ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 22
เมืองจงหลีเป็นเมืองใหญ่และเจริญรุ่งเรืองเหมือนดังที่หรูอี้กล่าวไว้ เทียบกับหมู่บ้านลู่ไถกับหมู่บ้านวั่งเซียนแล้ว ต่างกันจนไม่อาจเอามากล่าวเทียบกันได้ มองแค่ตัวอาคารบ้านเรือนสูงใหญ่ ก็ให้กลิ่นอายหรูหราอลังการ ก่อสร้างขึ้นด้วยหินชิงสือก้อนใหญ่ ถนนเส้นทางกว้างจากหน้าประตูเมืองยาวออกไป สองข้างทางเป็นบ้านเรือนชาวบ้านหลากหลาย ชายคาปลายงอนขึ้นราวกับสองปีก
ในเมืองมีผู้คนคึกคัก มีภาพความเป็นปุถุชนครึกครื้นรื่นเริง หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนเห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก อะไรก็ล้วนแปลกใหม่ อะไรก็ล้วนน่าสนใจ ทั้งสองจึงไม่มีเวลาว่าง วิ่งหายตัวไปนานแล้ว สุดท้ายหรูอี้ใช้เวลานานกว่าจะหาพวกเขาเจอท่ามกลางฝูงชนรุมล้อมชมการแสดงกายกรรมข้างถนน
“คนนั้นร้ายกาจมาก! ฝึกวิชาอะไร” หลิงหลงตื่นเต้นมาก ชี้ไปยังพี่ชายนักแสดงที่กำลังปีนภูเขามีดดาบ ถามหรูอี้รวดเดียวแทบไม่หายใจ
หรูอี้เพียงยิ้ม “กายกรรมเท่านั้น ไม่เรียกว่าจริง”
“วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้” จงหมิ่นเหยียนลูบคาง จ้องมองท่าทางปีนภูเขามีดดาบของคนผู้นั้น มองอย่างไรดาบพวกนั้นก็ส่องประกายวาว ไม่เหมือนปลอม “อาจารย์บอกว่าในหมู่ชาวบ้านมีคนแปลกประหลาดมากมายที่สุด ไม่คิดว่าที่นี่ก็มีคนหนึ่ง วิชาที่ไม่กลัวคมอาวุธเช่นนี้หากเรียนเป็น คิดว่าต้องได้ประโยชน์ไม่น้อย”
หรูอี้หัวเราะฝืดเฝื่อน แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย พอดีกับคณะกายกรรมนี้แสดงจบพอดี ชายร่างผอมสูงเมื่อครู่ที่ปีนภูเขามีดดาบเคาะไม้กรับ หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อขายยาสูตรลับตกทอดจากบรรพชนของเขา เป็นพวกยาบำรุงพลังกิมกังอะไรพวกนั้น
จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงเชื่อว่าจริง คนหนึ่งควักเงินซื้อไปมากมาย พลางถามคนผู้นั้นถึงเคล็ดลับที่คมอาวุธแทงไม่เข้า ทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าไปมา สนทนากันออกรสยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งหันไปพบว่าเสวียนจีไปหยุดอยู่หน้าอาคารสองชั้นหลังหนึ่ง เหม่อมองชายคาบ้านเรือนชาวบ้านที่ปลายงอนขึ้น วันนี้นางเปลี่ยนเป็นชุดขาวแบบฤดูใบไม้ผลิ ปักขอบสีเงิน ด้านหลังศีรษะเกล้ามวยผมเอียง ปักเครื่องประดับผมสีเหลืองอ่อนหนึ่งคู่ ยิ่งทำให้ผิวพรรณขาวผุดผ่องราวกับบุปผา คนที่ผ่านไปมาไม่มีสักคนที่ไม่เหลียวกลับมามอง น่าเสียดายที่นางเหมือนไม่รู้ว่าตนเองงดงามเพียงใด
“เจ้ามองอันใด” อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้ามาถามนางเสียงอ่อนโยน
เสวียนจีได้สติคืนมา จับเปียที่อยู่ตรงหน้าอกเล่นพลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกราวกับเคยเห็นบ้านแบบนี้”
ชายคาปลายงอนกระดกขึ้นเช่นนั้น ราวกับยังมีหลายชั้น แต่ละชั้นยื่นออกมา ทับซ้อนเป็นชั้น ด้านล่างแขวนกระดิ่งลม พอลมพัดมาก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเสนาะหู ชายคายังมีสัตว์เทพเฉาเฟิง นั่งแหงนหน้ามองฟ้าอ้าปากกว้าง บางครั้งเหนื่อยก็แอบขี้เกียจลงมาข้างล่าง
ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้มาก แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเคยเห็นที่ใด
นางเหมือนไม่รู้ว่าท่าทางก้มหน้าครุ่นคิดของตนเองตอนนี้ดึงดูดผู้คนเพียงใด ข้างๆ มีคนคิดไม่ซื่อหาโอกาสเข้ามาเชื่อมไม่ตรีแล้ว
“แม่นางท่านนี้ มาเมืองจงหลีครั้งแรกหรือ” ดังคาด มีคนเดินเข้ามา เสวียนจีหันไปมองเห็นคุณชายชุดขาวอายุราวยี่สิบ หน้าตาหล่อเหลาสะอาดตา อากาศหนาวยังถือพัดในมือ ทำท่าทางราวคุณชายเสเพล กำลังส่งยิ้มให้นาง
นางรู้สึกงุนงง กะพริบตาปริบ “ใช่…”
คนผู้นั้นเห็นนางยอมมีไมตรีตอบ อดแสดงสีหน้าดีใจไม่ได้ หุบพัดประสานมือกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าได้มีเกียรตินำแม่นางชมเมืองสักครา อ้อ ลืมบอกชื่อข้า ข้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้ารู้จักเจ้าหรือ”
คนผู้นั้นอึ้งไป “เรื่องนี้คือ…ข้ากับแม่นางก็เป็น…”
“ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักข้า” เสวียนจีจ้องมองเขา “เช่นนั้น…เจ้าหาข้ามีธุระ?”
“เอ๊ะ…แม่นาง…”
เขาถลึงตาใส่ เสวียนจีหันกายจากไป แม้แต่สายตาก็ไม่มองเขา วันๆ คุณชายตระกูลใหญ่เช่นเขาเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมเมือง ไหนเลยจะเคยถูกสตรีไม่ไว้หน้า จึงรีบเร่งไล่ตามไป กล่าวว่า “แม่นาง ช้าก่อน ข้าจริงใจ…”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ เจ้าจงใจ?” ในยามนี้หน้ากากอสุราบิดเบี้ยวน่ากลัวก็ปรากฏต่อหน้าเขา ราวกับร้องไห้ ราวกับแย้มยิ้ม ประหลาดบอกไม่ถูก คนผู้นั้นตกใจกระโดดถอยหลังไปหลายก้าว ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลา มองเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เป็นจงหมิ่นเหยียน
“เจ้าจงใจคิดทำอะไรศิษย์น้องเล็กข้า?” จงหมิ่นเหยียนกำลังโยนขวดยาบำรุงกิมกังที่เพิ่งซื้อมานั้นไปมาในมือ หลิงหลงที่ด้านข้างก็เลียนแบบเขา กอดอกถลึงตาใส่เขาดุดัน
คนผู้นั้นเห็นนางมากับพวกที่ท่าทางดุดันน่าประหลาดพวกนี้ก็แสร้งลูบจมูกไปมาไม่พูดอันใดอีก มองดูคนติดตามที่ว่ากันว่ามีฝีมือดีสองสามคนของเขาที่พามาด้วย ล้วนไปเบียดตัวอยู่นอกวง มือหนึ่งของหรูอี้ขวางพวกเขาไว้ เข้าไปไม่ได้
เขาได้แต่ประสานมือกล่าวอย่างตกใจว่า “ข้า ฟางอี้เจินแห่งเมืองจงหลี ขอคารวะจอมยุทธ์ทุกท่าน”
พอได้ยินเขาเอ่ยนามตน คนที่เบียดตัวมุงดูข้างๆ ก็พากันส่งเสียงดังขึ้นทันที มีคนสอดรู้สอดเห็นกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้เป็นบุตรชายรองของนายท่านฟาง! มิน่าถึงกล้าเกี้ยวพาราสีสตรีกลางถนนเช่นนี้…”
ฟางอี้เจินสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว อยากจะรีบหาที่มุดเข้าไปไม่ออกมาอีกเลยยิ่งดี หรูอี้อย่างไรก็เป็นคนสุขุมอยู่บ้าง จึงส่งผู้ติดตามที่ตนกำลังขวางไว้ให้พวกจงหมิ่นเหยียนขวางต่อ ตนเองก้าวเข้าไปประสานมือกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ในเมื่อคุณชายฟางเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ ยังมีน้ำใจต้อนรับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้ามิอาจปฏิเสธ เช่นนั้นก็ขอคุณชายนำทางพวกข้าชมทิวทัศน์จงหลีสักครา”
เขายอมตามน้ำไป ถือโอกาสให้คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้นำทางเสียเลย ในเมื่อคนผู้นี้ออกหน้าคิดเอาใจสตรี เช่นนี้ก็ให้เขาเอาใจให้พอ
ดังคาด สีหน้าฟางอี้เจินขื่นขมยิ่งกว่ามะระขม จะรับปากก็ไม่อยาก จะปฏิเสธก็ไม่กล้า ได้แต่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก้มกายกล่าวว่า “เช่นนั้น…ทุกท่านตามข้ามา…”
คุณชายตระกูลสูงศักดิ์อย่างไรก็เป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ รถที่นำออกมาแล่นก็มีกลิ่นอายร่ำรวยเงินทองทั้งคัน พวกเขาหกคนนั่งในรถคันหนึ่งยังเหลือที่อีก
หลิงหลงกับเสวียนจีไม่สนใจอันใด เรื่องบังคับให้ต้อนรับเช่นนี้ก็ให้เป็นเรื่องของพวกผู้ชายจัดการไป นางสองคนสนใจแค่หยิบผลไม้และขนมบนโต๊ะกินอย่างเดียว หลิงหลงดูคุ้นเคยยิ่ง ราวกับเป็นบ้านตนเอง ยกกาน้ำชากระเบื้องเคลือบสีขาวข้างๆ ขึ้นมารินน้ำชาดื่มคลายร้อน
ฟางอี้เจินได้แต่แอบทอดถอนใจ อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องกลุ่มดาวมารเข้าจนได้ ได้แต่ปล่อยพวกเขากินไปดื่มไป เขาไหนเลยจะกล้ากล่าวปฏิเสธ
หรูอี้เห็นสีหน้าเขาตื่นตระหนกตกใจ จึงยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายฟาง พวกข้าซาบซึ้งยิ่ง ขอรบกวนคุณชายบอกทางหน่อยว่าตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน”
ฟางอี้เจินเห็นเขาแม้ว่าสวมหน้ากากน่ากลัว แต่วาจาอ่อนโยนสุภาพเหมือนว่าไม่มีเจตนาร้าย จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง กล่าวว่า “ตอนนี้จะเดือนสองแล้ว เดือนสองจะมีคนมาเมืองจงหลีกันมากเพื่อจะไปขอพรที่ศาลบรรพชนตระกูลเกา ที่นั่นติดเขาและสายน้ำ ทิวทัศน์งดงามที่สุด”
พอหลิงหลงได้ยินว่าติดภูเขาติดสายน้ำก็ถามว่า “ติดทะเลสาบหงเจ๋อหรือ”
ฟางอี้เจินเห็นนางหน้าตาสะสวย ท่าทางมีชีวิตชีวา เป็นดรุณีน้อยงดงามโดดเด่นอีกนางหนึ่ง ในใจอดสั่นไหวไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางกล่าวได้ถูกต้อง มีความรู้มากมายจริง”
ไหนเลยหลิงหลงจะรู้ว่าเขาเอาใจนาง เป็นวิธีการเดิมๆ ของพวกเสือผู้หญิง นางพอถูกชมก็ได้ใจยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าได้ยินว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลบรรพชนตระกูลเกาเซ่นไหว้มิใช่เทพเซียนไร้ตัวตน แต่เป็นเทพเซียนตัวจริง เรื่องนี้จริงหรือ”
ฟางอี้เจินพยักหน้า กล่าวว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้รู้จริง ศาลบรรพชนตระกูลเกาเซ่นไหว้สตรีผู้หนึ่ง นางแซ่เกา ดังนั้นจึงเรียกว่าศาลบรรพชนตระกูลของนางผู้แซ่เกา คนในเมืองมีเรื่องทุกข์ใจใด ขอเพียงมาอธิษฐานที่ศาล ก็มักจะเห็นผลในวันถัดไป ดังนั้นแต่ไรมาศาลนี้จึงมีผู้คนมาสักการะไม่ขาด คนห่างไกลออกไปนับหมื่นนับพันลี้พอได้ยินว่ามีปรากฏการณ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ก็พากันมา นางผู้แซ่เกาผู้นี้เกิดในเดือนสอง ดังนั้นเดือนสองของทุกปี ชาวเมืองในเมืองจงหลีจึงมารวมตัวกันทั้งเมืองเพื่อจัดพิธีบูชายิ่งใหญ่”
หรูอี้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดไม่ไหว้วันจากไปของนาง หรือว่าเป็นพิธีการเฉพาะถิ่นนี้”
ฟางอี้เจินสนทนากับพวกเขามากมายก็เริ่มไม่กลัวแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้คงไม่ทราบว่านางผู้แซ่เกามิได้สำเร็จเซียน เพียงแต่พำนักอยู่ที่เขาเกาซื่อซาน พิธีบูชายิ่งใหญ่ในเดือนสองทุกปี ยังต้องคัดเลือกชายหนุ่มอายุน้อยสองสามคนที่มีวาสนาเซียนไปรับใช้นาง!”
“หา? นี่ไม่ใช่ว่าเสพสุข…” หลิงหลงกล่าวไม่ทันจบ ก็รีบกลืนวาจากลับไป นางเดิมคิดจะกล่าวว่าเซียนหญิงผู้นั้นทุกปีรับชายหนุ่มอายุน้อยไปหลายคน ย่อมเสพสุข ‘ชาย’ ได้จริงๆ แต่คนที่นี่เลื่อมใสบูชาอย่างยิ่ง วาจานี้ออกไปก็ไม่น่าฟัง ดังนั้นจึงรีบหุบปาก
หรูอี้สบตากับอวี่ซือเฟิ่ง เห็นชัดว่าพวกเขาแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามี ‘เทพเซียน’ เรียกคนไปรับใช้ตนเองเช่นนี้ด้วย เรื่องสนุกนี้จะต้องไปชมแน่นอน