปหมดแล้ว แม้แต่ฉู่เหล่ยเองก็ตกใจ เดินเข้ามาให้กำลังใจเขา
อวี้หนิงกุมข้อมือ มีคนเข้ามาพันแผลให้นางแล้ว ศิษย์ร่วมสำนักข้างๆ กล่าวบางอย่างกับนาง นางคล้ายไม่ได้ยิน จนบัดนี้ยังคงเอาแต่จ้องมองตวนเจิ้งด้วยแววตาประหลาดราวกับเขาเป็นสัตว์ประหลาด
การประลองครั้งนี้ไม่ได้ใช้อุบายอันใด ตวนเจิ้งล้วนอาศัยฝีมืออย่างเดียวเอาชนะเขาสองคนมาได้ จากนี้ตำนานงดงามแห่งกระบี่หยกประสานก็จะหมดสิ้นไปจากงานชุมนุมปักบุปผา อีกห้าปี เพียนเพียนกับอวี้หนิงสองคนก็อายุเกินยี่สิบห้าแล้ว ธรรมเนียมงานชุมนุมปักบุปผานั้น ศิษย์เข้าร่วมจะมีอายุระหว่างสิบแปดถึงยี่สิบห้า พวกเขาที่เคยได้รับเสียงร้องดังที่สุดว่าจะได้ตำแหน่งผู้ชนะการประลองครั้งนี้ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ปิดฉาก
ตงฟางชิงฉีคิดตก เข้าไปประคองศิษย์ทั้งสองที่ท่าทางสลดไป กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหนือฟ้ามีฟ้า เหนือคนมีคน งานชุมนุมปักบุปผาก็แค่เส้นทางหนึ่ง วันหน้าจะเป็นเช่นไร ต้องดูความพยายามพวกเจ้าสองคนเอง ไม่ต้องเสียใจไป การพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นดังบทเรียน วันหน้าเจ้าสองคนต้องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีกให้จงได้”
เพียนเพียนตอนอยู่บนเวทีก่อนหน้านี้ยังแสดงท่าทีไม่สนใจ เขายังคงเย่อหยิ่ง ความรู้สึกอยากเอาชนะมีมาก กระบี่หยกประสานพ่ายแพ้ให้กับคนมือเปล่า กระบี่ยังถูกแย่งไป เสียหน้ายิ่ง ยามนี้พอได้ยินอาจารย์ปลอบใจ สองตาก็อดแดงขึ้นไม่ได้ กล่าวเสียงเครือว่า “ศิษย์…น้อมรับ”
กล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นตวนเจิ้งออกมาจากกลุ่มคน เดินมาทางนี้ ในมือถือกล่องไม้ลงยาสีดำ
“กระบี่ไร้ใจขออภัยที่ทำข้อมือแม่นางอวี้หนิงบาดเจ็บ นี่เป็นยาสมานแผลปรุงเฉพาะของเส้าหยาง ช่วยรักษาบาดแผลดีมาก ขอทั้งสองรับไว้”
ตงฟางชิงฉียิ้มกล่าวว่า “เจ้าเกรงใจไปแล้ว! เหอะๆ อวี้หนิง รีบรับไว้สิ ขอบคุณศิษย์พี่ด้วย!”
อวี้หนิงหลุบตาลง ค่อยๆ รับยาสมานแผลมา กล่าวเบาๆ ว่า “ขอบคุณ…ศิษย์พี่ตวนเจิ้ง”
ตวนเจิ้งยิ้มอีก กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หลังทายาแล้วต้องพันผ้าให้แน่น พรุ่งนี้ก็ไม่ปวดแล้ว เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
เขาหันกายจะจากไป ขนตาอวี้หนิงขยับไหวเบาๆ ราวกับนางคิดจะกล่าวอันใด สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกมา
เพียนเพียนที่ด้านข้างเห็นท่าทางของนางจึงยิ้มกล่าวว่า “มีวาจาอันใดจะกล่าวกับเขาก็ต้องรีบหน่อยนะ อีกสองวัน พวกเราก็ต้องกลับเกาะฝูอวี้แล้ว ไปครานี้ ยังไม่รู้จะได้พบหน้ากันอีกเมื่อใด”
อวี้หนิงสีหน้าซีดขาวเป็นนานกว่าจะกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ต้องให้เจ้า…มายุ่ง”
เพียนเพียนได้แต่ยิ้ม ไม่กล่าวอันใดอีก
“ตามความเห็นข้านะ ศิษย์พี่ตวนเจิ้งกับอวี้หนิงสตรีร้ายกาจนั่น ก่อนหน้าต้องมีเรื่องบาดหมางอะไรที่พวกเราไม่รู้เป็นแน่” หลิงหลงกะพริบตาปริบ มองอยู่นานจึงได้ข้อสรุปนี้ออกมาด้วยท่าทางจริงจัง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เสวียนจีแปลกใจมาก
หลิงหลงลดเสียงเบาแบบมีเลศนัย “เจ้าไม่เห็นสายตาที่นางมองศิษย์พี่ตวนเจิ้งหรือ! นั่นปกติหรือ? ลูกตาแทบหลุดออกมาแล้ว! ตามความเห็นข้านะ ย่อมเป็นนางชอบศิษย์พี่ตวนเจิ้งพวกเรา แต่ศิษย์พี่ไม่สนใจนาง ดังนั้นครั้งก่อนนางจึงโมโห ทำศิษย์พี่ตวนเจิ้งบาดเจ็บ”
“ยังมีเรื่องเช่นนี้หรือ” เสวียนจีรู้สึกคาดไม่ถึง จินตนาการของหลิงหลงเต็มเปี่ยมมาก ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
“เป็นไปได้อย่างไร! ผู้ใหญ่พวกนี้นี่นะ…ฮึ! เรื่องพวกเขาซับซ้อนเท่าไรก็ซับซ้อนกันเท่านั้น”
ตู้หมิ่นหังเห็นนางส่ายหน้าไปมากล่าวไปเรื่อยก็อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “สมองน้อยๆ ของเจ้าคิดออกมาได้วุ่นวายแท้ วันๆ ไม่มีอะไรทำเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ ศิษย์พี่ตวนเจิ้งกับอวี้หนิงแต่ไรมาไม่เคยได้ใกล้กัน จะมีเหตุอะไรให้บาดหมางกันได้ อย่าพูดเดาไปมั่ว การประลองสุดท้ายของวันนี้จะเริ่มแล้ว”
เวทีอักษรสีเขียวทำความสะอาดแล้ว ผู้ที่รับหน้าที่ตัดสินการประลองนี้ก็คือฉู่อิ่งหง นางไปยืนอยู่ข้างเวทีแล้ว กล่าวเสียงดังกังวานว่า “ขอทั้งสองท่านขึ้นเวทีอักษรสีเขียว!”
กล่าวเพิ่งจบ ก็เห็นเงาดำสองร่างกระโดดขึ้นเวทีพร้อมกัน หลิงหลงพอเห็นหน้าตาหนึ่งในนั้น อดส่งเสียงร้องไม่ได้ “อา เป็นเขา! เจ้าคนเลวนั่น!”
ทุกคนตั้งใจมองไป เห็นคนผู้นั้นใบหน้าขาว ผมดำ คิ้วเป็นระเบียบ หน้าตานับว่าหล่อเหลา หว่างคิ้วมีกระแสเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่อย่างหนึ่ง เขาก็คืออูถง
คู่ประลองของเขาก็คือศิษย์พี่ร่วมสำนักแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง ทั้งสองล้วนอยู่ในชุดดำ ผมยาวประบ่า มองเผินๆ เหมือนพี่น้องฝาแฝด
“ศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงล้วนมีกระแสประหลาดเช่นนี้ น่ารังเกียจยิ่งนัก” หลิงหลงกล่าวอย่างแค้นใจ รังเกียจอูถง แม้แต่ศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงก็รังเกียจไปด้วย
“จำไว้ หยุดเมื่อแตะต้องตัว ไม่ให้ใช้มนตร์คาถาวิชาเซียนชั้นสูง ไม่อนุญาตทำร้ายถึงชีวิต หากมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นก็จะตัดสิทธิ์ร่วมงานชุมนุมปักบุปผา”
ฉู่อิ่งหงกำชับธรรมเนียมอีกครั้ง มองไปทางอูถง พฤติกรรมก่อนหน้าของเขาทำให้นางยังคงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้อาวุโสจึงได้กำหนดธรรมเนียมกฎเกณฑ์การร่วมงานชุมนุมปักบุปผาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ ไม่อนุญาตให้ใช้มนตร์คาถาจำพวกมหาห้าอสุนีบาต ป้องกันเหตุแบบครั้งก่อนที่ไม่อาจควบคุมได้
อูถงเบ้มุมปาก เผยรอยยิ้มเยาะ เห็นชัดว่าไม่ใส่ใจ
ฉู่อิ่งหงเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ดื้อดึงของเขา ในใจก็รู้สึกไม่พอใจนัก หุบเขาเตี่ยนจิงก็นับว่าเป็นสำนักใหญ่ที่มีมาตรฐาน แต่ไรก็พิถีพิถันเรื่องการบำเพ็ญตนและไม่แก่งแย่งชิงดี ศิษย์ที่สั่งสอนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นวิญญูชนผู้ถ่อมตน นางได้เห็นศิษย์เลวร้ายแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าอาวุโสทรงคุณธรรมหลายท่านแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงยอมรับเขาไว้ได้อย่างไร
เสียงเป่าเขาสัญญาณดังขึ้น การประลองของอูถงเริ่มขึ้นแล้ว
ศิษย์สำนักเส้าหยางพากันส่งเสียงโห่ร้องก้องดัง ก่อนหน้าเขาทำร้ายเสวียนจีบาดเจ็บ ทำให้พวกเขาโมโหมาก ตอนนี้ยังคงนึกแค้นอยู่ ลืมความไม่พอใจเสวียนจีเมื่อก่อนไปสิ้น แต่ละคนพากันตะโกนดังยิ่ง