ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 33
นางถูกแทงบาดเจ็บแล้ว ไหล่ขวาถูกตัดทิ้งไปส่วนหนึ่ง ถึงกับไม่มีเลือด มีแต่หมอกหนาสีม่วงที่ไม่อาจมารวมตัวกันได้อีก
บนกระบี่แม่นางน้อยผู้นั้นต้องมีของไม่ธรรมดา! จิ้งจอกม่วงจ้องมองกระบี่ในมือนาง ไม่รู้ว่านางตาลายหรือกระบี่แปลกประหลาด เสวียนจีตรงหน้าราวกับมีแสงเงินยวงชั้นบางๆ ปกคลุม แก้มนางซีดขาว ราวกับไม่ใช่มนุษย์
กระบี่ที่ส่งพลังวัตรทำร้ายนาง เกรงว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดา หากยังสู้กับอีกฝ่ายเช่นนี้ต่อไป ตนเองเสียเปรียบยิ่ง หากเกิดพลาดพลั้งโดนจุดสำคัญ อาจทำลายพลังวัตรนางสิ้น คิดถึงตรงนี้ จิ้งจอกม่วงก็รีบกลิ้งตัวไปบนพื้น หลบกระบี่เสวียนจีที่แทงมา ทั้งร่างเป็นดังหมอกสีม่วงก้อนหนึ่ง พุ่งเข้าไปในร่างจิ้งจอก
ทันทีที่คืนร่างเดิม จิ้งจอกก็ขยับตัวพลิกตัวกระโดดอย่างคล่องแคล่ว เก็บหางหดแนบตัว ส่งเสียงครางตื่นตระหนก กำลังคิดหาทางหนีออกนอกประตู
เสวียนจีไหนเลยจะยอมปล่อยให้นางหนีไปได้ นิ้วมือประสานจิตตาม พริบตาก็เรียกมังกรเพลิงตัวใหญ่สิบกว่าสายออกมาพุ่งไปยังหน้าประตูขวางทางไว้ อาศัยว่าจิ้งจอกม่วงผ่านด่านเคราะห์สามสิบหกด่านมาแล้ว ไม่กลัวเกรงน้ำและไฟ สองตาไม่กะพริบ โดดพุ่งไปข้างหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าพอแตะเข้ากับลำตัวมังกรเพลิง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับถูกไฟแผดเผาไปทั้งตัว
นางส่งเสียงหวีดร้องดัง ค่อยๆ หดตัวกลับ ก้มลงมองขนสีม่วงสวยงามดกหนาของตนเอง ถูกเผาไหม้ดำเกรียมไปกระจุกใหญ่
เป็นอัคคีสมาธิจิต!
จิ้งจอกม่วงไม่ทันได้ส่งเสียงคราง ปลายตาก็พลันเห็นเงาร่างสีขาวราวผีร้ายพุ่งมาข้างนาง นางกุมหัวหวาดกลัวราวหนูตัวน้อย แต่มังกรเพลิงรอบๆ ยังบินฉวัดเฉวียนวนเวียน ยามนี้ไร้ทางหนี ได้แต่ร้อนใจส่งเสียงครางแตกตื่น
ด้านหลังหูได้ยินเสียงลมเคลื่อนไหว นางหันกลับไปมองอย่างสิ้นหวัง ดรุณีน้อยชุดขาวน่ากลัวผู้นั้น ชุดยาวปลิวไสว ประกายวูบวาบท่ามกลางแสงเพลิงอัคคี แววตาทั้งสองลึกยากหยั่งถึง สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
นางรู้ว่ายามมนุษย์เกิดโทสะก็จะสำแดงพลังอันใดสักอย่างออกมา พวกเขาจะคำรามหรือไม่ก็ร้องไห้ ไม่เช่นนั้นหน้าก็จะแดงก่ำบุกโจมตีไร้ทิศทาง นางไม่เคยเห็นคนเช่นนาง ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก มองนางเยียบเย็น ราวกับไม่มีความแค้นฝังลึกกับนางอันใด นางเพียงแค่คิดสังหารนางทิ้ง ง่ายมาก สังหารนางก็เท่านั้น
“ข้าไม่ได้สังหารพวกศิษย์พี่เจ้า!” จิ้งจอกม่วงไม่อาจระงับความหวาดกลัวไว้ได้อีก ส่งเสียงกรีดร้องดัง “ไม่ได้ได้สังหาร ไม่ได้สังหาร! ข้าเองไม่ได้สังหารชาวเมืองจงหลี! แต่ไรมาข้าไม่เคยสังหารคน! เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
แต่เสวียนจีราวกับไม่ได้ยิน…ไม่ อาจจะได้ยิน เอียงศีรษะมองมา ราวกับว่ามีท่าทางไร้เดียงสา พริบตา กระบี่ในมือนางยกขึ้น ไม่ลังเลที่จะแทงนาง
จิ้งจอกม่วงหลับตาลงรอความตายอย่างสิ้นหวัง
เช่นนั้นแล้วอย่างไร สายตาเสวียนจีกำลังถาม เช่นนั้นแล้วอย่างไร
ไม่ผิด ต้องสังหารทิ้ง ไม่ว่าสังหารปีศาจ หรือสังหารสิ่งใดก็ตาม จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือ อีกฝ่ายกล้าแกร่งกว่านาง เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเหตุผลที่งดงามที่สุดแล้ว
สายลมแผ่วพัดมาข้างหูนาง ขนจิ้งจอกม่วงงดงามค่อยๆ ลอยขึ้น
นี่คือลมปลิดชีพ
นางกำลังจะตายแล้ว
มีสองมือพลันทะลุผ่านมังกรเพลิง ค่อยๆ โอบนางขึ้นแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงแหบพร่าของถิงหนูดังขึ้น “อย่าสังหารนาง นางไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้าย”
การเคลื่อนไหวเสวียนจีหยุดลงทันที คมกระบี่จี้ไปที่หน้าอกถิงหนู อีกเพียงสองนิ้ว ก็พอจะแทงทะลุหัวใจเขา
นางมองจ้องเขา ราวกับไม่รู้จักเขา
ถิงหนูยิ้มให้นางเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “ปล่อยนาง ได้ไหม”
เคร้ง กระบี่ในมือเสวียนจีร่วงลงพื้น นางเกาศีรษะงุนงงเล็กน้อย ราวกับไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ใด มังกรเพลิงที่บินฉวัดเฉวียนวนเวียนรอบๆ หายไปสิ้นในชั่วพริบตา เหลือเพียงร่องรอยไหม้สีดำเป็นแถบที่บอกได้ว่าเป็นร่องรอยอำมหิตของอัคคีสมาธิจิต
“ข้า…?” สติเสวียนจียังคงไม่กลับคืนมา มองจิ้งจอกม่วงขดตัวสั่นระริกในอ้อมกอดถิงหนูอย่างอึ้งงัน นางน้ำตานองหน้า ร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลท่วม แทบหมดสิ้นลมหายใจ
ถิงหนูค่อยๆ ลูบขนมันลื่นอ่อนนุ่มของจิ้งจอกม่วง ราวกับกำลังสั่งสอนลูกที่ไม่เชื่อฟัง กล่าวอ่อนโยนว่า “คราวนี้รู้ความร้ายกาจแล้วใช่ไหม เอาแต่คุยว่าโลกนี้ไม่มีผู้ใดกำราบเจ้าได้ วันหน้าอย่าได้เอาแต่ใจเช่นนี้อีก อยากช่วยเขาก็หาทางอื่นได้”
ในที่สุดเสวียนจีก็ฟื้นคืนสติ มองไปรอบทิศอย่างงุนงง นางราวกับจำได้ว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น แต่มาคิดให้ละเอียด ถึงกับคิดไม่รายละเอียดไม่ออก นางชี้ไปยังจิ้งจอกม่วงที่ร้องไห้กระซิกอยู่ พึมพำกล่าวว่า “ข้าเป็นคนลงมือกับนางจนเป็นเช่นนี้หรือ”
ถิงหนูยิ้มเจื่อน ถอนใจกล่าวว่า “ไม่ว่าผู้ใดลงมือ สรุปนางแพ้แล้ว พวกศิษย์พี่เจ้าไม่เป็นไร คิดว่าตอนนี้คงหนีไปเองแล้ว สวรรค์มีเมตตา เจ้าไว้ชีวิตนางเถิด”
“ไม่ได้” วาจาเสวียนจีทำเอาจิ้งจอกม่วงสะดุ้งตาเหลือกเป็นลมไปทันที
“เอ๋…” อันใดกัน ไม่เหมือนปีศาจที่นางเคยรู้จัก นางไม่ใช่ว่าควรจะเอาแต่ตะโกนท้าทาย ‘มาสังหารข้าสิ ดูว่าเจ้ามีความสามารถอันใด’ ไม่ใช่หรือ
ถิงหนูกล่าวว่า “ชายที่ถูกนางจับตัวมาก่อนหน้านี้ล้วนถูกนำตัวไปเลี้ยงดูอยู่ที่สวนอี๋ซินหลังเขา เจ้าอย่าได้เห็นว่านางบำเพ็ญเพียรวิชามารจิ้งจอกเช่นนี้ ที่จริงนางขี้ขลาดมาก วันๆ เอาร้องตะโกนว่าจะดูดพลังหยาง แต่คนจับมาก็มักทำไม่ลง สุดท้ายเอาไปเลี้ยงดูที่ด้านหลังเขา นางช่วยสอนวิธีฝึกลมปราณการหายใจใหม่”
อะไรนะ เสวียนจีอึ้งไป กล่าวเช่นนี้ นางไม่เพียงไม่ใช่คนเลว ยังถึงกับเป็นปีศาจดีหรือ
“เช่นนั้น นาง…ก่อนหน้านี้ทำไมไม่พูด” และดูท่าทางนางก็ไม่เหมือนว่าเป็นคนดี จริงหรือว่าแต่ไรมาไม่เคยดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน
ถิงหนูกล่าวอีกว่า “นางเป็นจิ้งจอกที่เดิมทีนิสัยชอบหยอกทีเล่นทีจริง แม้กล่าวว่ามารปีศาจจิ้งจอกดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน แต่ไม่ใช่มีวิธีนี้วิธีเดียว หากไม่ใช่ว่าระยะนี้…มารปีศาจนั่นมีข่าวแพร่มา นางจะจับตัวชายหนุ่มขึ้นเขาไปทำไมกัน นางเป็นคนขี้ขลาด จับคนมาก็ไม่กล้าลงมือ ยังตัดใจปล่อยตัวไปไม่ได้ ดังนั้นได้แต่เก็บไว้ที่สวนอี๋ซิน ครั้งนี้ทำซ้อนแผนจับพวกเจ้าขึ้นเขา คิดว่าคงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ข้าคิดว่า แม้สุดท้ายเจ้าไม่ได้ตามมาถึงที่นี่ ศิษย์พี่และสหายเจ้าพวกนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”
วาจานี้จริงหรือ เสวียนจีสงสัยมาก แต่นางเห็นกับตาว่านางปีศาจควรตายนี้จับคนไป และยังมีปีศาจอีกมากมาย ยังไม่รู้พวกซือเฟิ่งไม่เป็นไรจริงหรือไม่!
ถิงหนูหัวเราะคิก “เชื่อข้า ไม่หลอกเจ้าแน่”
เสวียนจีจึงได้พยักหน้า “ได้ เช่นนั้นยังไม่สังหารนาง พานางไปด้วย ข้าต้องได้พบพวกศิษย์พี่หกก่อน แวะไปดูสวนอี๋ซินว่าเป็นดังที่เจ้าว่า ค่อยปล่อยนางไป”
ถิงหนูอุ้มจิ้งจอกม่วงไว้ในอ้อมกอด ลูบขนนางเบาๆ พลางกล่าวว่า “ก็ดี ไปให้พ้นจากที่นี่เร็วหน่อยก็ดี ไปช้า เกรงว่าจะเกิดเรื่อง”
เรื่องใด เสวียนจีเริ่มงุนงงอีกรอบ
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คนอีกพวกหนึ่ง ก็คิดจะช่วยมารปีศาจพวกนั้น น่าจะใกล้ถึงแล้ว”
*****
พวกจงหมิ่นเหยียนอาศัยจังหวะจิ้งจอกม่วงออกไป ตนเองแอบหลบออกจากห้องมาก่อนหน้าแล้ว ถ้ำจิ้งจอกใหญ่โตมาก ยังมีทางแยกนับไม่ถ้วน ทุกทางแยกยังยาวพอกัน ทั้งสามเดินมาสักครู่ ในที่สุดก็รู้สึกว่าหลงทางแล้ว
“ราวกับอยู่ในเขาวงกตเลย…” หรูอี้ถอนใจ ยกมือไปลูบเชิงเทียนเหล็กนิล พวกเขาผ่านที่นี่มาห้ารอบแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งโดนมายาจิ้งจอกม่วง ไม่อาจขยับตัวได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จงหมิ่นเหยียนแบกเขาขึ้นหลัง กล่าวเบาๆ ว่า “ทำสัญลักษณ์ตรงนี้”
หรูอี้ใช้พู่กันเหล็กขีดใต้เชิงเทียน
“เดินไปทางซ้าย” พอพบทางแยก อวี่ซือเฟิ่งก็สั่งอีก
ทางแยกทางซ้ายทำตำหนิเช่นเดียวกับที่ทำตรงทางแยกเมื่อครู่ หรูอี้ใช้พู่กันเหล็กวาดใต้เชิงเทียนขีดที่สอง
เช่นนี้ไปเรื่อยๆ พอเจอทางแยก อวี่ซือเฟิ่งก็สั่งให้ไปซ้าย รอยที่พู่กันเหล็กวาดไว้จากหนึ่งกลายเป็นหกเจ็ดรอย เดินจนสุดท้ายจงหมิ่นเหยียนเหนื่อยมาก ปาดเหงื่อถอนหายใจกล่าวว่า “แท้จริงมีกี่ทางแยก ถ้ำจิ้งจอกนี่ใหญ่จริง!”
อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ กล่าวเบาๆ ว่า “ใกล้แล้ว ใกล้จะออกไปได้แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่เป็นถ้ำเก้าตำหนัก เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ปล่อยพลัง เพียงแค่พวกเราเดินไปทางซ้ายตลอด ทางแยกที่เก้าเลี้ยวขวา ก็จะออกไปได้”
จงหมิ่นเหยียนรู้ว่าในยามคับขันต้องฟังซือเฟิ่งไม่ผิดแน่ พี่น้องเขาคนนี้ครบทั้งบุ๋นบู๊ หน้าตายังหล่อเหลา คิดถึงตรงนี้ เขาอดล้อไม่ได้ “ข้ารู้แล้วว่าตำหนักพวกเจ้าเหตุใดจึงให้บรรดาศิษย์สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า คนเช่นซือเฟิ่งหากออกไปท่องยุทธภพ ใช่ว่าทำเอาดรุณีน้อยแรกผลิพากันตามติดเป็นตังเมหรือ”
หรูอี้หัวเราะขำ อวี่ซือเฟิ่งแค่นเสียงเบาๆ ไม่รู้ว่าควรอายหรือโมโหดี ผ่านไปนานจึงได้กล่าวว่า “เสวียนจีไม่รู้หนีไปได้ไหม หากพาหลิงหลงหนีไปรอพวกเราที่เมืองจงหลี นั่นก็คงดีที่สุด”
จงหมิ่นเหยียนถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากนางรู้จักเหตุผลรุกถอยเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ฉู่เสวียนจีแล้ว ข้าว่านางต้องไม่ไปแน่ ต้องวนอยู่ละแวกนี้ ดีไม่ดียังหลงทางอีก”
หากเป็นเหมือนจงหมิ่นเหยียนกล่าวมา เสวียนจียังอยู่ที่นี่ นั่นก็ย่อมไม่ได้การยิ่งแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งเริ่มร้อนใจ กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ช้าก่อน…ไม่ได้ พวกเราต้องไปหาเสวียนจีให้พบก่อน”
แต่วาจานี้กล่าวออกไป ทั้งสามได้แต่อึ้งไป
หาอย่างไร ที่นี่เป็นวังเขาวงกตขนาดใหญ่ เสวียนจีเองก็ไม่รู้ปะทะเข้ากับนางจิ้งจอกนั่นหรือไม่ แม้พบนางเข้า พวกเขาทั้งสามไม่มีพลังวัตร ก็แล้วอย่างไร ก็คงไปรนหาที่เองก็เท่านั้น
หรูอี้ลังเลกล่าวว่า “ออกไปกันก่อนดีกว่า มั่นใจว่านางไม่อยู่ ค่อยขึ้นมาหาก็ไม่สาย”
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “ได้อย่างไร! รอพวกเรากลับมาหา ไม่แน่นางสองคนอาจจะ…!”
“แต่เจ้าและข้าตอนนี้ล้วนสิ้นพลังวัตร จะทำอย่างไรได้”
“เช่นนั้นก็ไม่อาจมองดูนางสองคนไปตายโดยไม่ทำอันใดนี่!”
อวี่ซือเฟิ่งได้ฟังเขาทั้งสองคนโต้เถียง ก็อดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “หมิ่นเหยียน วางข้าลง พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยู่ที่นี่หาเสวียนจีกับหลิงหลง จำไว้พอออกไปให้ส่งสัญญาณ ดูว่าพวกนางจะมารวมตัวกันได้ไหม”
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาเดินส่ายไปมา ร้อนใจกล่าวว่า “สภาพเจ้าเช่นนี้จะหาอย่างไร เอาเถอะ! หรูอี้ เจ้าแบกเขาออกไป ข้าไปหาเองแล้วกัน!”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้ค่ายกลเก้าตำหนัก เกรงว่าจะถูกขังตายในนี้ อย่างไรเป็นข้า…”