ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 5.2
เขาถอยไปยืนมุมห้องโถงเงียบๆ เห็นเหอตันผิงตำหนิหลิงหลงเบาๆ ใบหน้านางยังมีความตกใจอยู่ แต่ไม่ได้ซีดขาวเช่นก่อนหน้า ราวกับไม่ยอมรับการตำหนิของมารดา สักพักก็ยู่ปาก สักพักก็กัดฟัน
กล่าวถึงฉู่เหล่ยที่ช่วยสองคนมาจากอานุภาพกระบี่ซิ่ววั่นอย่างไร้เสียง ฝีมือนี้ย่อมทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันชื่นชมไม่ขาด ไม่เสียทีที่เป็นสำนักเส้าหยางแห่งจงหยวน สมคำล่ำลือ! สีหน้าเขายังคงไม่เผยความรู้สึกใดแม้แต่น้อย เพียงแค่หยิบตะกร้าที่ใส่แผ่นไม้ไผ่ไว้เต็มวางลงบนโต๊ะไม้พะยูงแดง ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์อายุน้อยซุกซน รู้สึกเสียหน้าต่อทุกท่านยิ่ง แผ่นไม้ไผ่เขียนเสร็จแล้ว เช่นนั้นตอนนี้ก็มาเริ่มจับสลากกันเถอะ”
ทุกคนเห็นเขาสีหน้าเย็นเยียบ ปกติเขาก็เป็นคนจริงจังเข้มงวด ยามนี้ใบหน้ายิ่งนิ่งเรียบ ในใจเกรงแต่ว่าคงยิ่งไม่พอใจ ครั้งนี้ศิษย์เขาแอบดูการจับสลาก กล่าวได้ว่าทำให้สำนักเส้าหยางเสียหน้า ทุกคนแม้คิดจะผ่อนคลายบรรยากาศ แต่กลับไม่รู้ควรกล่าวอันใด มองเห็นเหอตันผิงเข้ามาจะจับสลาก ก็ปิดปากเงียบไม่กล่าวอันใดอีก
ผู้ใดจะรู้ว่าเหอตันผิงกำลังจะยื่นมือลงไปในตะกร้า กลับได้ยินนักพรตซ่งยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ดีเลย ดีเลย! ต่อหน้าทุกคนในโถงนี้ เส้าหยางถึงกับเริ่มเล่นอุบายแล้ว! ปกติเจ้าไร้เหตุผลก็ให้ศิษย์สองคนมาแอบดูการจับสลาก ก็หมายถึงการสั่งสอนไม่เข้มงวด! ในเมื่อมาแล้วก็กลับปกป้อง ไม่ให้พวกเขามาร่วมจับด้วย ผิดธรรมเนียมอยู่บ้าง! ข้าว่างานชุมนุมปักบุปผานี้ก็ไม่ต้องจัดแล้วกัน!”
ฉู่เหล่ยอดโมโหไม่ได้ คนผู้นี้หาเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าววาจาไม่ไว้หน้า หากไม่ใช่เห็นแก่ว่าเขาเป็นหนึ่งในสี่อาวุโสสำนักเซวียนหยวนเขาคงไม่ไว้หน้านานแล้ว เจ้าสำนักคนก่อนกับนักพรตจู้สือเจ้าสำนักเซวียนหยวนผู้นี้ แม้ปากรับว่าสองสำนักจากนี้รวมเป็นหนึ่ง ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ความเห็นไม่ลงรอยกันมานับร้อยปี ไม่กี่สิบปีไหนเลยจะขจัดทิ้งได้!
เขายามนี้จึงกล่าวจริงจังว่า “ไม่ทราบนักพรตซ่งมีอันใดชี้แนะ”
นักพรตซ่งลูบเคราแพะหรอมแหรมของตนเอง ใบหน้ากลมขาวมีรอยยิ้มบาง กล่าวว่า “ชี้แนะนั่นไม่บังอาจ แต่ธรรมเนียมงานชุมนุมปักบุปผาแต่ไรมาก็กำหนดเช่นนี้ ทุกคนที่มาถึงที่จับสลากย่อมมีสิทธิ์ได้จับสลาก หากมีเรื่องใดมาไม่ได้ ให้คนมาจับแทนได้ ข้าใคร่ถามเจ้าสำนักฉู่ ศิษย์สำนักเส้าหยางสองคนเมื่อครู่ หรือว่าท่านคิดให้เป็นดังท่อนไม้ในงาน ลิดรอนสิทธิ์จับสลากพวกเขาหรือ”
ฉู่เหล่ยข่มความโกรธ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ศิษย์สองคนนั้นอายุยังน้อย หนึ่งสิบสี่ อีกหนึ่งยังไม่ถึงสิบเอ็ด เรียกของวิเศษเหินยังไม่ชำนาญ จะมีคุณสมบัติมาจับสลากได้อย่างไร! แม้ว่าจับได้ ภารกิจเด็ดบุปผาสำหรับพวกเขาก็คงได้แต่ไปตายเปล่าก็เท่านั้น!”
นักพรตซ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “มิได้ มิได้! เจ้าสำนักฉู่มีใจปกป้อง พวกเราเองก็พอเข้าใจได้ เด็กหญิงผู้นั้นเป็นบุตรสาวท่านกระมัง ได้ยินมานานแล้วว่าบุตรสาวทั้งสองของเจ้าสำนักฉู่อายุยังน้อย หากแต่มีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา ทุกคนในสำนักเส้าหยางล้วนทะนุถนอมยิ่ง คิดว่าสีฟ้าได้จากครามแต่เข้มยิ่งกว่า เด็กน้อยต้องยิ่งฝึกยิ่งลับจึงจะเป็นผู้สามารถ ไยท่านต้องเอาแต่ปกป้องไว้ไม่ยอมปล่อยด้วย ไม่สนใจธรรมเนียมการจับสลากแล้ว?”
ฉู่เหล่ยแต่ต้นก็อดทนแล้วอดทนเล่า นี่ถูกเขากล่าวแทงใจแล้ว ไหนเลยจะทนได้อีก กล่าวเสียงแข็งว่า “ความหมายนักพรตซ่งก็คือข้าเจตนาปกป้อง?! วันนี้ข้าจะ…” วาจายังกล่าวไม่จบ กลับถูกเหอตันผิงดึงไว้ พยายามพากลับไป นางกล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ อย่าได้โมโห อย่าให้ใต้หล้าหัวเราะเยาะเส้าหยางเรา!”
หน้าผากฉู่เหล่ยเส้นเอ็นปูดเขียวออกมา สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง กำลังจะกล่าวก็กลับได้ยินเสียงไร้เดียงสาดังมาจากด้านข้าง “ข้าเขียน! ข้าจะร่วมจับสลาก!”
ทุกคนหันไปมอง เป็นหลิงหลง ใบหน้าน้อยๆ ของนางซีดขาวเล็กน้อย แต่ดวงตาทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยากลอง ถึงกับเห็นว่าการเด็ดบุปผาเป็นภารกิจท้าทาย นางเห็นบิดามารดาไม่มีปฏิกิริยาใด อดร้อนใจไม่ได้กล่าวว่า “ข้าจะจับสลาก! ท่านพ่อ! ท่านแม่! ธรรมเนียมไม่ใช่เช่นนี้หรือ มาแล้วย่อมมีส่วนร่วม! เหตุใดข้าไม่อาจเข้าร่วม”
“เหลวไหล!” ฉู่เหล่ยรู้สึกหัวแทบระเบิด คิดจะโยนเจ้าผีน้อยสองตัวที่ก่อเรื่องนี้ลงจากยอดเขาเส้าหยาง ให้พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเองก็ทำลายตัวเองไปเองเสียเลย เหอตันผิงถอนหายใจกล่าวว่า “หลิงหลง ภารกิจเด็ดบุปผาไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น มารปีศาจใหญ่หลายพันปี แม้แต่ท่านพ่อเจ้ารับมือก็ยังต้องเสียแรงอย่างมาก นับประสาอันใดกับพวกเจ้า อย่าเอาแต่ใจ ลงเขาไปเถอะ!”
นิสัยดื้อรั้นของหลิงหลงเกิดขึ้นแล้วไม่สนใจอันใด ไหนเลยจะรู้ถึงความเป็นห่วงของบิดามารดา นางวิ่งไปที่ตะกร้าไผ่ รีบกล่าวว่า “ไม่! ข้าจะร่วม! ท่านแม่ ข้าก็มีคุณสมบัติจะเข้าร่วม! ไม่ใช่ว่าเมื่อหลายวันก่อนท่านแม่มอบกระบี่ต้วนจินให้ข้าหรือ หรือว่าท่านแม่หลอกข้า ข้าเองก็ไม่คิดให้ท่านพ่อปกป้องข้าไปทั้งชีวิต!”
นักพรตซ่งโบกมือยิ้มกล่าวว่า “พูดได้ดี! ดังเช่นบิดาพยัคฆ์ย่อมไร้ลูกสุนัข! คุณหนูฉู่ทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่ง!”
เหอตันผิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ให้พวกหลิงหลงจับสลากเกรงแต่ว่างานชุมนุมปักบุปผานี้คงจัดไม่สำเร็จแล้ว ในใจนางกล้ำกลืนไม่อยากให้บุตรสาวกับศิษย์คนโปรดเผชิญอันตราย ได้แต่มองขอความช่วยเหลือจากสามี ฉู่เหล่ยเงียบไปพัก เห็นสีหน้าตื่นเต้นยินดีของหลิงหลง ใบหน้าน้อยแดงก่ำ ลืมเรื่องอันตรายไปหมดสิ้น ในใจแอบทอดถอนใจไม่ได้ พลันคิดอุบายหนึ่งได้
เขาหันไปเรียกจงหมิ่นเหยียนมา กล่าวว่า “ให้พวกเจ้าร่วมจับสลาก เขียนชื่อลงไปได้ เจ้าเขียน หมิ่นเหยียน” กล่าวจบก็ตบบ่าเขาสองที
จงหมิ่นเหยียนลองพิเคราะห์ความหมายของอาจารย์ รู้สึกเหมือนจะเป็นความหมายนั้น แต่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ และไม่กล้ามั่นใจ ได้แต่ลังเลค่อยๆ ก้าวไป หยิบพู่กันเงยหน้ามองฉู่เหล่ย เขาพยักหน้าเล็กน้อย จงหมิ่นเหยียนในที่สุดก็เข้าใจ ในใจอดยิ่งสงสัยไม่ได้ กลับไม่กล้าถามมาก ได้แต่ก้มหน้าเขียนลงไปสองชื่อ โยนลงตะกร้าไผ่นั้นไป
ครานี้นักพรตซ่งไม่มีอันใดจะกล่าวอีก หลิงหลงยิ่งตื่นเต้นยินดี ตนเองอยู่ๆ พลันได้โอกาสนี้อย่างไม่คาดฝัน ไม่แน่จะได้ตามทุกคนลงเขาไปเปิดหูเปิดตากับปีศาจในตำนานแล้ว
เหอตันผิงใจไม่สงบ ควานมือลงไปในตะกร้า ไม่กล้าแตะแผ่นไม้ไผ่ชั้นแรกด้านบน กลัวว่าไม่ระวังจับโดนหลิงหลง กว่าจะคว้าด้านในอันหนึ่งออกมาได้ก็ไม่ง่าย พลิกดู “เจ้าเกาะฝูอวี้ตงฟางชิงฉี”
ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในมุมหนึ่ง ผมยาวประบ่า คิ้วเข้มจมูกโด่ง รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาเก่งกล้า เขาหัวเราะดัง จัดแขนเสื้อ ก้าวออกมาคำนับ กล่าวเสียงดังกังวานว่า “ให้ข้าแย่งไปได้ก่อนแล้ว! ทุกท่าน เกรงใจยิ่ง!” น้ำเสียงทุ้มหนักแน่น เป็นผู้ที่กล่าวกระทบนักพรตซ่งเมื่อครู่
ทุกคนพากันคำนับตอบ นักพรตซ่งยิ้มกล่าวว่า “ยินดีกับน้องตงฟางด้วย ได้ไปก่อนคนแรก”
ตงฟางชิงฉียิ้มตอบว่า “ไม่เลว เพราะอาศัยวาสนานักพรตซ่ง หวังแต่ว่าจากนี้จะได้เกาะฝูอวี้อีกสองสามคนจึงจะดี! ภารกิจเด็ดบุปผาพวกข้าครองไว้แล้ว”
ขณะกล่าวนั้น สลากแผ่นที่สองก็จับออกมา เหอตันผิงอ่านขึ้น “ฉู่อิ่งหงเจ้าหออวี้หยางถังแห่งสำนักเส้าหยาง”
วาจากล่าวจบ ก็มีเงาร่างอรชรเดินมายังตรงกลางโถง คำนับสี่ทิศ กล่าวเสียงกระจ่างว่า “เกรงใจยิ่ง! ขออภัย!” ทุกคนร่วมส่งเสียง ยินดียิ่ง ดัง ฉู่อิ่งหงตอนอายุยังน้อยก็เป็นสาวงามมีชื่อแล้ว บัดนี้อายุใกล้สี่สิบก็ยังคงเค้าความงาม ผิวพรรณขาวราวหิมะ ประสบการณ์หลายปียิ่งทำให้นางมีท่าทางเฉียบคมมั่นใจ ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษ
นางเดินมาถึงกลางโถงกลางตรงข้างแถวเก้าอี้ไท่ซืออี่ห้าตัว ประสานมือยิ้มกล่าวกับตงฟางชิงฉีบนเก้าอี้ตัวแรกว่า “ครั้งนี้ต้องอาศัยประมุขตงฟางชี้แนะให้มากแล้ว”
ตงฟางชิงฉีรีบคำนับกลับกล่าวว่า “เจ้าหอฉู่ชมเกินไปแล้ว! ข้าละอายยิ่ง ครั้งนี้กำจัดมารปีศาจ ต้องให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะสำเร็จ”
สองคนกำลังทักทายกันอยู่ทางนี้ เหอตันผิงอีกทางก็จับสลากแผ่นที่สามออกมา พลิกอ่านแล้วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เป็นนาน กว่าจะพึมพำอ่านว่า “สำนักเส้าหยาง ศิษย์…จงหมิ่นเหยียน” กล่าวจบนางก็มองไปขอความช่วยเหลือจากฉู่เหล่ย ไม่รู้ควรทำเช่นไร
ทุกคนพากันส่งเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าจับโดนศิษย์รุ่นเล็กเข้าจริงๆ พริบตาสายตาหลายสิบคู่ก็มุ่งไปยังจงหมิ่นเหยียนพร้อมกัน ดีที่สีหน้าเขาแม้ซีดขาว แต่ก็ยังเก็บอาการรักษามารยาทไว้ได้ ได้ยินชื่อตนก็อดลังเลไม่ได้ ก้าวมายังหน้าแถวเก้าอี้นั่น ประสานมือหลุบตาลงกล่าวว่า “ศิษย์ยังอ่อนด้อย ขออาวุโสทุกท่านโปรดอภัย!” ทุกคนมองเขาไม่ร้อนไม่รน พากันอุทานในใจ ผู้นี้วันหน้าย่อมต้องเป็นผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่
ฉู่เหล่ยเดิมคิดว่าโอกาสจับโดนพวกเขาน้อยมาก ผู้ใดจะรู้ว่าโชคชะตากลั่นแกล้งผู้คน เรื่องที่เจ้ายิ่งไม่คิดให้เกิดก็มักจะเกิดเร็วที่สุด ดีที่ศิษย์คนเล็กยามปกติสีหน้ายิ้มแย้มยามนี้กลับนิ่งสงบได้ ได้หน้าไม่น้อย ในใจเขาอดเริ่มรู้สึกเสียดายความสามารถไม่ได้ กำลังคิดเข้าไปปลอบเขาสักหน่อย ก็ได้ยินเหอตันผิงอ่านแผ่นไม้ไผ่ที่สี่ “สำนักเส้าหยาง เจ้าสำนักฉู่เหล่ย”
เขาพอได้ฟังชื่อตน ใจที่หนักอึ้งก็วางลงครึ่งหนึ่งได้ เดินไปทางเก้าอี้ไท่ซืออี่แถวนั้น
ฉู่อิ่งหงกำลังลูบศีรษะจงหมิ่นเหยียน พลางกล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน เห็นฉู่เหล่ยเข้ามาก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนัก มีท่านอยู่ด้วยข้าก็วางใจแล้ว ไม่เช่นนั้นเกรงแต่ว่าปกป้องเด็กคนนี้ไม่ได้”
จงหมิ่นเหยียนรีบคุกเข่าลงตรงหน้าฉู่เหล่ย ไม่กล้ากล่าวอันใด ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ลุกขึ้น เจ้าไม่ต้องกลัว และไม่ต้องลงมือ เพียงแค่ติดตามด้านหลังข้าก็พอ ครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ เจ้า เพียงแต่กลับไปแล้วต้องลงโทษกักขังเจ้าที่ถ้ำแสงฉานสักเดือน”
จงหมิ่นเหยียนรู้สึกซาบซึ้ง ตอบรับทั้งน้ำตาคลอ หลังยืนขึ้นก็ถูกฉู่อิ่งหงยิ้มเย็นลากไปร่วมสนทนากับตงฟางชิงฉี
ทุกคนทางนี้พากันกล่าววาจามารยาท บ้างก็ยังให้กำลังใจ กล่าวว่าภารกิจเด็ดบุปผาครั้งนี้ล้วนเป็นสำนักเส้าหยางครองไปแล้ว นักพรตซ่งนั่นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง ปิดปากไม่กล่าวสักคำ
เหอตันผิงค่อยๆ เบาใจลง รู้ว่าสามีนางไปด้วย ย่อมทุ่มเทปกป้องจงหมิ่นเหยียน แต่ไรมาเขาก็เป็นคนเย็นชาแต่จิตใจอ่อนโยน นี่เป็นไม้ไผ่แผ่นสุดท้าย ไม่รู้ว่าจับโดนผู้ใด สองนิ้วมือนางค่อยคว้าแผ่นไม้ไผ่หนึ่งจากในตะกร้าไผ่ขึ้นมาพลิกดู สีหน้าพลันซีดเผือด
นางจ้องมองแผ่นไม้ไผ่นั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ราวกับจะมองให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดทุกคนก็พบว่านางผิดปกติ ฉู่อิ่งหงถามเบาๆ ว่า “พี่ผิง? เกิดอันใด” ในใจนางก็เหมือนมีลางไม่ดี คงไม่ได้โชคร้ายเช่นนั้น แม้แต่หลิงหลงก็ถูกจับโดนด้วยกระมัง
เป็นนาน เหอตันผิงจึงได้เงยหน้าขึ้น ในตาเต็มไปด้วยน้ำตาคลอ ไหล่บางเริ่มสั่นเทา ท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่าใกล้จะยืนหยัดไม่ไหว จะเป็นลมแล้ว นางพลิกแผ่นไม้ไผ่นั้น อ่านติดๆ ขัดๆ ว่า “ศะ…ศิษย์สำนักเส้าหยาง…ฉู่…เสวียนจี”
ทุกคนส่งเสียงดัง