ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 8
ที่แท้ด้านหลังหมู่บ้านวั่งเซียนเป็นเขาลูกหนึ่ง บนเขามีต้นหญ้าชื่อว่าจู้อวี๋ปกคลุมไปทั่ว หญ้าชนิดนี้มีรสหอมหวาน ชาวบ้านมักนำมาปรุงอาหาร กินมื้อหนึ่งก็ไม่ต้องกินข้าวสามวัน ดังนั้นน้อยมากที่ชาวบ้านวั่งเซียนจะปลูกพืชไว้กิน ล้วนอาศัยหญ้าจู้อวี๋ที่ขึ้นทั่วภูเขานี้
ผู้ใดจะรู้ว่าสามเดือนก่อน มีคนขึ้นเขาไปเก็บหญ้าจู้อวี๋ พบว่าหญ้าจู้อวี๋หลังเขาทั้งผืนทางใต้ถูกถอนหมดแล้ว บ้างก็เหมือนถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่รากก็ยังถอนไปหมด ไม่มีคนเอาไปกิน ปล่อยให้มันแห้งตายอยู่อย่างนั้น
ต่อมาสถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หญ้าจู้อวี๋ทั้งหลังเขาแห้งตายหมด ลามไปถึงด้านหน้าเขาเห็นแค่พื้นที่เล็กๆ ที่ยังพอมีหญ้าจู้อวี๋เหลืออยู่บ้าง หญ้าเหล่านั้นสำหรับคนในหมู่บ้านแล้วเป็นแหล่งอาหารแหล่งเดียวที่มี หากแห้งตายหมดก็ไม่มีจะกินกันแล้ว
อาหารการกินยังนับเป็นเรื่องเล็ก ที่ยิ่งน่าประหลาดก็คือตั้งแต่หญ้าจู้อวี๋แห้งตายไป บนเขาก็เริ่มมีผีอาละวาด ดึกดื่นเที่ยงคืนมักได้ยินเสียงผีร่ำไห้ เสียงร้องโหยหวนดังตลอดทั้งคืน ถึงเช้าจึงได้หยุด
ผู้ชายก็แล้วไป แต่บรรดาเด็กน้อยและสตรีอ่อนแอขี้กลัว มักตกใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน นานวันเข้า ก็ล้มป่วย ถึงตอนนี้ คนทั้งหมู่บ้านก็เริ่มล้มป่วยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือบรรดาหนุ่มสาวที่ใจกล้ารวมตัวกันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนขึ้นไปหลังเขากลางดึกเพื่อดูว่าแท้จริงเป็นเรื่องอันใด ไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก ยิ่งเพิ่มสีสันความน่ากลัวให้กับเรื่องผีอาละวาดเข้าไปอีก
พวกเสวียนจีทั้งสามได้ฟังไหนเลยจะหวาดกลัว แต่ละคนล้วนอายุน้อยกำลังฮึกเหิมอยากลอง จึงรับปากทันทีว่าจะไปปราบผีที่หมู่บ้านวั่งเซียน เร่งให้พวกจ้าวเหล่าต้ารีบออกเดินทาง แม้แต่น้ำชาหลังอาหารก็ไม่ทันได้ดื่ม ทั้งหมดเร่งรุดไปทางตะวันออกเพื่อข้ามแม่น้ำมุ่งไปยังหมู่บ้านวั่งเซียนในทันที
ตอนข้ามแม่น้ำ ทั้งสามเหมาเรือพายหาปลามาลำหนึ่ง พายล่องข้ามแม่น้ำไป
เรือพายหาปลาแคบและเล็ก จ้าวเหล่าต้าทั้งสามก็เบียดมาด้วย หลิงหลงไม่พอใจนัก นางรังเกียจพวกเขาที่ร่างกายสกปรกและปากเหม็น ดังนั้นจึงลากจงหมิ่นเหยียนไปท้ายเรือแอบคุยกันสองคน
จ้าวเหล่าต้าเองรู้สึกเกรงใจ ยิ้มกล่าวกับเสวียนจีว่า “ควรเช่าเรือลำใหญ่หน่อย จะได้ไม่ต้องให้พวกแม่นางต้องลำบากมาพลอยเบียดไปบนเรือลำเล็กกับพวกเรา”
เสวียนจียิ้มกล่าวน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ท่านอาจ้าวอย่าได้คิดมาก ออกจากบ้านมาไหนเลยจะมีความสะดวกนัก ไม่สู้เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่า ในหมู่บ้านแท้จริงมีคนเห็นไหมว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร”
จ้าวเหล่าต้าคิดแล้วก็ลังเลกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใหญ่เคยเห็น แต่หลานคนเล็กข้า อายุแค่สี่ขวบ สองสามวันก่อนแผดเสียงร้องดังลั่นว่าเห็นผีที่ร่ำไห้ได้ บอกว่ามีสามหัว ยังมีปีก คือว่า…อย่างไรเขาก็เป็นเด็กน้อย พวกข้าก็ไม่ได้เอามาคิดเป็นจริงเป็นจังนัก”
เสวียนจีนิ่งเงียบเป็นนาน ในตอนนั้นเองหลิงหลงก็ลากจงหมิ่นเหยียนกลับมา ได้ยินจ้าวเหล่าต้ากล่าวเช่นนี้ สีหน้านางก็ซีดเผือด เขยิบเข้าไปใกล้แอบดึงเสื้อน้องสาว กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “เสวียนจี…หรือว่ามีผีสามหัวที่มีปีกจริงเช่นนั้น…น่ากลัวมาก!”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินวาจากระซิบนาง จึงยิ้มกล่าวว่า “กลัวหรือ เช่นนั้นเมื่อครู่ผู้ใดยืดอกเป็นวีรชนกล้าหาญรับงานนี้ล่ะ หรือว่าเจ้าไปถึงหมู่บ้านก็หาที่หลบซ่อนก่อน ข้ากับเสวียนจีไปปราบผีก็แล้วกัน”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “เหลวไหล! ข้าไม่ได้กลัว! ข้า…ข้าไปด้วย!”
จ้าวเหล่าต้ายิ้มตาม กล่าวว่า “คุณหนูเป็นผู้เพ็ญเซียนย่อมไม่กลัว หวังว่าทุกท่านจะปราบผีสำเร็จ คืนความสงบสุขให้แก่วั่งเซียนเราด้วย”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านว่าผีนั่นมีสามหัว ยังมีปีก คิดว่าไม่ใช่ผีอันใด บางทีอาจเป็นนกปีศาจ หลายปีก่อนพวกข้าเคยไปเขาลู่ไถซาน ได้พบกับอินทรีกู่เตียวที่มีเสียงร้องราวผีร้องไห้ หากว่าเป็นปีศาจ เช่นนั้นทันทีที่ไปถึงก็ย่อมจับได้”
หลิงหลงหยิบเอาสมุดรายชื่อปีศาจที่พกติดตัวมาออกมาพลิกดูทันที พลางกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่ามีบันทึกถึงนกปีศาจสามหัว คิดไม่ออกว่าชื่ออะไร”
เสวียนจีเขยิบเข้าใกล้นางดูด้วยกัน พลันเห็นอันใดรีบชี้ไป “ใช่ตัวนี้หรือไม่”
ทั้งสามมองไปยังบนภาพที่นางชี้ไป เป็นนกฉวีหรู ลำตัวเป็นนกและมีสามหัว
หลิงหลงรีบส่งภาพให้จ้าวเหล่าต้าดู ถามว่า “ท่านดูนี่ เหมือนนี่ไหม”
จ้าวเหล่าต้าหรี่ตามองเป็นนาน สุดท้ายส่ายหน้าถอนหายใจ “ละอายใจยิ่งนัก พวกข้าไม่ได้เห็นผีตัวก่อเรื่อง…มีเพียงแค่หลานคนเล็กข้าที่เห็นมา”
หลิงหลงเป็นคนใจร้อน รีบมองท้องฟ้า พลางถาม “เช่นนั้นจะไปหมู่บ้านวั่งเซียนตอนไหน เรือข้ามแม่น้ำมาตลอดเช้านี่แล้ว”
จ้าวเหล่าต้ายิ้มกล่าวว่า “ยังอีกนาน ตอนบ่ายข้ามแม่น้ำไป ยังต้องเดินทางอีกสิบกว่าลี้ หากเดินเท้าเร็วหน่อย ก็คงจะถึงพรุ่งนี้เช้า!”
หลิงหลงพอได้ยินว่าคงจะถึงพรุ่งนี้ก็ร้อนใจเดินวนไปวนมาบนหัวเรือ สุดท้ายกระทืบเท้า ร้องขึ้นว่า “เจ้าหก! เสวียนจี! พวกเราเหินไปกันเถอะ! เดินทางชักช้าเช่นนี้จะต้องรอไปถึงเมื่อไรกัน!”
จงหมิ่นเหยียนกับเสวียนจีสบตากัน พวกเขาล้วนเข้าใจหลิงหลง คุณหนูใหญ่เช่นนางทนมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว
ตอนนั้นเองจงหมิ่นเหยียนก็ลุกขึ้นประสานมือให้จ้าวเหล่าต้ากล่าวขอโทษว่า “ขออภัยท่านอา พวกข้าเดินทางไปก่อน ไปรอทุกท่านที่หมู่บ้านวั่งเซียน”
จ้าวเหล่าต้ากล่าวอย่างแปลกใจว่า “บนเรือ ยังอยู่บนน้ำ…พี่ชาย! นี่…จะไปก่อนได้…?”
หลิงหลงยิ้มกล่าวว่า “พวกข้าย่อมมีวิธี ขอตัวก่อน!”
กล่าวจบ ทั้งสามก็หายตัวไปจากหัวเรือพร้อมกัน ทุกคนรีบตามไปหัวเรือดู เห็นเพียงแสงสีขาวสามสายบินผ่านท้องฟ้าไป พริบตาก็หายไปไร้เงา พวกเขาเป็นชาวหมู่บ้านป่าเขาไหนเลยเคยเห็นผู้บำเพ็ญเซียนเหินกระบี่ จึงคิดว่าเทพยาดาสำแดงฤทธิ์เดช รีบคุกเข่าลงบนหัวเรือโขกศีรษะไม่หยุด
เหินกระบี่ไปย่อมไม่เห็นว่ามีคนคุกเข่าคำนับพวกเขา พริบตาทั้งสามก็มาถึงยังหมู่บ้านวั่งเซียน
พอหลิงหลงถึงพื้น ก็รีบหาคนมาถามสถานการณ์ ผู้ใดจะรู้ว่าหมู่บ้านวั่งเซียนตั้งกว้างใหญ่ แต่กลางวันแสกๆ บนถนนกลับไม่มีคนสักคนเดียว ว่างเปล่าโล่งไปหมด ราวกับเมืองที่ร้างไปแล้ว
“ไม่ใช่กระมัง…กลางวันไม่มีผีอาละอาด ทำไมไม่มีคน…”
หลิงหลงเดินไปมาบนถนนครู่หนึ่ง พลันเห็นเบื้องหน้ามีร้านสุราแขวนธงกลางเก่ากลางใหม่ไว้ผืนหนึ่ง เปิดประตูไว้ครึ่งหนึ่ง ทั้งสามรีบวิ่งเข้าไป
หลิงหลงทนไม่ไหว พอเข้าไปก็ตะโกนดัง “เถ้าแก่! เถ้าแก่!”
เรียกอยู่เป็นนาน ด้านในไม่มีคนตอบรับ ทั้งสามเพ่งตามองไป เห็นกลางโถงมีโต๊ะเก้าอี้วางไร้ระเบียบ ฝุ่นจับหนา คิดว่าคงมีแขกมาแล้วไปอย่างรีบร้อน แม้แต่อาหารและสุราบนโต๊ะยังไม่ทันได้เก็บไป
เสวียนจีเลือกม้านั่งตัวหนึ่งที่ยังไม่พัง ใช้มือปาดฝุ่นบนนั้น ก่อนจะนั่งลงกล่าวเบาๆ ว่า “อาจเพราะผีอาละวาด ดังนั้นร้านสุราจึงไม่มีการค้า ทิ้งร้านไปแล้ว”
กล่าวไปนางก็หาวไป ยามปกติ นางล้วนนอนกลางวัน ตอนนี้ออกจากบ้านมา ไม่ได้นอน รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก
หลิงหลงเองก็นั่งลงข้างนาง ลูบท้องหน้าบึ้งถอนหายใจ “ข้า…ข้าหิวแล้ว สถานที่ผีบ้านี่ไม่มีคนเลยสักคน…น่ารังเกียจจริง…”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “คุณหนูข้า เดินทางออกจากบ้านมาก็ไม่เหมือนอยู่บ้าน อย่าเอาแต่ใจได้ไหม”
เขาควักเอาอาหารแห้งและกระบอกน้ำออกมาจากห่อสัมภาระ ส่งให้หลิงหลง “เอ้า กินนี่ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปจับปีศาจ แล้วค่อยไปหาอะไรดีๆกินกันในหมู่บ้านใหญ่”
หลิงหลงยิ้มกว้างทันที รับอาหารแห้งไปกินอย่างว่าง่าย แบ่งครึ่งหนึ่งให้เสวียนจี ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีกินเยอะๆ เจ้าก็หิวแล้วกระมัง”
เสวียนจีหยิบแผ่นเปี๊ยะแห้งขึ้นมา กำลังลังเลว่ากัดตรงไหนถึงจะนิ่มหน่อย พลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน ราวกับมีคนกำลังเดินไปมา ทั้งสามโยนอาหารแห้งทิ้ง พุ่งตัวราวสายฟ้าวิ่งขึ้นด้านบนพร้อมกัน เห็นเพียงเงาคนบนระเบียงแวบหนึ่ง พอเห็นพวกเขาก็รีบหลบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูดังปังอย่างแรง ฝุ่นลอยตลบ
หลิงหลงไหนเลยจะทนไหว ก้าวเท้ายาวเข้าไปทันที ยกเท้าถีบประตูพัง พลางกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ผู้ใดกัน! เป็นคนหรือผี ออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้!”
วาจากล่าวจบ พลันได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากในห้อง มีคนเสียงสั่นกล่าวว่า “จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตด้วย!”
ทั้งสามเพ่งมองไป เห็นในห้องมีคนอายุมากน้อยต่างกันสิบกว่าคนหลบอยู่ บ้างก็หมอบอยู่บนเตียง โผล่แค่หัวออกมา มองมายังพวกเขาด้วยหน้าตาแตกตื่นตกใจ
จงหมิ่นเหยียนรีบดึงหลิงหลงออก ประสานมือกล่าวว่า “ขออภัย รบกวนทุกท่านแล้ว พวกข้าเป็นศิษย์บำเพ็ญเพียรสำนักเส้าหยาง ได้ยินว่าหมู่บ้านท่านมีผีอาละวาด ดังนั้นจึงมาเพื่อขจัดภูตผี กำจัดปีศาจ”
คนเหล่านั้นได้ฟังก็พากันยอมออกมา ท่าทางกลัวๆ กล้าๆ
ที่แท้พวกเขาล้วนเป็นคนร้านสุรา เพราะหมู่บ้านมีผีอาละอาดไม่มีการค้าให้ทำ แต่ยังไม่อาจตัดใจกลับบ้านเกิด ดังนั้นจึงอยู่กันต่อ หวังเพียงว่ากำจัดผีได้ในเร็ววัน จะได้ทำการค้าต่อ
ตอนนั้นทุกคนก็คลายความเข้าใจผิด รู้ว่าพวกเสวียนจีมาเพื่อจับผี ตื่นเต้นยินดียกน้ำชาอาหารออกมา พวกทำอาหารก็ทำไป อีกกลุ่มก็ไปเก็บกวาดห้องพักให้พวกเขาเข้าพัก
รอจนเอาหารร้อนกรุ่นหย่อนเข้าปาก หลิงหลงจึงได้พอใจ ชื่นชมยิ้มกล่าวว่า “จริงๆ แล้วออกมาฝึกฝนตน…ก็สนุกมากนะเนี่ย!”
จงหมิ่นเหยียนได้แต่ยิ้มเฝื่อน นางน่าจะลืมแล้ว เมื่อครู่ที่บ่นลำบากดังที่สุดคือผู้ใดกัน