ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 1
รายชื่อผู้ร่วมงานชุมนุมปักบุปผาถูกกำหนดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปีนี้ไม่มีสำนักเซวียนหยวนเข้าร่วม การแข่งขันของห้าสำนักใหญ่ก็เหลือเพียงสี่สำนักใหญ่ แต่ละสำนักไม่อาจไม่ปรับแก้กำหนดอายุผู้เข้าร่วม ล้วนเติมอีกสามคนเข้าไป เช่นนี้ศิษย์ที่อายุไม่ถึงสิบแปดหลายคนก็มีโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมปักบุปผาปีนี้
เช้าวันนี้เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งถูกตามตัวไปยังโถงกลางเพื่อแจ้งว่างานชุมนุมปักบุปผาปีนี้ ทั้งสองก็อยู่ในรายชื่อศิษย์ที่ได้เข้าร่วมประลอง
ฉู่เหล่ยเติมชื่อในรายชื่อไปพลางหันมากล่าวว่า “ปีนี้พิเศษ แม้ว่าได้ร่วมแล้ว ก็ไม่ต้องคาดหวังกับชัยชนะมากนัก คิดเพียงเพิ่มประสบการณ์ก็พอ”
กล่าวจบ เขาเงยหน้ามองเสวียนจี ดังคาด นางตะลึงงันก่อนจะเผยสีหน้าอึดอัดออกมา พึมพำเบาๆ “ข้าเองต้องร่วมด้วย? แต่ข้าไม่อยากสักนิด…”
“ไม่อยากก็ไม่ได้” ฉู่เหล่ยถอนหายใจ “พ่อเคยบอกแล้วว่า ไม่สนใจแพ้ชนะ เรื่องสำคัญคือประสบการณ์เข้าร่วมงานใหญ่ เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรพวกเจ้า”
การต่อสู้กับบำเพ็ญเซียนเกี่ยวกันด้วยหรือ เสวียนจีคิดไม่ตก แต่ทุกคนราวกับล้วนดีใจ เห็นชัดว่าร่วมครึกครื้นตามกันไป
“พี่สาวเจ้า ชื่อหลิงหลง พ่อก็เติมลงไปแล้ว” ฉู่เหล่ยเสียงแผ่วกล่าวแล้วก็นิ่งไป ก่อนกล่าวต่อว่า “หาก…พวกเขายังกลับมาได้”
ในใจเสวียนจีหนักอึ้ง พลันรู้สึกเศร้าใจจนคิดอะไรไม่ออก
ในใจฉู่เหล่ยเองก็ฝื่นขม เป็นนานก่อนจะโบกมือว่า “เจ้าออกไปก่อน ไม่ต้องกังวลมาก”
เสวียนจีเห็นท่านพ่อที่แม้ว่าอารมณ์จะดูสงบนิ่ง แต่ในแววตามีเงาดำลึกๆ ซ่อนอยู่ ผมขาวที่จอนผมเพิ่มขึ้นอีกหลายเส้น จึงได้เข้าใจว่าในใจเขาจริงๆ แล้วก็ร้อนใจอย่างที่สุด แต่ฐานะเจ้าสำนักไม่อาจแสดงอารมณ์ให้เห็นโดยง่าย ได้แต่ฝืนอดกลั้นไว้
นางกัดริมฝีปาก พลันกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจะไปค้นหาที่เขาเกาซื่อซานอีกที!”
กล่าวจบก็หันหลังจะวิ่งออกไป ฉู่เหล่ยรีบรั้งไว้ “เจ้าอย่าวู่วาม! ไปก็ไร้ประโยชน์ สถานการณ์ตอนนี้สับสนยากจะแยกแยะ ไม่ควรเสี่ยงอันตรายอีก!”
“ไม่แน่พวกเขากำลังรอพวกเราอยู่ที่มุมไหนสักแห่งในเขาเกาซื่อซาน รอพวกเราไปช่วยอยู่!”
เสวียนจีพอคิดถึงเสื้อผ้าขาดหลายจุดของหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน บางทีอาจบาดเจ็บสาหัส กำลังมีภัยถึงชีวิตและรอพวกเขาอยู่ ในใจก็ราวกับมีมีดหนึ่งเฉือนลงไปอย่างแรง จริงๆ แล้วนางเองก็รู้ว่าการไปอีกทีเป็นเรื่องเสียแรงเปล่า วันนั้นนางกับซือเฟิ่งเองก็หาทั่วทั้งเขาเกาซื่อซาน ตั้งแต่เชิงเขายันยอดเขารอบหนึ่งแล้ว แต่ในใจลึกๆ ก็ยังมีความหวังอยู่ หวังเพียงว่ามีถ้ำสักแห่งที่ไม่มีคนค้นพบจะมีร่องรอยพวกเขา
ฉู่เหล่ยถอนใจกล่าวว่า “นานเพียงนี้ บาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็ควรหายแล้ว เจ้าอย่าได้ทำการตามอำเภอใจ!”
การดึงดันของทั้งสองทำให้คนรอบๆ หันมาสนใจ รองเจ้าตำหนักกำลังคุยกับอวี่ซือเฟิ่งให้เขาเข้าร่วมงานชุมนุมปักบุปผา หันกลับไปมองเสวียนจีเพียงครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวอันใด เจ้าหุบเขาหรงกับตงฟางชิงฉีก็เข้ามากล่าวเตือน
“เสวียนจี ฟังท่านพ่อเจ้า เจ้าไปไม่รู้ดีหรือร้าย หรือว่าจะให้พ่อเจ้าสูญเสียบุตรสาวไปทีเดียวสองคน”
ตงฟางชิงฉีตบบ่านาง ลอบส่ายหน้า
เจ้าหุบเขาหรงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ปีศาจเขาเกาซื่อซานถูกกำจัดแล้ว น่าจะไม่มีอันตราย คิดว่าพวกเขายามนี้น่าจะกำลังเร่งเดินทางมา เรื่องที่เกิดนี้อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
เสวียนจีมองมือพู่กันในมือฉู่เหล่ยนิ่งไปเป็นนาน พลันกล่าวว่า “เหตุใดพวกท่านล้วนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องโซ่หมุดทะเล ปีศาจพวกนั้น…ทำลายเทพศาสตราได้ ยังพานกปี้ฟางขาเดียวมาก่อเรื่องไปทั่วได้…ไม่แน่พวกหลิงหลงเองก็ถูกพวกเขา…”
นางไม่กล้ากล่าวคำนั้นออกมา เช่นนั้นย่อมเหมือนตัดลิ้นนางทิ้ง
ทุกคนล้วนนิ่งเงียบ ตงฟางชิงฉีเก้กังกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาจะข้องเกี่ยวได้…”
ยังกล่าวไม่ทันจบก็พลันได้ยินรองเจ้าตำหนักส่งเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ น้ำเสียงเล็กแหลมกล่าวว่า “เจ้าเกาะถ่อมตนไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนจะนับเป็นมนุษย์ธรรมดาได้อย่างไร คุณหนูฉู่ ไม่สู้ข้าบอกเจ้าแล้วกัน เหตุใดพวกเขาจึงต้องแสร้งไม่รู้ ก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานห้าสำนักใหญ่…”
“เหลวไหล!” เจ้าหุบเขาหรงโมโหขึ้นทันที ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ขอรองเจ้าตำหนักอย่าได้ทำให้คนจิตใจวุ่นวาย วาจาควรคงไว้ซึ่งคุณธรรม!”
วาจาเขารุนแรงอย่างที่สุด ราวกับชี้ว่ารองเจ้าตำหนักเป็นปีศาจที่กำลังล่อหลอก ทุกคนพลันไร้วาจากล่าวต่อ บรรยากาศยามนั้นอึดอัดอย่างที่สุด เสวียนจีมองไปทางนั้นที มองมาทางนี้ที ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เหมาะที่จะถามต่อไปไหม
รองเจ้าตำหนักถูกวาจาเขาสกัดกลับไปก็ไม่โมโห เพียงแค่โบกมือยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรงกล่าวได้มีเหตุผล ข้าก็แค่ผายลมนั้น ไม่ควรค่าแก่การรับฟัง คุณหนูฉู่ก็ถือเสียว่าไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
เขาฉีกยิ้ม ยังมีท่าทีเหมือนหยอกเย้า ทำเอาเจ้าหุบเขาหรงมองเขาอย่างโมโหมาก แค่นเสียงฮึสะบัดแขนเสื้อจากไป
“โอ๊ะๆ ทำไมจะไปแล้วล่ะ หรือว่าข้าผายลมจนต้องหนี”
รองเจ้าตำหนักผู้นั้นยังคงเสแสร้งแกล้งบ้า ฉู่เหล่ยลอบส่ายหน้า ตงฟางชิงฉีเตือนเขาเบาๆ ว่า “รองเจ้าตำหนัก กล่าวหนักไปแล้ว”
รองเจ้าตำหนักหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “กล่าวหนักก็มักจะเป็นข้า วันหน้าก็พยายามกลั้นใจเป็นคนดี แล้วก็กลั้นผายลมไว้ให้แน่นหนา ควรผายก็ผาย คนเขาไม่พอใจ ก็รีบหดหัวกลับไปก็แล้วกัน!”
ทุกคนมองไปยังบรรดาบุคคลระดับแนวหน้ามีหน้ามีตาของสำนักใหญ่ใต้หล้าแล้ว วาจายังถึงกับหยาบคายเช่นนี้ อดไร้วาจาจะโต้ไม่ได้ เขายิ้มพลางลุกขึ้น สะบัดแขนเสื้อเลียนแบบท่าทางเจ้าหุบเขาหรง หันหลังเดินออกไป พลางกล่าวอีกว่า “ซือเฟิ่งเอ๋ย เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนพวกเขาแล้วกัน ข้าไปก่อน จะได้ไม่ทำให้คนเขารังเกียจ”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะไม่ออก และไม่อาจรับคำ ได้แต่ทำท่าไม่รับรู้
ตงฟางชิงฉีอดไม่ได้กล่าวว่า “รองเจ้าตำหนัก อันไหนยอมให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถิด ไยต้องกล่าวมากมายเช่นนี้”
รองเจ้าตำหนักเดินออกจากประตูไป ยังคงหัวเราะ “ข้าพูดมากไปหรือ พูดมาพูดไปแล้ว ก็ดีกว่าคนไม่ให้ซุ่มให้เสียงขยันลงมือมากแต่เป็นคนเลวนะ ยามนี้ยังเอาแต่เก็บความลับ คิดว่าแอบแก้ปัญหาทุกอย่างได้ รอให้ความจริงปรากฏก็ย่อมเป็นเรื่องสุดแสนน่าหัวเราะ ฮา ฮา ฮา ฮา!”
ฉู่เหล่ยกับตงฟางชิงฉีเห็นเขาพูดอย่างไม่รู้จักเก็บงำเช่นนี้ อดสบตากันอย่างตกใจไม่ได้ เขาหายลับไปจากหน้าประตูนานแล้ว
สุดท้ายเสวียนจีก็ยังคงไม่เข้าใจ หันกลับไปเห็นอวี่ซือเฟิ่งแอบพยักหน้าเรียกนาง นางก็ได้แต่ตามไป กล่าวกับฉู่เหล่ยว่า “ท่านพ่อ ข้ากับซือเฟิ่งยังอยากไปเขาเกาซื่อซานตรวจดูอีกสักหน่อย จะรีบกลับมา ท่านพ่อไม่ต้องกังวล”
ฉู่เหล่ยกำลังคิดอะไรในใจ ไม่ได้ฟังว่านางกล่าวอันใด เพียงพยักหน้า เสวียนจีอดดีใจไม่ได้ รีบวิ่งออกไปกับอวี่ซือเฟิ่งทันที
“ซือเฟิ่ง เจ้าเองก็ต้องร่วมงานชุมนุมปักบุปผาใช่ไหม” นางวิ่งไปถามไป
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า “ศิษย์รุ่นอายุมากในสำนักล้วนต้องเข้าร่วม ศิษย์อายุน้อยก็เลือกยาก รองเจ้าตำหนักจึงให้ข้าลองดู แต่…”
“แต่อะไร?”
เขายิ้มเล็กน้อย “แต่ข้ารู้สึกไม่อาจชนะ ไม่อาจมองข้ามบรรดาศิษย์พี่”
“เจ้าคิดชนะ?” เสวียนจีแปลกใจมาก “แต่ข้าไม่คิดสักนิด และข้าเองก็ไม่คิดอยากเข้าร่วมงานชุมนุมปักบุปผา สู้กับทุกคนมีความหมายอันใด”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ไม่อยากก็ส่วนไม่อยาก แต่ในเมื่อร่วมแล้ว ก็ต้องทุ่มเทกำลังตนเองอย่างที่สุด ทำให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นก็ไร้ความหมาย”
เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ รู้สึกว่าเขาพูดมามีเหตุผล คับแค้นส่วนคับแค้น ในเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงต้องเผชิญหน้า เช่นนั้นก็ย่อมต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นย่อมผิดต่อวันเวลาของตนเอง
“อืม! ซือเฟิ่งพูดอะไรมักถูกต้องเสมอ!” นางพยักหน้า “อย่างนั้นข้าก็จะทุ่มเทสุดความสามารถ ต่อสู้ลงไม้ลงมือ ข้าน่าจะไม่แพ้”
นั่นไม่เรียกว่าต่อสู้ลงไม้ลงมือนะ…อวี่ซือเฟิ่งหลุดหัวเราะออกมา