ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 4.1
จงหมิ่นเหยียนเป็นผู้อายุน้อยสุดในบรรดาศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นของเส้าหยาง รุ่นอักษรหมิ่นยังเป็นศิษย์รุ่นอายุน้อยสุดของสำนักเส้าหยาง ดังนั้นหลายเรื่องที่บรรดาศิษย์พี่ขี้เกียจจัดการ ก็จะมอบให้เขาไปดูแล ทุกวันเขายุ่งกว่าศิษย์คนอื่นหลายเท่า
ดังนั้นเรื่องลืมจึงเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้เสมอ
วันนี้หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ เขาก็มาถึงลานฝึกยุทธ์แต่หัววัน ถือกระบี่มากวัดแกว่งไปไม่กี่ที ก็มีศิษย์พี่มาตามหารือกับเขา ศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ยเจ้าเล่ห์ที่สุด เห็นว่ากระบวนกระบี่ใกล้แพ้ให้ศิษย์น้อง ก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “หมิ่นเหยียน เจ้าต้องส่งอาหารไปให้ศิษย์น้องเล็กใช่หรือไม่”
จงหมิ่นเหยียนตกใจ กระบวนท่ากระบี่เปิดช่องโหว่ เฉินหมิ่นเจวี๋ยฉวยจังหวะทันที พลิกข้อมือฟันกระบี่เขาร่วง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าแพ้แล้ว รีบไปส่งอาหารใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้น อาจารย์หญิงรู้คงเจ็บปวดใจ”
เขาถึงกับลืมไปได้! จงหมิ่นเหยียนรีบลนลานออกจากลานฝึกยุทธ์ไปยังห้องครัวเอาอาหาร เพราะเสวียนจีไม่ค่อยได้ปรากฏตัวที่ลานฝึกยุทธ์ เขาเองก็ขี้เกียจสนใจเรื่องศิษย์น้องเล็ก ตอนเช้าวิชาเซียนที่เรียนรู้ใหม่ก็ซับซ้อนอีก เขาได้แต่ตั้งใจฝึกฝน ถึงกับลืมเรื่องที่นางถูกกักขังไปหมดสิ้น
น่ารำคาญใจยิ่ง ฉู่เสวียนจีต้องแค้นเขาแน่ นางถูกกักขัง ทำให้เขาพลอยซวยไปด้วย ทุกวันต้องไปถ้ำแสงฉานที่น่ากลัวนั่นวันละสามเวลา เวลาฝึกบำเพ็ญเพียรหลังเที่ยงก็น้อยลงไปด้วย
แม้ปกติเขาชอบล้อเล่น เรื่องอันใดก็ยิ้มร่าเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงเป็นคนถือตัวมาก เขาอายุน้อยสุดในรุ่น ปกติก็ไม่มีใครให้ความสำคัญเท่าไร มักถูกเรียกใช้ทำนั่นทำนี่เสมอ ดังนั้นเรื่องฝึกวิชา เขาจึงเคร่งครัดยิ่ง สาบานว่าจะต้องเก่งว่าศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ให้ผู้ใดดูแคลนตนเองได้อีก ตอนนี้เพราะต้องไปส่งอาหารให้เสวียนจี เวลาบำเพ็ญเพียรหลังเที่ยงจึงเท่ากับถูกลดทอนลงครึ่งหนึ่ง จะไม่ให้เขาไม่พอใจได้อย่างไร
แม่ครัวเตรียมอาหารไว้ให้เสวียนจีนานแล้ว วางไว้ในตะกร้า พอเห็นเขามาก็ยิ้มส่งให้เขา กล่าวว่า “เอ้า รีบไปสิ อย่าให้เสวียนจีหิว น่าสงสารนางนัก”
น่าสงสารกับผีน่ะสิ! น่าแค้นใจเสียมากกว่า! นางแอบเกียจคร้านถูกลงโทษ ถึงกับพาคนอื่นลำบากไปด้วย!
จงหมิ่นเหยียนเดินไปได้ครึ่งทางก็แอบเปิดฝาออก เห็นด้านในมีอาหารสองจาน ข้าวสวยชามหนึ่ง ยังมีน้ำผลไม้อีกถ้วยหนึ่ง เขาแอบหยิบกระดูกหมูเปรี้ยวหวานชิ้นใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก กินจนออกรสออกชาติ
เชอะ ไม่ให้เจ้าเด็กนั่นได้กิน!
ในถ้ำแสงฉานไร้แสงสว่าง ดังนั้นจงหมิ่นเหยียนจึงเตรียมคบไฟมาด้วย กว่าจะพายเรือมาถึงห้องหินได้ก็ไม่ง่าย ด้านในมืดมิด ไม่มีเสียงใด เขาส่งเสียงเรียกเย็นชาว่า “ฉู่เสวียนจีกินข้าว”
ไม่มีผู้ใดสนใจเขา
จงหมิ่นเหยียนเริ่มรำคาญ “ฉู่เสวียนจี!” เขาขึ้นเสียงสูง
ยังคงไม่มีผู้ใดสนใจเขา
ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็รู้สึกผิดปกติ รีบกระโดดขึ้นฝั่งเข้าไปในห้องหิน กวาดคบไฟไป มองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยขดตัวกลมหลับอยู่บนเตียงหิน ในมือกำกลองป๋องแป๋งเอาไว้ แท่นหินข้างๆ มีกองน้ำตาเทียนที่ละลายหมดเล่ม ยังมีอีกสามเล่มที่ยังไม่ได้จุดกับหินจุดไฟ
เขาถอนหายใจ เอื้อมมือไปผลักนางกล่าวว่า “ฉู่เสวียนจี ตื่นๆ กินข้าวได้แล้ว”
เสวียนจีลืมตาขึ้นงงๆ เห็นแสงไฟสว่างตรงหน้า จงหมิ่นเหยียนมองมาที่ตนด้วยสีหน้ารำคาญยิ่ง ในมือเขายังถือตะกร้าสีดำใบใหญ่
“กินข้าว” จงหมิ่นเหยียนวางอาหารไว้บนแท่นหิน หันกลับไปมอง นางกลับขดตัวไม่เคลื่อนไหว อดโมโหไม่ได้ “หากเจ้าไม่กินก็บอกสักคำ จะได้ไม่เปลืองแรงข้าเหาะไปเหาะมา เสียเวลา”
เสวียนจีรู้สึกเพียงหนาวไปทั้งตัว ขยับก็ยังไม่อยากขยับ คนผู้นี้แต่ไรมาก็รังเกียจไม่ชอบนาง ราวกับนางติดค้างหนี้เขา คิดจะทะเลาะกับเขา พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรง แต่หากไม่กินจริงๆ ก็เกรงแต่ว่าท่านแม่จะเสียใจ นางลังเลเป็นนาน ได้แต่คลานลุกจากเตียง ห่อตัวด้วยเสื้อผ้ากองหนึ่ง ยกชามข้าวขึ้น
ดีที่อาหารยังร้อนอยู่บ้าง อร่อยยิ่ง นางกินไปครึ่งหนึ่ง เงยหน้าเห็นจงหมิ่นเหยียนจ้องตนอยู่ จึงกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าก็อยากกินหรือ”
จงหมิ่นเหยียนถูกนางพูดแทงใจก็หน้าแดงเล็กน้อย แค่นเสียงฮึหนึ่งเสียง “เจ้ารีบกินเข้า ข้าจะได้รีบกลับไปฝึกวิชา”
เสวียนจีดื่มน้ำผลไม้ไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าไปได้เลย อาหารค่ำค่อยมาเก็บชามพวกนี้ เช่นนี้ก็ไม่เสียเวลาเจ้าเท่าไร”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะกล่าววาจาเช่นนี้เป็น เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่คิดอยากมีใครเป็นเพื่อนคุยให้มากหน่อยหรือ”
เสวียนจีกลับไม่ตอบ ได้แต่กินอย่างรวดเร็ว วางชามกลับคืนในตะกร้าส่งให้เขา “กินเสร็จแล้ว เจ้านำกลับไปได้”
จงหมิ่นเหยียนเองก็รู้สึกละอายขึ้นมา เขารับตะกร้าคืนไป อยากกล่าวอันใด เห็นนางหนาวจนสีหน้าเขียวคล้ำ ในใจก็อดอ่อนยวบลงไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เย็นนี้ข้าจะเอาผ้าห่มและเสื้อผ้าหนาๆ มาให้เจ้า?”
เสวียนจีอยากร้องขออย่างยิ่ง ตอนนี้เขาถึงกับเสนอด้วยตนเอง นางพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
อย่างน้อยเขาก็เห็นว่ามารน้อยผู้นี้ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ได้ ต่างจากภาพดื้อรั้นไม่ยอมผู้ใดอยู่มาก จึงไม่อยากจากไปนัก มองซ้ายมองขวา กล่าวอีกว่า “เช่นนั้น…เจ้ายังต้องการอะไรอีก หนังสือ? หรือของเล่น? อยู่ที่นี่คนเดียว ยากจะทนอยู่ได้”
นางส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ไม่อยากรบกวนเจ้า”
จงหมิ่นเหยียนได้แต่ขึ้นเรือ พายไปไม่กี่ทีก็วิ่งกลับมา ถอดเสื้อตัวนอกคลุมให้นาง กล่าวน้ำเสียงไม่ดีนักว่า “ให้เจ้ายืมเสื้อผ้าก่อน ห้ามทำเปื้อน เย็นนี้ข้าจะนำหนังสือสองสามเล่มมาให้พร้อมกับเทียน เจ้าเด็กปากแข็ง”
เสวียนจีก้มหน้าไม่กล่าวอันใด เขาไม่ถนัดกับการอยู่ร่วมกันกับคนนิสัยประหลาดเช่นนี้จริงๆ ได้แต่จากไปอย่างเร่งรีบ
พอถึงตอนเย็น เขาถึงกับทำตามคำสัญญา ไม่เพียงเอาผ้าห่มมาสองผืน เสื้อผ้าหนาสองสามชุด ยังมีหนังสืออีกกองหนึ่ง ม้วนกระดาษ หมึก และแท่นฝนพร้อมพู่กัน ถึงกับมีแท่นแขวนพู่กันไม้เล็กๆ เมื่อจัดวางของพวกนี้ ห้องหินที่เย็นเยียบในที่สุดก็มีกลิ่นอายอบอุ่นอยู่บ้าง
“เทียนพวกนี้เจ้าใช้ไปก่อน ใช้หมดแล้วข้าค่อยเอามาให้อีก อาจารย์หญิงฝากข้าบอกเจ้าว่า ในถ้ำหนาวชื้น เจ้าต้องใส่ใจฝึกวิชาทุกวัน ไม่เช่นนั้นอาจล้มป่วยได้ นี่คือเคล็ดวิชาหมัดเสวียนหมิง จำให้ดี ต้องฝึก”
เขาพูดไปพลางมองเสวียนจีพยักหน้าหงึก อดยิ้มกล่าวเสียดสีเบาๆ ไม่ได้ว่า “ตอนนี้รับปาก ข้าหันหลังก็ทำเป็นทวนลมไปแล้วกระมัง”
เสวียนจีกลับไม่ปิดบัง กล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่อยากฝึกวิชา แต่ข้าก็ไม่อยากให้ผู้อื่นอยู่ๆ ก็มาโกรธข้า หรือมาพยักหน้าบอกว่าไม่ถูกต้อง”
จงหมิ่นเหยียนหัวเราะขึ้นสองเสียง “เหตุผลบิดเบี้ยว หากมีคนรู้ว่าเจ้าเป็นคนหน้าอย่างหลังอย่าง พูดอย่างทำอย่าง ผู้อื่นก็คงได้แต่โมโห”
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าไม่ชอบผู้อื่นตวาดใส่ข้า ข้าเองก็ไม่ชอบฝึกวิชา”
“เหตุใดไม่ชอบฝึกวิชา เจ้าไม่คิดสำเร็จผลเป็นเซียนหรือ”
“คิด แต่ข้าขี้เกียจ”
จงหมิ่นเหยียนรู้สึกว่าหากตนเองยังคุยกับนางต่อไป เกรงแต่ว่าจะเกิดความคิดบีบคอนางตายอีก เขารู้สึกคารวะคนเช่นนี้จริงๆ ขี้เกียจจนกล่าวออกมาได้อย่างไม่ละอายใจ แต่ยังเพ้อพกจะสำเร็จผลเป็นเซียน
“อ้อ เช่นนี้เจ้าก็คงได้แต่สำเร็จเป็นเซียนประเภทหนึ่ง” เขาพูดไปก็วางเทียนไว้บนเตียงนาง
“เซียนอะไร” เสวียนจีอย่างไรก็เป็นเด็กน้อย ถึงกับฟังไม่ออกว่าเป็นวาจาเท็จ ถามอย่างตื่นเต้น
จงหมิ่นเหยียนกระดกมุมปาก “เซียนขี้เกียจ เจ้าก็ทำตัวไม่ทำอันใดเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าวันใดสวรรค์อาจส่งคนมารับเจ้า แต่งตั้งเจ้าเป็นเซียนขี้เกียจ”
ที่แท้ก็เยาะเย้ยเสียดสีนาง เสวียนจีรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เงียบอยู่เป็นนาน ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่คิดฝึกวิชา แต่ข้าต้องสำเร็จผลเป็นเซียน”
“ใช่ ใช่ เจ้าก็รอเป็นเซียนขี้เกียจแล้วกัน!” จงหมิ่นเหยียนหันกายขึ้นเรือ ขี้เกียจจะพูดกับนางต่อ
ห้องหินกลับคืนสู่ความเงียบอีกครา เสวียนจีจ้องมองแสงเทียนบนโต๊ะ ทำภารกิจต่อเนื่องเช่นทุกวัน ก็คือเหม่อลอย
ต้องสำเร็จผลเป็นเซียน เมื่อครู่เหมือนนางจะกล่าวเช่นนี้
ที่จริงนางเองก็เบื่อหน่าย ความมั่นใจเหมือนบ้าคลั่งนี้แท้จริงแล้วมาจากไหนกัน ทำให้นางหลุดปากกล่าวเหลวไหลออกไปได้ นางไม่เป็นยุทธ์ ไม่มีพลังเซียน แม้แต่กระบี่ก็กุมไม่เป็น แต่นางกลับรู้สึกว่าตนเองควรจะสำเร็จผลเป็นเซียนได้
จงหมิ่นเหยียนอาจกล่าวได้ถูกต้อง นางได้แต่เป็นเซียนขี้เกียจก็พอแล้ว
เซียนอื่นเป็นไม่ได้ แต่เซียนขี้เกียจ ไม่ใช่นางแล้วจะเป็นผู้ใด
ในห้องทางนี้ เสวียนจีคนเดียวคิดเหลวไหลไปมา อีกทางทุกคนในสำนักเส้าหยางกลับยุ่งกับการจัดงานชุมนุมปักบุปผา ลืมเรื่องของนางไปเสียสิ้น