ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 7
ปีใหม่ผ่านพ้น ศิษย์อายุน้อยที่ต้องลงเขาไปฝึกฝนค่อยๆ ทยอยลงจากเขาแรกอรุณไป
พวกเสวียนจีและหลิงหลงจากไปในวันที่สาม จะไปที่ใดยังไม่ได้กำหนดกันชัดเจน แต่ในหนึ่งปีไม่อนุญาตให้กลับสำนักเส้าหยาง เป็นกฎที่กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว
ทั้งสามลงเขาไปพักโรงเตี๊ยมก่อนหนึ่งคืน หารือเส้นทางที่จากนี้จะไปกัน
“ไม่สู้พวกเราไปเกาะฝูอวี้ก่อนแล้วกัน?” หลิงหลงตื่นเต้นมาก ไม่ได้รู้สึกว่าลงเขาไปฝึกฝนแม้แต่น้อย คิดเพียงว่าออกไปท่องเที่ยว
จงหมิ่นเหยียนเพิ่งฝึกกระบวนวิชากระบี่เหยาหวาเสร็จ หน้าผากเหงื่อหยด ชะโงกหน้าไปมองแผนที่ที่นางวาด ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าไปดีกว่า พวกเราไม่ได้ออกมาเที่ยวเล่น ไม่สู้กำหนดทิศทางจะไปก่อน สอบถามว่าที่ไหนมีมารปีศาจออกอาละวาดถึงจะถูกต้อง”
หลิงหลงเล่นกับเปียตรงหน้าอกตนไปมา ยู่ปากกล่าวว่า “แต่ข้าอยากไปเยี่ยมท่านอาตงฟางนี่! จะว่าไป ครั้งก่อนเสวียนจียังไม่ได้ดูภรรยาท่านอาตงฟางเลย เขายังนัดพวกเราว่าถ้าวันหน้ามีเวลาให้ไปเที่ยวเลย! เสวียนจี เจ้าก็อยากไป ใช่ไหม”
นางรีบหาพวก
เสวียนจีมองแผนที่แล้วคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เกาะฝูอวี้อยู่ตะวันออก หากพวกเราเหินกระบี่ไป ใช้เวลาแค่ครึ่งวัน แต่ข้ามีความเห็นว่า พวกเราเดินทางครั้งนี้ ไม่เหินกระบี่ เดินเท้าไปดีไหม เส้นทางนี้ก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน ไม่แน่ว่าอาจได้ข่าวมารปีศาจออกอาละอาดทำร้ายผู้คนได้”
หลิงหลงตกใจ กล่าวอย่างร้อนใจว่า “ได้อย่างไร! ใช้เท้าเดิน…เดินถึงเมื่อไรกัน! ตามทางเกิดไม่มีโรงเตี๊ยม ไม่มีที่อาบน้ำ…สกปรกตายเลย ข้าไม่เอาด้วย! เจ้าหก~~~เจ้าพูดสิ!”
นางวิ่งไปดึงจงหมิ่นเหยียนเป็นพวก
ผู้ใดจะรู้ว่าจงหมิ่นเหยียนถึงกับไม่ช่วยนาง นิ่งเงียบเป็นนาน พยักหน้ากล่าวว่า “ความคิดเสวียนจีไม่เลว ทำตามนี้แล้วกัน ขอเพียงไปเจอต้องข้ามทะเล ถึงเวลาค่อยเหินกระบี่ขึ้นไปก็ได้ เส้นทางบกพวกเราก็ค่อยๆ เดินไปจึงจะเรียกว่าฝึกฝน หลิงหลง”
“…” หลิงหลงเห็นไม่มีคนช่วยนาง ได้แต่เงียบงัน สุดท้ายก็งอนไม่ยอมกินอาหารเย็น กลับเข้าห้องตนเองไป
“ศิษย์พี่หก อารมณ์พี่สาวข้าโกรธง่ายหายไว ให้หงุดหงิดคนเดียวไม่ดีนัก ข้าไปปลอบนางหน่อยแล้วกัน”
เสวียนจีรินชาให้ตนเองแก้วหนึ่ง มองไปบนแผนที่ เติมชื่อสถานที่ที่หลิงหลงไม่ได้เขียนลงไปพลางกล่าวไปด้วย
ผู้ใดจะรู้ว่ารออยู่เป็นนาน ไม่มีคนตอบ นางแปลกใจเงยหน้ามอง พลันเห็นจงหมิ่นเหยียนมองนางพอดี นางสะดุ้ง “มีอันใด”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เปล่า ข้าแค่รู้สึก…เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ เสวียนจี”
เสวียนจีได้สติลูบใบหน้า กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ข้า…โตแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลง”
นางคิดว่าจงหมิ่นเหยียนกล่าวถึงหน้าตาที่เปลี่ยนไปของตน
จงหมิ่นเหยียนส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่องนี้ อารมณ์ที่ทำให้คนรู้สึกปวดหัวแบบเมื่อก่อนนั่นเหมือนเก็บงำไปไม่น้อย ราวกับมีสิ่งที่ทำเป็นมากขึ้น ดูท่าอาจารย์อาสอนอะไรเจ้าไว้มากมาย”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด ก้มหน้ามองแผนที่ที่กำลังวาด พลันรู้สึกว่าเขากล่าวได้ถูกต้อง เหมือนไม่ทันรู้ตัว ตนเองราวกับเรียนรู้มามากมายจริง เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าเตรียมแผนที่มามีประโยชน์อันใด ตอนนี้รู้สึกว่าได้นำออกมาใช้
จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ กล่าวเนิบช้าว่า “ข้ายังจำได้ว่าครั้งก่อนพวกเราไปเขาลู่ไถซานจับปีศาจด้วยกัน ตอนนั้นเจ้าท่าทางอนาถยิ่ง แม้แต่ซือเฟิ่งก็ยังปวดหัวมาก…”
กล่าวถึงซือเฟิ่ง ทั้งสองคนก็พากันเงียบงัน
เป็นนาน เสวียนจีจึงได้ถามขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่หก…หลายปีนี้พวกท่านเคยติดต่อกับซือเฟิ่งไหม”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป พลันกล่าวว่า “ไม่มี…เจ้าล่ะ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นซือเฟิ่งกล่าวย้ำกับหลิงหลงหลายครั้ง หลังจากเจ้าหายแล้วให้เขียนจดหมายถึงเขา เจ้าได้เขียนไหม”
สีหน้าเสวียนจีสลดลง เป็นนานจึงได้กล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “ข้า…ลืม”
“เจ้าลืมได้อย่างไร?!” จงหมิ่นเหยียนกระโดดขึ้น ในที่สุดก็ทนทำตัวเรียบร้อยไม่ได้แล้ว นิสัยเดิมแท้เผยออกมาแล้ว “เป็นดังสุกรจริง!”
“ข้าไปยอดเขาเสี่ยวหยางจึงนึกได้ว่าลืมถามหลิงหลงว่าเขียนจดหมายให้ซือเฟิ่งได้อย่างไร…” เสวียนจีเท้าคาง ไม่รู้ทำอย่างไรดี “ต่อมายุ่งกับการเรียนรู้นี่นั่นจากอาจารย์ ก็เลยลืมไป”
“เรื่องใดก็ไม่ควรคาดหวังเอากับเจ้าจริงๆ! ช่างเหอะ ช่างเหอะ ข้าขึ้นละ! จะได้ไม่ต้องถูกเจ้าทำโมโหตาย!”
จงหมิ่นเหยียนหันหลังจากไปทันที
“รอด้วยสิ…” เสวียนจีเรียกเขาไว้ “ไม่อย่างนั้น…ไปถามหลิงหลงตอนนี้ก็ได้นี่!”
จงหมิ่นเหยียนหันกลับมายิ้มกล่าวเสียดสีขึ้น “สี่ปีแล้ว นางจะไปจำได้อย่างไร พวกเจ้าพี่น้อง…” เขาชี้ไปที่ศีรษะ “ล้วนนิสัยไม่ต่างกันเท่าไร”
แล้วทำไมเขาไม่ติดต่อซือเฟิ่งเองเล่า เสวียนจีเองก็งุนงงมาก นี่อาจเป็นสิ่งที่อาจารย์ว่าระบายอารมณ์กระมัง จงหมิ่นเหยียนมักจะเป็นเช่นนี้ อย่างไรความผิดทั้งหมด ท่านจงเช่นเขาไม่เคยผิด
นางก้มหน้าวาดแผนที่เพิ่มจนเสร็จ รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างจึงเดินขึ้นชั้นบนไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นตอนเจอหลิงหลง ดังคาด นางทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น คิดว่าเมื่อวานจงหมิ่นเหยียนคงปลอบใจได้ดีมาก เช้ามาคุณหนูใหญ่เช่นนางจึงได้ยิ้มเบิกบานราวบุปผาดอกหนึ่ง ส่งเสียงตะโกนเรียกพวกเขามากินอาหารเช้าดังลั่น ตนเองไปรออยู่ด้านล่างแล้ว
เห็นเสวียนจีลงมา นางก็กวักมือเรียกทันที “เสวียนจี! ตรงนี้ ตรงนี้! พวกเรากินอาหารเช้าแล้วก็จะออกเดินทางเลยใช่ไหม”
เสวียนจีควักแผนที่ออกมาจากอกเสื้อ มองแล้วกล่าวว่า “หากพวกเราไปทางตะวันออก ก็ต้องข้ามแม่น้ำผอซูเหอก่อน ข้ามแม่น้ำไปก็น่าจะมีหมู่บ้าน ไปดูสถานการณ์ที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้! ล้วนฟังเจ้า” หลิงหลงยิ้มหวานหยด ต่างกับเมื่อวานอย่างไร้วาจาจะกล่าว
จงหมิ่นเหยียนมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ นางเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง เขาแสร้งทำไม่รู้ ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำเต้าหู้ ผลปรากฎดื่มจนติดคอ ไอแทบตาย
“ดูเจ้าสิ กินข้าวก็ไม่กินดีๆ” หลิงหลงรีบช่วยตบหลังให้เขา ราวกับภรรยาคนดีมารดาแสนดี
จงหมิ่นเหยียนไอไม่หยุด พลันเห็นชายสวมชุดฟางสามคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ฝุ่นตลบพื้นไปหมด หนึ่งในนั้นเดินไปหาเถ้าแก่ร้าน ถามว่า “ขอถามหน่อยว่าที่นี่ไปเขาแรกอรุณ ยังอีกไกลเท่าไร”
ฟังสำเนียงทั้งสามแล้ว ราวกับเป็นคนนอกพื้นที่ อดหันไปมองไม่ได้
เถ้าแก่ยิ้มกล่าวว่า “หากนายท่านต้องการไปเขาแรกอรุณ! ไม่ไกล ไม่ไกล ไปตามเส้นทางด้านหลังหมู่บ้านตรงขึ้นไป เดินไปอีกราวสองสามวันก็จะเห็นประตูใหญ่ของสำนักเส้าหยาง ขอถามนายท่าน หมู่บ้านท่านมีมารปีศาจอันใดก่อเรื่องหรือ จึงได้มาเชิญเซียนเส้าหยางไปจับปีศาจ”
คนผู้นั้นถอนหายใจ ส่ายหน้าไม่หยุด “ใช่ พวกข้าเป็นกลุ่มผู้นำในหมู่บ้านวั่งเซียนตะวันออก หลายวันก่อนหน้านี้หมู่บ้านมีผีอาละอาด พอเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ของผีร้าย ทำเอาคนไม่กล้าออกจากบ้าน อาละวาดเช่นนี้มาสามเดือนแล้ว เด็ก สตรีและคนชราที่อ่อนแอในหมู่บ้านล้มป่วยก็ป่วยไป ตายก็ตายไป ปล่อยเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ต่อมาได้ยินนักพรตพเนจรผู้หนึ่งว่า สำนักเส้าหยางแห่งเขาแรกอรุณเป็นสถานบำเพ็ญเซียนมีชื่อเสียงทั่วหล้า ดังนั้นข้าจึงว่าจะเชิญท่านเซียนไปขจัดภูตผี”
เถ้าแก่ผู้นั้นได้ยินก็นิ่งเงียบกล่าวว่า “อ้อ แต่ไรมาได้ยินเพียงว่าผีและมนุษย์ไม่ข้องเกี่ยวกัน ผีสางเทวดาพวกนี้ไม่เคยได้ยิน หากเป็นมารปีศาจอาละอาด พวกเซียนบนเขาถนัดอยู่ หากเป็นเรื่องปราบผี เกรงแต่ว่า…”
วาจายังไม่ทันจบ ด้านหลังก็พลันได้ยินมีเสียงใสกระจ่าง กล่าวว่า “ท่านอาทุกท่าน พวกข้าอยากช่วยหมู่บ้านท่านปราบผี! เชิญมาเล่ารายละเอียดทางนี้หน่อย”
ทุกคนรีบมองตามไป เห็นในโถงมีชายหญิงอายุน้อยสามคนนั่งอยู่ หน้าตางดงามหล่อเหลา ท่าทางไม่ธรรมดา เป็นพวกเสวียนจี
ที่แท้พอเสวียนจีได้ยินว่าเป็นหมู่บ้านวั่งเซียน ก็หาดูในแผนที่พบว่าอยู่ทิศตะวันออก เส้นทางเดียวกับที่พวกนางจะไปหลิงหลงยังชอบเรื่องสนุกที่สุด พอได้ยินว่าจะปราบผี ก็รีบเรียกพวกเขาเอาไว้
ทุกคนมองมาเห็นกระบี่คู่กายที่เอวพวกเขาคิดว่าคงเป็นพวกบำเพ็ญเพียร ก็รีบเข้ามาเล่าเรื่องราว แจ้งชื่อเสียงเรียงนามกันและกัน ที่แท้เขาทั้งสามเป็นพี่น้องกัน ล้วนแซ่จ้าว
จงหมิ่นเหยียนประสานมือคำนับกล่าวว่า “พวกข้าเป็นศิษย์บำเพ็ญเพียรสำนักเส้าหยางลงเขาฝึกฝนตน ขอท่านอาจ้าวเล่าเรื่องปีศาจอาละวาดมาอย่างละเอียดด้วย หากช่วยเหลือได้ พวกเราย่อมลงแรงเต็มกำลัง”
จ้าวเหล่าต้าผู้นั้นถอนใจกล่าวว่า “น้องชายมีน้ำใจแล้ว เมื่อครู่เถ้าแก่ผู้นั้นบอกแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนเกรงว่าไม่ถนัดปราบผีนัก…”
หลิงหลงยิ้มขัดพวกเขาขึ้นว่า “เอ๋ วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้! มีคำกล่าวว่าต้องเห็นด้วยตาจึงเชื่อถือได้ หากไม่ไปดูสักหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่ ท่านอาลองเล่าเรื่องมาให้ฟังสักหน่อยเถอะ