ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 9
“ฉู่เสวียนจี!”
ด้านหลังมีเสียงคำรามดัง เสวียนจีได้สติทันที หันไปมอง เป็นอวี่ซือเฟิ่งกับจงหมิ่นเหยียน ในมือสองคนล้วนมีของเต็มไปหมด ด้านหลังยังมีหลายสิบคนแบบกระสอบป่านตามมา
“อา พวกเจ้า…ซื้อเสร็จแล้ว?” นางอึ้งถาม
จงหมิ่นเหยียนเดินมา ขมวดคิ้วมองน้ำผึ้งบนพื้นกับคบไฟและหม้อที่ไม่อาจใช้การได้แล้ว “เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่” เขาถามอย่างหมดแรง สวรรค์ หากรู้เจ้าเด็กควรตายนี้อันใดล้วนทำไม่ได้ดี! ไม่ควรตั้งความหวังกับนางเลย!
เสวียนจีแบมือออก ถอนหายใจ “ไม่ใช่ความผิดข้า” นางกล่าวอย่างมั่นใจ
“เจ้ายังจะพูดอีก!”เขาโมโหมากแล้ว
“เช่นนั้นข้ารีบไปซื้อมาใหม่” กล่าวจบนางก็หมุนตัวจะเดินไป ถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้
“อะไร…?” เขามองไปยังโอ่งแก้วผลึกขนาดใหญ่นั่น สายตาเบื้องหลังหน้ากากส่องประกาย เป็นนานก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสอ่างนั่น ราวกับสัมผัสโดนของอันใดแทงมือ รีบหดกลับมา
เสวียนจีกล่าวว่า “พวกเขาบอกว่าเป็นมารปีศาจ…ปีศาจปลาหางยาว”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินก็หันไปมอง เห็นคนผู้นั้นในอ่างมีหางสะบัด ว่ายไปมา เขาตกใจ ผงะถอยหลายก้าว กว่าจะกล่าวอย่างเกินเลยไปว่า “เป็นปีศาจจริง! หางปลา!”
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ส่ายหน้า เป็นนานกว่าจะกระซิบว่า “ไม่ใช่ปีศาจ…นี่เป็นเงือก ทะเลหนานไห่ ชาวเงือก”
เสวียนจีส่งเสียง “อา” ดังขึ้น “ข้ารู้จักเงือก ว่ากันว่าพวกเขาเชี่ยวชาญการปักผ้าลายดอกไม้มาก พอถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวงในแต่ละเดือนก็จะร้องเพลง คนที่ได้ฟังก็ล้วนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม และยามพวกเขาร้องไห้ น้ำตาก็จะกลายเป็นไข่มุก”
ราวกับนางไม่ตื่นเต้นอะไร กล่าวท่าทางจริงจัง เพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินด้านหน้าเริ่มมีเสียงเคาะไม้ มีคนตะโกนดังอะไรสักอย่าง กลุ่มคนพริบตาก็มารวมตัวกัน
เสวียนจีถูกชนจนเซไปมา ดูท่าใกล้จะล้ม พลันมีคนดึงแขนนางไว้ นางเงยหน้า เห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ด้านหน้า มือยังกุมแขนนางไว้ สองตาจ้องมองโอ่งแก้วผลึกนั่น ราวกับคิดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้คิดอันใด
คนเคาะไม้ทางนั้นเริ่มกล่าวว่า “พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ดีที่นายอำเภอเราฉลาดเก่งกล้า รวมกำลังผู้กล้ามากยุทธ์ ต่อสู้กันมาร่วมเดือน ในที่สุดก็จับมารปีศาจกินคนบนเขามาได้แล้ว! ตอนนี้ขอให้นักพรตผนึกมารร้ายนี่ไว้ในโอ่งแก้วผลึก วันนี้จะส่งไปเมืองหลวง ทุกคนจะดู จะเขวี้ยง จะปา ก็ต้องเร่งมือแล้ว!”
วาจานี้กล่าวจบ ฝูงชนก็แตกฮือ มารปีศาจบนเขาลู่ไถซานก่อกรรมทำเข็ญกับราษฎร ทุกคนล้วนเกลียดเข้ากระดูกดำ พอได้ยินว่าจับมารปีศาจได้แล้ว ไหนเลยจะสนใจว่าจริงเท็จ มีคนเก็บก้อนหินขว้างใส่โอ่งแก้วกันแล้ว เงือกนั่นหลบไปหลบมาอยู่ในน้ำ ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
“เอ๋? มารปีศาจที่ก่อกรรมไม่ใช่สุนัขฟ้ากับอินทรีกู่เตียวหรือ ไม่ใช่เงือกเสียหน่อย” เสวียนจีรู้สึกแปลกใจ ตามองไปยังเงือกนั่นที่ถูกก้อนหินเขวี้ยงใส่ ในน้ำแดงฉานไปหมด ก็ไม่รู้ว่าเขวี้ยงไปโดนตรงไหน ในใจนางทนไม่ได้
“เขาเพียงแค่ แพะรับบาป เท่านั้น” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเย็นชา “มารปีศาจ ทำร้ายคน ทางการ รายงาน เบื้องบน ไม่ได้ ได้แต่ หาอะไร สักอย่าง เงือก มาแทน ชั่วคราว มีคำตอบ ให้เบื้องบน”
“เช่นนั้นมารปีศาจตัวจริงทำเช่นไร ปล่อยให้ประกาศไปเช่นนี้ว่ามารปีศาจถูกกำจัด? ผู้คนก็สบายใจขึ้นเขากันไป ไม่ใช่ว่าจะถูกจับกิน?” จงหมิ่นเหยียนเองก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาแต่ไรมาใช้ชีวิตในเขาแรกอรุณมีเป้าหมายบำเพ็ญเซียนเป็นที่สุดแห่งชีวิต กับเรื่องกฎธรรมเนียมในโลกสามัญนี้ไม่ค่อยเข้าใจนัก
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวนิ่งเรียบว่า “น้ำไกล ช่วยไม่ได้ ไฟใกล้ ตอนนี้ พวกเขา ก็ได้แต่ รับมือไป กับเบื้องบน บีบคั้น ส่วนเรื่องมีคนตาย อีกนั้น ใช้ทางอื่น รับมือไป”
จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้า เห็นน้ำผสมโลหิตในโอ่งแก้วผลึกใบนั้นขุ่น เงือกไม่รู้ไปซ่อนที่ไหนสักมุม อดเศร้าในใจไม่ได้ถอนใจกล่าวว่า “หวังว่าคืนนี้จับปีศาจราบรื่น อย่างน้อย…คืนความบริสุทธิ์ให้เขา”
“มีข้าอยู่ ต้องราบรื่น” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างทระนงยิ่ง ทำเอาจงหมิ่นเหยียนส่งเสียงแค่นฮึ
เสวียนจีใช้สายตาเป็นประกายน่ามองจ้องมองเขาอย่างเลื่อมใส “เจ้าเก่งกาจมาก รู้อะไรมากมายด้วย!”
อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอ มองไม่ออกว่าใต้หน้ากากเขาหน้าแดงหรือไม่
“ข้าก็แค่ เป็นปกติ อยู่ข้างนอก เดินทาง เห็นมามาก เท่านั้น” เขายกถุงเกลือที่อุ้มไว้มาถือ “ไปกัน พวกเราไปก่อน น้ำผึ้ง คบไฟ พวกนี้ เตรียมพร้อมแล้ว ค่อยกลับ ร้านสุรา”
กล่าวจบเขาสะบัดแขนเสื้อเบาๆ สองนิ้วคีบยาเม็ดสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่ง อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ระวัง ใช้พลังนิ้วดีดลงไปในอ่างแก้ว มีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ก็ต้องดูตัวเงือกเองแล้ว
เขาค่อยๆ หันหลังกลับ เดินจากไป
****
พอกลับถึงร้านสุรา ฟ้าก็ไร้ตะวันแล้ว ท้องฟ้าแสงสีแดงฉายส่องใบหน้าทุกคนราวกับเพลิงแดง
ฉู่อิ่งหงเห็นผมเสวียนจีเปียกชื้น แขนเสื้อยังมีน้ำหยด อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้าเด็กน้อยนี่ หรือว่าไปซื้อน้ำผึ้งในแม่น้ำมา ทำไม่ทำจนเป็นเช่นนี้ไปได้”
เสวียนจีส่ายหน้า “ที่ถนนข้าไปเจอกับ…”
กล่าวไม่ทันจบก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งขัดขึ้นว่า “นาง เดินถนน ไม่มองคน ถูกผู้อื่น สาดน้ำเอา ทั้งตัว น้ำล้างชาม”
ไม่ใช่นะ! เสวียนจีจ้องมองเขาตาค้าง เขาโกหก!
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นางช่าง ราวกับ ไร้วิญญาณ เช่นนั้น เดินถนน เอาแต่เหม่อ”
เสวียนจีกะพริบตาปริบ ลังเลว่าจะโต้แย้งดีไหม ศีรษะก็ถูกฉู่อิ่งหงขยี้แรง นางยิ้มถอนใจกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ อย่างไรก็ต้องให้ความสนใจกับเรื่องอื่นบ้าง รีบเช็ดผมให้แห้ง พวกเราจะไปหาโรงเตี๊ยมกันแล้ว เปลี่ยนเสื้อค่อยไป”
เสวียนจีนิ่งเป็นนาน สุดท้ายส่งเสียง “อ้อ” คำหนึ่ง ตัดสินใจไม่เปิดโปงวาจาโกหกของอวี่ซือเฟิ่ง
ก่อนจากไป อวี่ซือเฟิ่งขยิบไปตรงหน้านาง กระซิบว่า“อย่า บอก พวกเขา เรื่อง เงือก”
“เหตุใด” เสวียนจีอยากรู้มาก
เขากระซิบว่า “ผู้ใหญ่พวกนี้ ล้วนไม่ชอบ พวกไม่เหมือน พวกเราก็ ช่วยเขา ไม่ได้”
“อา? เจ้าว่าคิดจะไปช่วยเขาหรือ”
เขาพยักหน้า “ข้า มีวิธี เจ้าดู เองละกัน”
เสวียนจียิ้มร่า เลียนแบบอาการพูดไม่คล่องของเขากล่าวว่า “ดี ดี ดีเลย!”
กล่าวจบก็ถูกเขาใช้นิ้วดีดหน้าผากทีหนึ่งอย่างแรง เจ็บเป็นนานกล่าวอันใดไม่ออก เขากลับยิ้มบาง สะบัดแขนเสื้อ หันกายตามพวกผู้ใหญ่ออกจากร้านสุราไป
เสวียนจีพลันรู้สึกว่าเด็กผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนตอนเพิ่งรู้จักกันเช่นนั้น อดไล่ตามไปไม่ได้ถามว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
เขาอึ้งไปทันที วาจาเน้นคำล้วนแปรเปลี่ยน “เจ้า…เจ้าเรียก เรียกข้า อะไรนะ?!”
นางยิ้มบาง “ซือเฟิ่งอย่างไร เจ้าไม่ใช่ชื่ออวี่ซือเฟิ่งหรือ ข้าไม่ได้เรียกผิดนะ”
ไม่ใช่คำถามนี้! เขาหมดวาจา เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เจ้า เจ้าถามถามข้า ทำไม?!”
“พวกเราไม่ใช่ว่าสหายกันหรือ ถามไม่ได้หรือ”
เขาเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้น เช่นนั้นเจ้า พูดก่อน”
นางกล่าวอย่างเปิดเผยยิ่ง “ข้าชื่อฉู่เสวียนจี ปีนี้สิบเอ็ด”
“เด็กน้อย คนหนึ่ง” เขาส่งเสียงแค่นขึ้นจมูก
“เจ้าเองก็เด็กน้อย” นางยิ้ม “เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่”
เขาแค่นเสียงฮึ “ผู้ใดว่า ข้า สิบสาม นานแล้ว เป็นผู้ใหญ่”
ชิชะ แค่สิบสาม น่าภูมิใจอันใด นางยังไม่ได้บอกเขาศิษย์พี่ใหญ่สิบแปดแล้ว แม้แต่จงหมิ่นเหยียนยังโตกว่าเขาปีหนึ่งเลย!
“ซือเฟิ่ง เหตุใดเจ้าต้องสวมหน้ากากไว้ตลอด ไม่ร้อนหรือ” เสวียนจีเอื้อมมือไปคิดจะลูบหน้ากากน่ากลัวเขา กลับถูกเขาปัดทิ้งทันที
“ไม่เกี่ยว กับเจ้า อย่าแตะ”
เสวียนจีหดมือกลับทันที พูดตามจริง ถูกคนปฏิเสธไร้ไมตรี นางเองก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
เขาอาจจะพอรู้สึกได้ว่าตนเองกล่าวไม่น่าฟัง นิ่งไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “หน้ากากนี้ ผู้ใดก็ แตะไม่ได้ ไม่อาจ ปลดออก ตามสบาย” คิดแล้วก็เสริมอีกว่า “นี่เป็น กฎระเบียบ ตำหนักหลีเจ๋อ”
เสวียนจียักไหล่ “ข้ายังไม่ได้เห็นหน้าตาเจ้าเลย เกิดวันหน้าไปเจอกันตามท้องถนน เจ้ารู้จักข้า ข้ากลับไม่รู้จักเจ้า กระอักกระอ่วนแย่”
เขาเงียบไปนาน ได้แต่ใบหูค่อยๆ แดงขึ้น ครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจำเจ้าได้ พอแล้ว”
หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
จงหมิ่นเหยียนอยู่ด้านหน้าพวกเขาฟังเงียบๆ มาตลอด พลันหันไปกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าคนตำหนักหลีเจ๋ออายุสิบแปดก็ถอดหน้ากากได้ เพียงแต่หากอยู่ในงานใหญ่ต้องสวมไว้ เป็นเช่นนี้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า “ที่แท้เจ้า เข้าใจอยู่ นี่เป็น ธรรมเนียม สำนักข้า ข้าไม่อยาก กล่าวมาก”
จงหมิ่นเหยียนเห็นท่าทางหยิ่งทะนงของเขา ในใจอดรังเกียจอยู่บ้างไม่ได้ แม้ตลอดทางมานี้ เลื่อมใสในความรู้กว้างขวางของเขา แต่นิสัยคนผู้นี้แย่มากจริงๆ แทบอยากจะเชิดหน้าใส่
เมื่อครู่ได้ยินเขาคุยกับเสวียนจี น้ำเสียงยกตนของเขาก็ทำเอารู้สึกไม่พอใจแล้ว เสวียนจีเป็นคนที่ใจไม่สนใจอันใด นางไม่ใส่ใจ แต่เขากลับใส่ใจยิ่ง! ไยจึงให้คนตำหนักหลีเจ๋อมาปีนอยู่บนหัวคนสำนักเส้าหยางได้!
“อย่างไรข้าเองก็ไม่สนใจ!” เขาโต้กลับอย่างแข็งกระด้าง หันหน้าไปไม่พูดอันใดอีก
อวี่ซือเฟิ่งถูกเขาโต้ใส่เช่นนี้ ก็คอแข็งทำนิ่งใบ้ ไม่พูดอันใดต่อ
เสวียนจีมองอย่างทำอะไรไม่ได้ มองอีกที คิดจะกล่าว ก็ไม่รู้กล่าวอันใด ได้แต่นิ่งปรี่ไปอยู่ข้างกายฉู่อิ่งหง ฟังบรรดาผู้ใหญ่ว่าคืนนี้จะจัดการจับปีศาจอย่างไร