ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 12
ตอนกินข้าว จงหมิ่นเหยียนมองเสวียนจีคีบเอาขิงที่เกลียดที่สุดเข้าปากเคี้ยวหยับๆ ทิ้งเนื้อที่ทำราวกับเป็นขิงไว้บนโต๊ะ สุดท้ายประคองชามข้าวค่อยๆ กิน ราวกับนั่นเป็นข้าวขาวที่อร่อยที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
เขาแอบดึงแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “นางถูกอะไรกระทบกระเทือนใจเข้า ทะเลาะกับอาจารย์อีกหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าไม่กล่าวอันใด ยื่นตะเกียบออกไปนิ่งๆ คีบเอาพริกที่ปกติเขาเกลียดที่สุดบรรจงส่งเข้าปากท่าทางสงบนิ่ง
เจ้าสองคนบ้าไปแล้ว จงหมิ่นเหยียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ตวนผิงตรงข้ามพลันยิ้มกล่าวว่า “พูดไปแล้ว มาเกาะฝูอวี้ได้สองวันแล้ว ทำไมไม่เห็นกระบี่หยกประสานที่มีชื่อเสียงคู่นั้น ชื่ออะไรนะ…เพียนเพียนกับอวี้หนิง ใช่ไหม”
พอเสวียนจีได้ยินสองชื่อนี้ เม็ดข้าวก็พลันติดคอไอไม่หยุด หน้าตาแดงก่ำ
ตวนเจิ้งหน้าตาใสซื่อส่งน้ำให้เสวียนจี กล่าวว่า “คนเขามีเรื่องของตนเองที่ต้องทำ ไม่ใช่มาค่อยยืนอวดให้เจ้าชมนี่”
เขาไม่รู้! เขาต้องไม่รู้ความในใจอวี้หนิงแน่! เสวียนจีก้มหน้าดื่มน้ำไปพลางแอบสงสารอวี้หนิง
“เฮ้อ ไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ตวนเจิ้ง เจ้ากับสองคนนั้นพูดไปแล้วก็มีวาสนาลึกล้ำต่อกันอยู่บ้างนะ อย่างไรก็ควรไปทักทายสักคำนะ!” ตวนผิงขยิบตาเหมือนต้องการบอกว่า ‘ดูแม่นางน้อยนั่นก็ไม่เลวนะ ทำไมเจ้าไม่ลงมือ’
ตวนเจิ้งกล่าวท่าทางเป็นการเป็นงานว่า “ประลองยุทธ์กัน บาดเจ็บเป็นเรื่องปกติธรรมดา อะไรเรียกว่าวาสนาล้ำลึกต่อกัน แต่ต้นจนจบพวกเราไม่ได้พูดจากันสักคำ ไหนเลยจะมีวาสนาล้ำลึกต่อกัน ตามเจ้าว่ามาเช่นนี้ ประลองกับใครสักครั้งก็เรียกว่าวาสนาล้ำลึก ไหนเลยจะจดจำได้หมด”
เสแสร้งแท้ เสแสร้งแท้! เขาถูกอวี้หนิงทำร้ายบาดเจ็บแล้วเห็นชัดๆ ว่าโกรธแค้นแทบตาย! ยามนี้กลับทำเป็นใจกว้าง ตวนผิงค้อนใส่เขาไม่กล่าวอันใด
เสวียนจียังคงกำลังครุ่นคิด พวกเขาจะไม่ได้กล่าววาจากันสักคำได้อย่างไร ตอนนั้นข้อมืออวี้หนิงถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บ เขายังส่งยาให้เลย ก็นับว่า…กล่าวกันสักคำกระมัง เฮ้อ…’ขอบคุณ’ คำนี้ก็นับว่าพูดจานะ
อาหารเย็นมื้อวุ่นวายมื้อหนึ่งจบลง ทุกคนล้วนหอบความในใจกลับไปห้องพัก จงหมิ่นเหยียนกำลังจะเดินไป แขนเสื้อพลันถูกดึงไว้ อวี่ซือเฟิ่งขยิบตาให้เขา เขาเข้าใจทันที ยิ้มกล่าวว่า “โอย จะว่าไปพวกเราไม่ได้เล่นไพ่กันนานแล้วนะ วันนั้นข้าเข้าไปในเมืองมา เห็นไพ่ทำเลียนแบบหยกเขียวสำรับหนึ่งไม่เลว ก็เลยซื้อกลับมา อย่างไรดี จะไปเล่นกันสักตาไหม”
เล่นไพ่? เสวียนจีพลันตั้งตัวไม่ติด พวกเขาเคยเล่นไพ่กันตอนไหน ทำไมนางจำไม่ได้
รั่วอวี้รับคำอย่างรวดเร็ว ทั้งสามหันกลับไปยิ้มให้นาง เสวียนจีได้สติทันที รีบยิ้มกล่าวว่า “ดี ดีจัง! ครั้งก่อนแพ้พวกเจ้าไปสามเหรียญเงิน ครั้งนี้ต้องชนะเอาคืนมาให้ได้!”
จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก “เชอะ เด็กผู้หญิงหวังลมๆ แล้งๆ! จะเอาชนะระดับข้า รอไปอีกร้อยปีเหอะ!”
ทั้งสี่พูดจาหัวเราะวิ่งไปเล่นไพ่กันที่ห้องจงหมิ่นเหยียน ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นตามพวกเขามาทั้งวัน เห็นพวกเขาไม่ได้คิดไปจากเกาะฝูอวี้อันใด อดแอบกล่าวหาว่าอาจารย์ใจร้ายไม่ได้ ส่งพวกเขามาทำงานไร้สาระพวกนี้ ดังนั้นจึงเริ่มไม่คิดใส่ใจขึ้นมา ค่อยๆ เดินตามหลังพวกเขาลงไปนั่งยองกันอยู่หน้าประตูเริ่มคุยสัพเพเหระกัน
พูดไปแล้วก็บังเอิญ จงหมิ่นเหยียนมีไพ่นกระจอกมาสำรับหนึ่งจริง สี่คนล้อมวงรอบโต๊ะ ส่งเสียงล้างไพ่ดัง เสวียนจีกระซิบกระซาบว่า “ข้า…ข้าเล่นไพ่ไม่เป็นนะ”
จงหมิ่นเหยียนกัดฟันกล่าวลอดไรฟันว่า “เซ่อ…ทำท่าก็พอ ออกไพ่อะไรมาก็พอ”
กล่าวจบเขาดึงห่อเงินออกมา เทเงินก้อนเงินขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันลงบนโต๊ะ หัวเราะร่ากล่าวว่า “มา จะพนันกันก็ลงมาเลย! วางเงินๆ!”
เขาจงใจ! เสวียนจีมองเขาอย่างไม่รู้ควรทำเช่นไร รู้ๆ อยู่ว่านางเล่นไพ่ไม่เป็น ยังจะมาลงเงินมากมายเช่นนี้อีก เห็นชัดว่าจะหาเงินก้อนโต! นางได้แต่ควักเงินออกมาวางบนโต๊ะ จัดเรียงไพ่มือไม้วุ่นวาย
จงหมิ่นเหยียนควักลูกเต๋าออกมา กำลังจะทอย เสวียนจีพลันโบกมือยิ้มกล่าวว่า “อันนี้ข้ารู้! สีเขียวเดียวหนึ่งมังกร! ข้ากินรวบแล้ว!”
กล่าวจบก็ผลักไพ่ทั้งแถวตรงหน้าลง ล้วนเป็นสีเดียวทั้งแถว จงหมิ่นเหยียนตกใจตาค้าง ลูกเต๋าในมือร่วงลงพื้น ดังคาด คนมักกล่าวว่าไม่อาจรังแกมือใหม่ ครั้งแรกที่นางเล่น ก็เล่นเอาเทียนหู[1]! เงินสองตำลึงห้าอีแปะยังไม่ทันทิ้งให้เย็นเลยนะ ก็ตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว
ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นอยู่นอกประตูนั่งเซ็งหนาวเหน็บ หูได้ยินแต่อะไร สองถ่งสามเถียว เจ็ดว่านหงจง[2]พวกเขายังดีได้เล่นไพ่อยู่ในห้องอบอุ่น ไม่รู้จะเล่นไปถึงเมื่อไร ตนเองต้องมานั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งคืน แม้แต่นอนก็ยังไม่ได้
ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว ควักเอาลูกเต๋าออกมาจากแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ฟังพวกเขาเล่นแล้วคันมือ พวกเราก็มาพนันสูงต่ำกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”
ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากทุกคนอย่างดี จึงไปรวมตัวกันข้างหน้าต่าง สูงต่ำส่งเสียงเชียร์ดัง
กำลังเล่นกันอย่างเมามันนั่นเอง พลันได้ยินเสียงหน้าต่างดังเล็กน้อย ราวกับมีคนแง้มหน้าต่างออกมามอง ทุกคนรีบเงยหน้า รู้สึกเพียงกลิ่นหอมอ่อนละมุนลอยมา พริบตาสองตาก็พร่ามัว ร่างอ่อนยวบ แม้แต่เสียงสักแอะก็ไม่ทันได้ร้อง ล้มลงกับพื้นทันที
จงหมิ่นเหยียนยัดขวดยาจรุงขวดเล็กใส่กลับแขนเสื้อ หันกลับไปกวักมือ “ร่วงหมดแล้ว รีบไปกันเร็ว!”
ทุกคนแอบหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้สุ้มเสียง เร่งมุ่งไปยังเนินเขาทางเหนืออย่างเงียบที่สุด ประตูใหญ่เกาะฝูอวี้ไม่รู้มีศิษย์เท่าไร ย่อมไม่หวังว่าจะไปทางนั้นได้ ได้แต่ลองเสี่ยงดวงเอา ลงทะเลไปว่ายสักพัก ออกจากอาณาเขตแหกระบี่ได้ค่อยเหินกระบี่ไป
เนินเขาตอนเหนือเพิ่มกำลังศิษย์เฝ้ามากขึ้น น่าจะเป็นเพราะพ่อบ้านโอวหยาง ดีที่ที่นั่นมีป่าทึบอำพรางตัวได้ ทางหนึ่งไม่ได้ก็ไปอีกทางหนึ่ง กว่าที่ทั้งสี่จะลดเลี้ยวอ้อมไปมามาถึงปากทะเลได้ก็นานอยู่ รอบๆ มืดดำสนิท ไม่มีแม้เงาคน มีแต่เสียงคลื่นทะเลดังซัดสาด
ทุกคนพาดกระบี่ไว้บนหลัง พับแขนเสื้อและกางเกง กำลังจะโดดลงไป พลันได้ยินเสียงตีน้ำดังมาจากทางทะเล ราวกับมีบางสิ่งกำลังว่ายมาอย่างรวดเร็ว
จงหมิ่นเหยียนชักกระบี่ออกทันที ถอยไปสองก้าว เห็นสิ่งนั้นขึ้นฝั่งมาหายใจ เขายกกระบี่แทงไป เงาดำนั้นรับรู้ได้ทันที กระโดดหลบกระบี่ที่แทงมา ทำละอองน้ำฝาดเค็มกระจาย กระโดดได้สูงมาก
“อา! พวกเจ้าเอง! ข้าหาพวกเจ้าเจอแล้ว!” เงาดำส่งเสียงร้องดีใจ น้ำเสียงมีความออดอ้อนอยู่ไม่น้อย ฟังแล้วเหมือนว่าเป็นสตรี
จงหมิ่นเหยียนเดิมยังคิดจะแทงอีก ได้ยินนางกล่าวมา กระบี่นั่นค่อยๆ ผ่อนลง ทุกคนจ้องมองไปพลันเห็นเงาดำก้อนนั้นมีขนปุกปุยเปียกน้ำ สองหูใหญ่สลัดไปมา สองตากลมโตส่องประกาย ถึงกับเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง!
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋…เจ้าเอง…ทำไมเจ้า…”
เป็นจิ้งจอกม่วงเขาเกาซื่อซาน ทำไมแล่นมาเกาะฝูอวี้?
จิ้งจอกม่วงสลัดน้ำออกจากร่างกายอย่างแรง ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าถามเหตุใด กว่าข้าจะว่ายมาได้! ล้วนเพราะแหกระบี่ควรตายพวกนั้น…ข้าบอกเจ้านะ ถิงหนูหายไปแล้ว! ข้าหาอย่างไรก็หาเขาไม่เจอ! เขาเป็นเงือก เดินไม่ได้ เกิดพวกคนโง่เง่าเห็นเข้าจับเขาไปได้ เขาใจอ่อนมีเมตตาเช่นนั้น ย่อมไม่อาจตัดใจทำร้ายคน…ไม่รู้จะถูกทรมานจนเป็นเช่นไร!”
ทุกคนล้วนตกใจใหญ่ จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “ทำไมพวกเจ้าพลัดหลงกันได้ วันนั้นพวกเจ้าไม่ใช่ว่าไปหลบในถ้ำหรือ”
จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ ถลึงตาจ้องใส่เสวียนจีอย่างแรง กล่าวว่า “ไม่ใช่เพื่อเด็กผู้หญิงคนเดียวหรือ! ถิงหนูเห็นพวกเจ้าปล่อยพลุสัญญาณที่เชิงเขาก็บอกว่าจะไปช่วยพวกเจ้า ผลปรากฎพอถึงเชิงเขาก็พบกับพวกกลุ่มปีศาจชั่ว ไม่ทันได้พูดอะไรก็ปล่อยนกปี้ฟางขาเดียวมาเผาเรา พวกเราได้แต่โดดลงทะเลสาบหงเจ๋อหลบภัย เขาเป็นเงือกนะ เป็นปีศาจชำนาญทางน้ำ แต่ข้าไม่ใช่! ลงน้ำไปก็ถูกกระแสน้ำซัดไปไหนก็ไม่รู้แล้ว! กว่าจะขึ้นฝั่งได้ ข้าก็หาถิงหนูไม่เจอแล้ว…ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเจ้าว่าจะมาเกาะฝูอวี้ ดังนั้นข้าคิดว่าคนเดียวหา ไม่สู้หากันหลายคนหน่อย…ข้า ข้าเสียแรงไปมากมายมหาศาลกว่าจะหามาถึงนี่ได้! ถิงหนูเขา…ช่วยพวกเจ้ามากมายเช่นนี้ พวกเจ้าไม่อาจไม่สนใจเขานะ!”
ทุกคนได้ยินก็นิ่งเงียบไป
จิ้งจอกม่วงเห็นพวกเขาไม่กล่าวอันใด รีบแกว่งหางอย่างแรง ร้องดังว่า “พวกเจ้าไม่สนใจเขาจริงหรือ?! ช่างไร้คุณธรรม! ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนดี! หากถิงหนูตายไป ข้า…ข้าต้องมาคิดบัญชีพวกเจ้าแน่!”
กล่าวจบนางก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ จิ้งจอกตัวหนึ่งร้องไห้ดังเช่นนี้ แม้ว่าดูเศร้าสลด แต่กลับไม่รู้ทำไมจึงแลดูน่าขันมากอยู่สักหน่อย
เสวียนจีถอนหายใจกล่าวเบาๆ ว่า “แน่นอนพวกเราไม่อาจไม่สนใจเขา แต่…พวกเราตอนนี้เร่งไปหาเขาปู้โจวซาน”
นางเล่าเรื่องหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยคร่าวๆ รอบหนึ่ง จิ้งจอกม่วงฟังจบก็เกาหู ได้ใจยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าไปก็เสียเปล่า! แค่พวกเจ้าไม่กี่คน แม้แต่ข้ายังสู้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจพวกนั้น! และพวกเขาต้องการทำลายโซ่หมุดทะเลเพื่อปลดปล่อยคนผู้นั้น ข้าดีใจจะตายแล้ว!”
เห็นทุกคนล้วนมองนางไร้วาจา นางพลันรู้สึกวาจาตนเองราวกับกล่าวอันใดผิดกาลเทศะไป รีบกระแอมไอสองทีกล่าวว่า “คาถาเรียกจิตญาณ ข้าเคยได้ยิน ขอเพียงหาสองจิตหกญาณของนางก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ เช่นนี้ละกัน ข้าพาพวกเจ้าไปเขาปู้โจวซาน แต่มีสิ่งตอบแทน พวกเจ้าต้องหาถิงหนูให้เจอก่อน!”
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าจะไปเขาปู้โจวซานได้อย่างไร?!”
จิ้งจอกม่วงยิ้มกล่าวว่า “นั่นแน่นอน ตอนเด็กข้ามักไปเที่ยวบ่อยๆ! แต่ยอดเขามีเสินซูและอวี้ลวี่เฝ้าประตูใหญ่ แดนปรภพผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ขอเพียงไม่ไปที่นั่น ที่อื่นข้าล้วนนำทางพาไปได้หมด”
ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ จงหมิ่นเหยียนอดซาบซึ้งไม่ได้ “เซินซูและอวี้ลวี่?! มีเทพสวรรค์เฝ้าอยู่ที่นั่นจริง? ข้าคิดว่า…ข้าแต่ไรคิดว่า…นั่นเป็นแค่ตำนาน”
จิ้งจอกม่วงใช้สายตาน่าสงสารมองเขา ‘เจ้านี่รู้น้อยจริง’ ออดอ้อนออเซาะกล่าวว่า “มนุษย์ธรรมดานี่นะ มีกายหยาบเลือดเนื้อ นอกจากตนเองผู้ใดก็มองไม่เห็น อย่าว่าแต่เซินซูและอวี้ลวี่เลย ทุกเขาล้วนมีเทพประจำเขาเฝ้าอารักษ์ทั้งนั้น เขาคุนหลุนยังเป็นถึงอุทยานของราชันสวรรค์ทางด้านใต้ บนเขามีเทพเซียนเต็มไปหมด หากพวกเจ้าอยากดู วันหน้าตอนไหนก็ได้ดู ตอนนี้พวกเราไปหาถิงหนูกันก่อน พอหาเจอ ข้าก็จะพาพวกเจ้าไปเขาปู้โจวซาน ไม่ไกล อ้อ เหินกระบี่ไปก็ไม่ไกล”
เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีพับขากางเกงลงทะเล ถูกความเย็นน้ำทะเลกระทบจนหนาวสั่นถึงใจ หันกลับไปกวักมือเรียกพวกเขา “เร็ว! ไปกันเถอะ! พวกเราไปหาถิงหนูกัน!”
[1] รูปแบบการชนะน็อคแบบหนึ่งของไพ่นกกระจอก
[2] ไพ่นกกระจอกมีไพ่อยู่ 3 แบบ คือ ไพ่จำนวน ไพ่อักษร และไพ่รูปดอกไม้กับฤดูกาล ไพ่จำนวนมีสามชุดได้แก่ ชุดถ่ง ชุดสั่ว และชุดว่าน ซึ่งแต่ละชุดจะมีจำนวนตั้งแต่ 1-9 ไพ่อักษรมีเจ็ดชุด ได้แก่ หงจง ฟาไฉ ไป๋ปั่น และอีกทิศเหนือใต้ออกตกอีกสี่ชุด ส่วนไพ่รูปดอกไม้และฤดูกาลก็จะเป็นรูปภาพ วิธีการเล่นก็แตกต่างกันไปในแต่ละถิ่น