ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 49
ผ่านไปสองวัน คนจากหุบเขาเตี่ยนจิงและตำหนักหลีเจ๋อก็มาถึงแล้ว มีเพียงสำนักเซวียนหยวน ตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว ตงฟางชิงฉีอย่างไรก็รู้สึกไม่อาจวางใจได้ ส่งศิษย์ไปส่งจดหมาย กลับมารายงานว่าประตูใหญ่สำนักเซวียนหยวนปิดแน่น กระถางทองแดงสามขาหน้าประตูก็เย็นเยียบเหมือนไม่ได้จุดกำยานมานาน ถามชาวบ้านละแวกเขาหนานซาน ล้วนบอกว่าหลายเดือนก่อนก็ไม่เห็นคนสำนักเซวียนหยวนปรากฏตัวแล้ว
นี่ย่อมไม่ใช่ข่าวดี ตงฟางชิงฉีขมวดคิ้ว หันกลับไปถอนหายใจกล่าวว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้ไม่ทราบว่าอย่างไรดี”
เจ้าหุบเขาหรง รองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ และฉู่เหล่ย ทั้งสามนั่งอยู่ตรงหน้า ล้วนสีหน้าหนักใจ เพียงแต่รองเจ้าตำหนักผู้นั้นสวมหน้ากาก มองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึก แต่ดูจากอาการโบกพัดขนนกไม่หยุดของเขาก็พอมองออกว่าเขากำลังครุ่นคิด
“คงไม่ใช่ว่าสำนักเซวียนหยวนครั้งก่อนแพ้จนกลัว ครั้งนี้ไม่กล้ามาร่วมงานชุมนุมปักบุปผาอีก?”
รองเจ้าตำหนักกล่าวล้อเล่นที่ไม่น่าขันแม้แต่น้อย คนอื่นไม่หัวเราะ เขาเองกลับหัวเราะขึ้นเบาๆ
คนอื่นล้วนรู้รองเจ้าตำหนักผู้นี้แต่ไรนิสัยเช่นไร ไม่อยากสนใจมาก เจ้าหุบเขาหรงนิ่งเงียบเป็นนาน จึงกล่าวว่า “คิดว่าคงเกิดเรื่องใหญ่อันใดแล้ว ไม่สู้ส่งศิษย์เราอีกสองสามคนไปตรวจสอบ ทันทีที่พบเหตุอันใดก็ให้รีบมารายงาน”
หลายปีมานี้แม้ว่าสำนักเซวียนหยวนอ่อนกำลังลง แต่อย่างไรก็เป็นสำนักใหญ่สายบำเพ็ญเซียนทางใต้ ภาษิตกล่าวว่าอูฐผอมแห้งใกล้ตายยังใหญ่กว่าม้า พื้นที่ทางใต้นี่ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีผลกระทบ หากเกิดเรื่อง ก็ย่อมเป็นลางร้ายสำหรับทั้งสี่สำนักใหญ่
ยามนั้นเจ้าหุบเขาหรงกับตงฟางชิงฉีส่งกลุ่มศิษย์ตนไปตรวจสอบสถานการณ์สำนักเซวียนหยวนต่อ
ตงฟางชิงฉีกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “พวกท่านคิดว่า สถานการณ์นี้เกี่ยวกับเรื่องโซ่หมุดทะเลระยะนี้ไหม”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เจ้าหุบเขาหรงจึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ชิงฉี! เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงตอนนี้!”
ทุกคนล้วนเงียบงัน สุดท้ายฉู่เหล่ยกล่าวว่า “ไม่ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไรแต่ละคนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม กองทัพมารับศึก น้ำมาดินอุด”
แปดคำสุดท้ายของเขาหนักแน่นมาก ในใจทุกคนพากันตระหนัก เข้าใจความสำคัญเรื่องนี้อย่างที่สุด
ไม่ทันคิดว่ารองเจ้าตำหนักผู้นั้นถึงกับส่งเสียงหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เจ้าสำนักฉู่กังวลมากไปแล้ว เรื่องเล็กน้อยขี้ปะติ๋วไม่กี่เรื่อง ไม่ควรเรียกว่ากองทัพ พวกเราอย่างไรก็เป็นสำนักใหญ่บำเพ็ญเซียนบนโลกมนุษย์ ไม่ควรดูแคลนตนเอง มา มา มา มาหารือเรื่องกำหนดรายชื่อศิษย์ร่วมงานกันก่อนค่อยว่ากัน”
ฉู่เหล่ยรู้ดีว่าวาจารองเจ้าตำหนักก็เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียดของทุกคน ยามนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “รองเจ้าตำหนักกล่าวได้ถูกต้อง ข้ากับเจ้าเกาะตงฟางกำหนดรายชื่อแล้ว เจ้าหุบเขาหรง รองเจ้าตำหนัก รายชื่อสำนักของท่านกำหนดเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย ล้วงรายชื่อออกมาจากแขนเสื้อส่งให้ตงฟางชิงฉี เจ้าหุบเขาหรงยังกล่าวอีกว่า “งานชุมนุมปักบุปผาครั้งก่อน หุบเขาเตี่ยนจิงช่างขายหน้าอย่างที่สุด ครั้งนี้ข้าจึงได้ตรวจสอบรายชื่อศิษย์เข้าร่วมงานด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นอีกเด็ดขาด”
ทุกคนรู้ว่าที่เจ้าหุบเขาหรงกล่าวถึงก็คืออูถง เขามาฝากตัวเป็นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงตอนโตแล้ว ตัวเขาเองก็มีความสามารถแปลกประหลาดติดตัว ก็ไม่รู้ว่ามาจากสำนักไหน อาจารย์เขาคืออาวุโสเจียงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงที่อยู่ๆ ก็เสียดายความสามารถเขาจึงรับเขาไว้ และยังเพราะใจอ่อน หลังเขาทำผิดมหันต์ยังปล่อยเขาหนีไป สุดท้ายนึกตำหนิตนเอง จึงได้กักตนอยู่ในผาจันทราน้อยในหุบเขาเตี่ยนจิง ไม่ออกมาสู่โลกภายนอกอีกเลย
ตอนนั้นอูถงจงใจแทงใส่ฉู่เสวียนจีบุตรสาวฉู่เหล่ย เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ห้าสำนักใหญ่ให้รางวัลนำจับถึงห้าร้อยตำลึงทอง ประกาศจับจากห้าสำนักใหญ่ เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนวงการ อย่าว่าแต่เขาเอง แม้แต่กระต่ายตัวหนึ่งก็ไม่อาจหลบได้เกินหนึ่งเดือน
แต่หลังจากอูถงหนีไปครานั้นกลับจับตัวเขาไม่ได้ ราวกับเขาระเหิดเป็นไอหายไป ไม่พบร่องรอยอันใดแม้แต่น้อย ประกาศจับของห้าสำนักใหญ่เปลี่ยนทุกปี รางวัลนำจับคนผู้นี้ก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากห้าร้อยตำลึงทองก็กลายเป็นสองพันตำลึงทอง รางวัลหนักก็ย่อมมีผู้กล้า ต่อมาผู้บำเพ็ญเซียนใต้หล้าจึงล้วนรู้ชื่อเสียงอูถง และก็ลองพลิกภูเขาล้มทะเลเพื่อควานหาตัวเขาออกมา แต่ก็กลับไม่ประสบผลอันใด
นานวันเข้า ก็มีคนเดาว่าอูถงน่าจะเกรงกลัวความผิดปลิดชีวิตตนเอง ดังนั้นหาเขาไม่พบ สุดท้ายเจ้าสำนักห้าสำนักใหญ่ก็เชื่อว่าข่าวการตายอูถงเป็นเรื่องจริง แต่ประกาศจับก็ยังไม่ปลดลง เกรงว่าวันหน้านำพาให้เกิดเหตุอันใดอีก
แม้ว่างานชุมนุมปักบุปผาเป็นการประลองของศิษย์รุ่นเยาว์ห้าสำนักใหญ่แต่มีความหมายอย่างมาก บุคคลสำคัญของแต่ละสำนักล้วนปรากฏตัวในงาน ยากจะป้องกันไม่ให้คนที่คิดชั่วร้ายมาก่อเรื่อง เจ้าหุบเขาหรงตัดสินใจก่อนหน้านี้แล้วว่า หากอูถงกล้ามาอีก ครั้งนี้เขาจะต้องจัดการสังหารศิษย์ทรยศนี้ด้วยตนเอง
จัดการงานเสร็จ ทั้งสี่ก็นั่งคุยกันเรื่องทั่วไปอยู่ในห้องโถง กล่าวถึงเรื่องกระบี่เปิงอวี้นั่นมีเจ้านายแล้ว เป็นเสวียนจีบุตรสาวคนเล็กของฉู่เหล่ย เจ้าหุบเขาหรงได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ลูบเครากล่าวว่า “น้องฉู่ กระบี่ต้วนจินกับกระบี่เปิงอวี้สองเล่มนี้ เจ้ารู้ความร้ายกาจมัน แต่กลับไม่รู้ว่าวัตถุที่นำมาหลอมนั่นสิ ที่เรียกว่าร้ายกาจแท้จริง”
ฉู่เหล่ยได้ยินว่ารีบถามว่า “อย่างไร? ขอท่านเจ้าหุบเขาชี้แนะ”
เจ้าหุบเขาหรงถอนหายใจกล่าวว่า “นั่นเป็นบรรพจารย์ไม่รู้กี่รุ่นก่อนของข้า วันหนึ่งหลอมกระบี่ที่แท่นสวรรค์ด้วยเหล็กดำ ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ พลันทางขอบฟ้ามีแสงพุ่งลงมาราวกับดาวตก ตรงมายังด้านข้างของแท่นสวรรค์ พวกเจ้าก็รู้วัสดุหลอมกระบี่เก็บมาจากเขาลึกและใต้ท้องทะเลกว้างใหญ่ แม้ว่าเป็นของมีค่าหายาก แต่หากเทียบกับอุกกาบาตที่ตกจากฟ้า ก็เหมือนจอมเวทน้อยปะทะจอมเวทใหญ่ วัสดุจากฟ้า วาดหวังได้แต่ใช่ว่าจะได้มา บรรพจารย์ข้าผู้นั้นคิดว่าเป็นอุกกาบาตตกลงมา รีบรุดเข้าไปตรวจดู หวังเพียงว่าในอุกกาบาตนั้นมีวัสดุที่จะเอามาหลอมกระบี่ได้ นั่นก็ย่อมหลอมเป็นกระบี่วิเศษใต้หล้าได้จริงแล้ว”
“กล่าวเช่นนี้ กระบี่ต้วนจิน กระบี่เปิงอวี้ หลอมขึ้นจากอุกกาบาตที่ตกจากฟ้า?” ฉู่เหล่ยทั้งตกใจและดีใจ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องราวที่มาที่ไปของสองกระบี่นี้
เจ้าหุบเขาหรงยิ้มส่ายหน้า “ของที่ตกจากฟ้าไม่ใช่อุกกาบาต หากเรื่องนี้ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติเหตุการณ์ใหญ่หุบเขาเตี่ยนจิง พวกเราที่กำลังฟังกันอยู่ตอนนี้คงคิดว่าเป็นเรื่องน่าขัน ที่แท้สิ่งที่ตกจากฟ้าไม่ใช่อุกกาบาต แต่เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ตัวกระบี่ใหญ่มาก เปล่งประกายงดงาม ประกายแสงทำให้คนไม่กล้าเข้าไปมองใกล้ๆ บรรพจารย์คิดว่าอาวุธเทพสวรรค์ตกลงมา ดีใจอย่างมาก เดิมคิดจะเอากระบี่นี้เป็นอาวุธประจำกายตนเอง แต่ร่างกายเขาเป็นกายเนื้อ ไม่อาจใช้กระบี่นั่นได้ เขาตัดใจจากเทพศาสตรานั่นไม่ลง จึงได้หาสืบเสาะทั่วหล้า ทั้งทะเลสาบมหาสมุทรทั้งสี่ ทั้งภูเขามีชื่อทั้งหลาย ในที่สุดก็หาวัสดุหลอมกระบี่สุดยอดได้มากมาย นำมาหลอมรวมกับเทพศาสตรานั่นที่แท่นสวรรค์ ผ่านไปสามปี กระบี่สองเล่มที่หลอมออกมา ก็คือกระบี่ต้วนจินและกระบี่เปิงอวี้”
ทุกคนได้ฟังเรื่องประหลาดนี้ อดพากันนิ่งอึ้งไปไม่ได้ ตงฟางชิงฉีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้น…ที่ตกมาจากฟ้า เป็นอาวุธเทพศาสตราที่เทพสวรรค์ใช้หรือ แล้วไฟธรรมดาจะหลอมได้อย่างไร”
เจ้าหุบเขาหรงยังกล่าวอีกว่า “ดังนั้นบรรพจารย์จึงได้ใช้เวลาถึงสามปีจึงหลอมกระบี่สองเล่มนี้ออกมาได้ เขาลองอยู่หลายครั้ง จึงพบว่าผลึกหยกน้ำแข็งที่ได้มาจากเชิงเขาคุนหลุนเข้ากันกับกระบี่ได้ ดีใจเบิกบานหลอมกระบี่เปิงอวี้ออกมาก่อน พอหลอมกระบี่ต้วนจิน ตัวกระบี่นั่นก็เหลือไม่มากแล้ว เขาได้แต่เติมวัสดุอื่นลงไปกลายเป็นกระบี่ต้วนจิน หลังหลอมเป็นกระบี่เสร็จ เขาก็ลองใช้ดู กระบี่เปิงอวี้ราวศาสตราเทพมารรังสรรค์ เขาย่อมตกหลุมรักมันมาก แต่อย่างไรเขาเองก็ใช้ไม่ได้ สุดท้ายได้แต่ผนึกกระบี่เปิงอวี้เก็บไว้ ตนเองใช้กระบี่ต้วนจิน ก่อนจากไป เขาไม่รู้ว่าอยู่ๆ กระจ่างใจเรื่องใด สั่งเสียไว้ว่า สองกระบี่นี้ศิษย์สำนักเราไม่อาจใช้ได้ ในเมื่อบรรพจารย์สั่งเสียเช่นนี้ เจ้าสำนักต่อมาจึงได้แต่นำกระบี่คู่ผนึกไว้ที่แท่นกระบี่สวรรค์ มาถึงยุคของข้า บรรดาศิษย์ล้วนไม่รู้เรื่องราวกระบี่ต้วนจินและกระบี่เปิงอวี้แล้ว ข้าเห็นสองกระบี่ผนึกไว้ที่แท่นสวรรค์ก็เสียดาย สำนักเราก็ไม่อาจมีคนใช้งานได้ จึงได้ถือโอกาสมอบให้เจ้าสำนักฉู่ที่กำลังดีใจเพราะได้บุตรสาวฝาแฝด คิดไม่ถึงหลายปีมานี้ล้วนไม่มีคนใช้งานกระบี่เปิงอวี้ได้ ถึงกับเป็นบุตรสาวท่านที่ทำให้มันคืนชีวิตได้ บรรพจารย์ในปรภพคงตายตาหลับแล้ว”
ทุกคนพากันชื่นชม ตอนนี้จึงได้รู้ที่มาที่ไปของกระบี่ต้วนจินกับกระบี่เปิงอวี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันนั้นเทพศาสตราที่หล่นมาบนแท่นสวรรค์นั้นแท้จริงคือสิ่งใด หรือว่าเป็นอาวุธเทพสวรรค์จริง พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียน เป้าหมายแห่งชีวิตก็คือบำเพ็ญเซียน แต่เรื่องว่าเทพสวรรค์เป็นเช่นไรนั้น ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ผู้ใดก็ไม่เคยพบเห็น ผู้ใดจะคิดว่าโลกมนุษย์นี้จะมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้คนได้แต่อุทานเหลือเชื่ออยู่จริง รู้สึกว่าความพยายามทั้งชีวิตไม่ได้เสียเปล่า
ขณะกำลังคุยสัพเพเหระกันอยู่นั้นเอง พลันได้ยินเสียงกวางร้องดังมาจากนอกประตู ตามมาด้วยเสียงบรรดาศิษย์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูกำลังพากันตกใจ “ฮูหยิน! เจ้าสำนักกำลังต้อนรับแขกสำคัญอยู่…ไม่สะดวกเข้าไป…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เสียงไพเราะก็ดังมา นางเผยรอยยิ้มบาง “แขกสำคัญอันใดกัน หรือแม้แต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้ พวกเจ้าศิษย์ตัวน้อยนี่ช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน”
ตงฟางชิงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาค่อยๆ เยียบเย็น พวกฉู่เหล่ยรู้ความพากันลุกขึ้นขอตัว ยิ้มกล่าวว่า “เดินทางมาไกล พวกข้าเองก็เหนื่อยอยู่บ้าง พรุ่งนี้ค่อยดื่มกับเจ้าเกาะให้สะใจสักสามร้อยจอกแล้วกัน!”
เขายิ้มกว้างเดินไปส่งทุกคนที่หน้าประตู ทุกคนเห็นเพียงสาวงามชุดขาวยืนอยู่หน้าประตู ข้างกายมีกวางน้อยสองตัวเคียงกัน มือนางมีเมล็ดสนให้มันกิน นางเห็นทุกคนออกมาก็ยิ้มเล็กน้อย ย่อกายคารวะงดงาม กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “คารวะเจ้าสำนักทุกท่าน”
ลมพัดแขนเสื้อตัวกว้างของนางพลิ้วไปมา สองตาเปล่งประกายใสกระจ่างราวสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง สาวงามทำเอาทุกคนไร้วาจาจะกล่าวต่อ แม้รู้สถานะนางไม่ธรรมดา แต่พอได้เห็นความงามอันแสนน่ากลัวของนาง แม้แต่เจ้าหุบเขาหรงที่สุขุมนุ่มลึก ในใจยังอดกระตุกไม่ได้ ประสานมือยิ้มให้นางเล็กน้อยไม่กล่าวอันใด พากันขอตัวจากไป
ฮูหยินตงฟางค่อยๆ ก้าวเข้ามา กวางน้อยสองตัวข้างกายก็เข้ามาใกล้ล้อมนางไว้ ส่งเสียงร้องจะกินเมล็ดสน
นางเผยรอยยิ้มบางควงแขนตงฟางชิงฉีออดอ้อนว่า “ท่านพี่ ท่านดูหูข้าสิ”
ตงฟางชิงฉีอึ้งไปนาน ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย คว้าไหล่นางไว้ มองไปยังกรอบใบหูที่ขาวราวหยกสลักของนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “เป็นอะไรไป?”
ในใจพลันเย็นเยียบ