ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 6
สองสามวันต่อมา หลิงหลงกับบรรดาศิษย์พี่สองสามคมดูมีลับลมคมนัย ไม่รู้หารืออันใด ยังแอบไปคุยจุกจิกกับบรรดาศิษย์รุ่นอักษรเหวินที่ซุกซนราวผีน้อยอยู่เรื่อยๆ
ตอนนี้ไม่มีใครมาสอนสั่งต่อหน้าเสวียนจีว่านางขี้เกียจหรือนางไร้ชีวิตชีวาอันใดอีก นางพอใจที่จะปิดประตูนอนอย่างเดียวทั้งวัน
ผ่านไปอีกสองสามวันก็จะเป็นคืนวันสิ้นปี คืนวานนี้หิมะตกหนัก ทำเอาทางที่เพิ่งกวาดหิมะทิ้งไปถูกกลบมิดอีกครั้ง แต่เช้าก็มีคนมาลากเสวียนจีไปกวาดหิมะ นางเอาแต่นอนอยู่บนเตียง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“เหตุใดยังเกียจคร้านเช่นนี้” คนที่มาเรียกนางอดยิ้มไม่ได้ “เสวียนจี ตื่นได้แล้ว”
นางตอบกลับเสียงอู้อี้ แต่ไม่ตื่น
ผ่านไปไม่นานเท่าไร รู้สึกว่ามีคนตีนาง นางส่งเสียงถอนหายใจอย่างไม่พึงใจนัก พึมพำกล่าวว่า “พวกเจ้าไปกวาดก็พอแล้ว…กวาดหิมะ…ต้องการคนมากขนาดนั้น…”
คนผู้นั้นกล่าวอ่อนโยนว่า “คำกล่าวที่ว่าได้ยินเสียงไก่ขันให้รีบลุก ผู้บำเพ็ญเพียรแอบเกียจคร้านได้อย่างไร เร็ว ตื่นได้แล้ว”
เสวียนจียังคงเกียจคร้านไม่คิดขยับ แต่ในใจรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง เสียงคนพูดอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เหมือนว่าเป็นหลิงหลง นางดึงผ้าห่มออก เห็นศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหังยืนอยู่ข้างเตียง สีหน้ามีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม กำลังอมยิ้มมองนาง
แม้นางอยากจะขี้เกียจต่อ แต่ตอนนี้ย่อมอดหน้าแดงไม่ได้ รีบลุกขึ้นนั่ง กล่าวเบาๆ ว่า “เหตุใดเป็นศิษย์พี่ใหญ่มาตามข้า”
ตู้หมิ่นหังเห็นนางลุกขึ้น ก็ออกไปรอที่ห้องส่วนนอก หันหลังกล่าวกับนาง ยิ้มกล่าวว่า “หลายวันนี้หลิงหลงยุ่งจนไม่เห็นตัว อาจารย์หญิงหานางไม่เจอ ดังนั้นจึงให้ข้ามาตามเจ้า”
เสวียนจีรู้สึกเกรงใจที่จะให้เขารออยู่ห้องส่วนนอกนาน รีบลุกขึ้นล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามเขาออกไป กล่าวว่า “หลิงหลงยุ่งกับงานอันใด” กล่าวจบยังอดอ้าปากหาวไม่ได้
ตู้หมิ่นหังเห็นแก้มนางมีผมติดอยู่ปอยหนึ่ง อารมณ์หนึ่งพลันบังเกิดในใจ ยกมือไปจัดผมให้นาง กล่าวว่า “น่าจะอะไรสักอย่างที่กะไว้เล่นตอนฉลองปีใหม่ นางไม่เหมือนเจ้า นางชอบความครึกครื้นพวกนี้”
เสวียนจีไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ผลักประตูเดินออกไป
ตู้หมิ่นหังหรี่ตานิ่งเงียบมองร่างบางอรชรของนาง พลันแยกไม่ออกระหว่างนางกับเด็กเมื่อสี่ปีก่อนคนนั้นผู้ใดเป็นตัวจริงกัน
เสวียนจีในใจเขาควรค่าแก่การรักใคร่เอ็นดู เด็กหญิงที่บางครั้งทำให้คนโมโหไร้หนทางรับมือ ตอนนี้เหมือนไม่ใช่คนเกียจคร้านเหมือนเก่า แต่เป็นสาวน้อยที่นุ่มนิ่มราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง
เวลาชั่วพริบตา ความทรงจำมากมายก็ผุดขึ้นมา ยังนำความทรงจำใหม่มากมายมาด้วย ยามมองนางในชั่วขณะนั้น นางสวมชุดฤดูใบไม้ผลิสีเขียวมรกต หิมะทั่วท้องฟ้ากลายเป็นความอบอุ่นในลมวสันต์ นางเป็นดังดอกเสาเย่าที่งดงามท่ามกลางลมใบไม้ผลิที่งดงามไร้พันธนาการ
“เสวียนจี”
ริมฝีปากเขาครางชื่อออกมาเบาๆ ปลายลิ้นมีความรู้สึกชาราวโดนฤทธิ์สุรา ทำให้เขาอดสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้
นางกลับไม่ได้ยิน
นางเดินไปไกลแล้ว
****
ในที่สุดคืนวันสิ้นปีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เช้าตรู่วันนี้ ศิษย์เจ็ดยอดเขาก็มารวมตัวกันที่ยอดเขาเส้าหยางเพื่อต้อนรับปีใหม่และเตรียมงานพิธีการ
แท่นหยกมรกตบนยอดเขาได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยก่อนแล้ว ไม่มีหิมะหลงเหลือแม้แต่น้อย สี่มุมของแท่นหยกมรกตตั้งกลองหนังขุยไว้ใบหนึ่ง ข้างๆ ยังมีไม้ตีกลองกระดูกมังกรสองอัน มีคนยืนอยู่ด้านหน้า พิธีเริ่มต้นก็จะเริ่มตีกลอง
พิธีการปีใหม่ทุกปีล้วนไม่เคยขาดหลิงหลง นางชอบออกหน้าที่สุด นางนำบรรดากลุ่มศิษย์หญิงร่วมกันจัดการแสดง ที่เอวแขวนกลองเอวเล็กสีแดงสดใบหนึ่ง เตรียมพร้อมจะร้องระบำ
แต่เช้ามาจนยามเที่ยง คนจากเจ็ดยอดเขาก็นับว่ามากันพร้อมหน้าแล้ว แต่ละคนยืนอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดของตนเอง คนมากมายแน่นขนัดไปหมด คุยเล่นกันสัพเพเหระ ครึกครื้นยิ่ง
ตำแหน่งที่เสวียนจีกับพวกศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นสองสามคนยืนอยู่ค่อนไปทางตะวันตก จะเห็นมุมตะวันตกที่มีกลองหนังขุยใบใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่พอดี ปีนี้ผลัดเป็นจงหมิ่นเหยียนมาตีกลอง วันนี้เขาสวมชุดตีกลองชุดสั้นที่มีสีแดงสลับขาว ไม่กลัวเกรงความหนาว เผยสองแขนและสองมือกำไม้ตีกลองไว้ เห็นกล้ามเนื้อเด่นชัด องอาจผ่าเผยยิ่ง
จงหมิ่นเหยียนเดิมก็หน้าตาหล่อเหลา หลายปีนี้ร่างกายยังเติบโตสูงขึ้น ก็ยิ่งค่อยๆ ราวกับหยกงามที่ขึ้นรูปงดงาม ยามนี้ยืนอยู่ข้างกลองใหญ่ เป็นชายรูปงามจริง ศิษย์หญิงรอบๆ ไม่มีผู้ใดไม่มองเขา พากันแอบซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา
เสวียนจีเองก็กำลังมองเขา ตั้งแต่กลับถึงเส้าหยางถึงตอนนี้ เหมือนนางไม่มีโอกาสสังเกตเขาใกล้ๆ ไม่รู้เป็นเพราะเขาจงใจหลบ หรือนางไม่ใส่ใจเลยพลาดโอกาสไป ถึงกับแม้แต่วาจาเป็นเรื่องเป็นราวสักคำก็ไม่ได้เอ่ย
ศิษย์อายุน้อยคุยกันถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาและหลิงหลงมากมาย ล้วนกล่าวว่ารอให้หลิงหลงอายุครบสิบแปด เขาทั้งสองคนก็จะแต่งงานกัน กิ่งทองใบหยกนี้ล้วนเป็นเรื่องกล่าวขานงดงามทั่วเขาแรกอรุณ กิ่งทองใบหยกจิตใจตรงกัน ยังมีเรื่องราวแสนหวานอีกไม่น้อย!
ข่าวพวกนี้สำหรับเสวียนจีแล้ว พอได้ฟังก็เพียงแค่ยิ้มบาง จริงๆ แล้วนางรู้ดีกว่าทุกคนนานแล้ว คนที่ในใจจงหมิ่นเหยียนชอบคือผู้ใด นางตัดอารมณ์สับสนของตนเองทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ตอนนั้นอายุยังน้อย ตอนนั้นพวกเขาผู้ใดก็ยังไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึก ในสายตานางมีเพียงเขาผู้เดียว ข้างกายเขากลับมีคนมากมาย เขาจำคนมากมายได้ คอยเอาใจใส่คนมากมาย เว้นแต่เพียงนาง ตอนนี้นางตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง เขากลับรักมั่นใจเดียว…คำตอบกำหนดมาตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน หรืออาจก่อนหน้านั้นเสียอีก
ความคิดต่างๆ ของดรุณีน้อยที่ไม่เข้าใจกระจ่างในตอนนั้น ที่เหมือนเจ็บปวดใจอยู่บ้าง ตอนนี้ดูแล้วเหลือเพียงรอยยิ้มที่ยากจะอธิบาย
จริงๆ แล้ว เช่นนี้ก็ดี ดีอย่างยิ่ง
แท่นหยกมรกตไกลออกไป ฉู่เหล่ยโบกมือ ทุกคนเงียบลงทันที ตามมาด้วยเสียงกลองหนังขุยดังพร้อมกันจากสี่ทิศ ราวกับคลื่นโหมกระหน่ำน่าตกใจ ม้วนหอบพัดมากระแทกความเย็นชาที่ห่างกันไปทั้งหมดพังทลายสิ้น ในใจทุกคนพร้อมใจกันเต้นไปตามจังหวะที่น่าเร้าใจ
ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง…
ราวกับกระแสคลื่นกระทบแขนขา เลือดในกายไหลเวียนราวโบยบิน ในสมองมีแต่เสียงก้องดัง ใจก็ค่อยๆ เต้นแรงขึ้น ร่างกายใกล้จะไม่อาจควบคุม ใกล้จะหลอมรวมเข้ากับเสียงกลองดังถี่ กลายเป็นเสียงแห่งความครื้นเครงสุขสันต์
จงหมิ่นเหยียนเหงื่อออกท่วมตัว ไม้ตีกลองในมือน้ำหนักมากหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ใช้แรงตีออกไป ตีออกไปอีก แลกมาซึ่งเสียงแห่งความเบิกบานโหมกระหน่ำ
เขาใช้แรงตีกลองชุดท้าย ใช้แรงทั้งหมดที่มี ก่อนจะหันกลับไปมองทันที เห็นกลางเวทีมีกลุ่มดรุณีน้อยในชุดแดงพร้อมใจกันส่งเสียงตีกลองน้อยที่เอวพร้อมกัน ไม่เหมือนกับเสียงของกลองหนังขุยใบใหญ่ที่ตีแล้วนุ่มทุ้ม พวกนางกลับเป็นเสียงกระจ่างใสมีชีวิตชีวา ราวกับน้ำกระทบก้อนหินริมหน้าผา
คนมากมายเช่นนั้น ชุดแดงมากมายเช่นนั้น ในสายตาเขามีเพียงคนเดียว
หลิงหลงสวมชุดแดงโดดเด่นสะดุดตาที่สุด รอยยิ้มราวดอกไม้บานสะพรั่ง เต้นระบำตัวอ่อน ไม้ตีกลองในมือผูกผ้าแพรแดงปลิวสะบัด ราวกับปีกน้อยคู่หนึ่ง
ตึง ตะ ลึง ตึง ตึง…
หิมะใหม่ค่อยๆ ตกลงมาอีกครั้ง ปลิวไปทั่วบริเวณ ตกลงบนชุดแดง เป็นที่สะดุดตายิ่ง
แพรแดงในมือนางพลันวาดวงกลม เอวโค้งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เสียงกลองคลอเสียงเพลงเริงระบำกันอยู่ตรงนั้นในเวลาเดียวกัน
คนบริเวณโดยรอบส่งเสียงชื่นชมดังกระหึ่มก้องไปทั่ว
พิธีการต้อนรับปีใหม่ก็เสร็จสิ้นลง
เสวียนจีจำไม่ได้ว่าวันนั้นตนเองดื่มสุราดอกหลีไปมากเท่าไร สรุปได้อย่างเดียวว่าต่อมาทุกคนเห็นเป็นดังน้ำ กรอกลงไปทีละชามๆ ไม่หยุด
ศิษย์น้องรุ่นอักษรเหวินเป็นศิษย์น้องเล็กที่ซุกซนมีชีวิตชีวาที่สุด ทั้งระบำ ทั้งกายกรรมล้วนมีครบ
หลิงหลงลากศิษย์พี่สองสามคนมาร่วมกันเตรียมรายการลับอยู่ที่มุมหนึ่ง มีเสียงหัวเราะดังลอยมาตลอด
กระบวนท่ากระบี่ท่านอาหงทำให้คนมองแล้วดื่มด่ำไม่หลุดจากภวังค์
ทุกอย่างงดงามยิ่ง งดงามราวกับความฝัน
เสวียนจีนั่งอยู่ในมุมหนึ่งเงียบๆ รินสุราให้ตนเองไปเงียบๆ แล้วก็ดื่มเองอย่างเงียบๆ
ไม่รู้สึกตัวว่ามีคนลอบมองนางเงียบๆ มาวันหนึ่ง