ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 21
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหญิงผู้นั้นก็ตามมาอีก “ศิษย์พี่หก…” นางเรียก
จงหมิ่นเหยียนโมโหขึ้นทันทีแต่ก็ไม่กล้าดุนาง ได้แต่หันหน้ากลับไปกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ทำไมเจ้าไม่เชื่อฟังอย่างนี้! ไม่ใช่ว่าให้เจ้ากลับโรงเตี๊ยมหรือ”
เสวียนจีส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยพวกซือเฟิ่งกับเจ้า”
นางจะไปด้วยได้อย่างไรเล่า! ถึงตอนนั้นเกิดแสดงฤทธิ์อันใดอีก เขาเองยับยั้งไม่ไหว! หากคนอื่นรู้ว่านางเป็นเช่นนั้น ไม่รู้ในใจจะคิดเช่นไร!
“เอ่อ…ไม่ต้อง! เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าช่วยอะไรได้ คอยถ่วงก็เท่านั้น!”
จงหมิ่นเหยียนสะบัดหน้าเดินไปทันที ไม่ฟังนางพูดต่อ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นด้านหน้ามีคนหลายคนค่อยๆ เดินมา เป็นพวกอวี่ซือเฟิ่ง หลิ่วอี้ฮวนราวกับหมดแรง ตัวอ่อนปวกเปียกถูกทั้งสองแบกมา แม้แต่คอก็ไม่มีแรงจะขยับ
ทั้งสองคนรีบปรี่เข้าไปหา กล่าวอย่างไม่พักหายใจว่า “อย่างไร? ถูกปีศาจนั่นทำร้ายบาดเจ็บไหม”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้ากล่าวว่า “กลับไปค่อยพูดกัน”
ทั้งสองคนเห็นที่กลับมามีแค่พวกเขาสามคน จิ้งจอกม่วงกับถิงหนูไม่อยู่ข้างๆ ในใจอดสลดไม่ได้ ได้แต่ปิดปากเงียบเดินตามพวกเขาเข้าโรงเตี๊ยม
แม้ว่าหลิ่วอี้ฮวนขยับร่างกายไม่ได้ แต่ปากก็มิได้หยุดพัก นอนอยู่บนเตียงก็เริ่มส่งเสียงโวยวาย “โอยๆ! หมดแรงไปหมดทั้งตัวเลย! เพื่อจัดการเจ้าปีศาจกระจอกนั่นถึงกับต้องเปิดดวงตาสวรรค์ ช่างน่าขายหน้าจริง!”
จงหมิ่นเหยียนเหมือนเชื่อเหมือนไม่เชื่อ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้าเปิดดวงตาสวรรค์? เปิดดวงตาสวรรค์…แล้วอย่างไร”
เขามองหน้าผากหลิ่วอี้ฮวน รอยแดงหายไปแล้ว เนื้อก้อนเล็กนั่นปิดลง ดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีการบาดเจ็บตรงไหนสักนิด แผลเป็นเล็กๆ บนหน้าผากก็ไล่เจ้าปีศาจตบะกล้านั่นได้?
หลิ่วอี้ฮวนแค่นฮึ “เจ้าหนุ่มช่างอ่อนประสบการณ์ อธิบายกับเจ้าเสียแรงเปล่า! สรุปคือเปิดดวงตาสวรรค์ ปีศาจงูนั่นก็จบแล้ว…คืนนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปจวนตระกูลโจวทวงคน!”
เขาเห็นหลิ่วอี้ฮวนวาจาอ่อนแรง ได้แต่พยักหน้า ออกไปก็ไปลากอวี่ซือเฟิ่งมาถามว่า “ตกลงจัดการปีศาจงูนั่นได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งลูบใบหน้า ถอนใจกล่าวว่า “ดวงตาสวรรค์ไม่ใช่ของธรรมดา ขอเพียงเปิดเล็กน้อยก็สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแล้ว ครั้งนี้พี่หลิ่วเปิดแค่ครึ่งเดียว หากเปิดทั้งหมดล่ะก็ ทั้งจวนตระกูลโจวย่อมพังครืน ไม่ว่าอย่างไรปีศาจงูนั่นแม้ไม่ตายก็ย่อมสูญสิ้นพลังวัตรทั้งหมด เช้าพรุ่งนี้ พวกเราก็ไปทวงคนที่จวนตระกูลโจว คาดว่านางก็คงไม่กล้าขวางแล้ว”
ไม่ใช่บอกว่าจวนตระกูลโจวเป็นจวนขุนนางหรือ บอกว่าไปทวงคนก็ไปทวง ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายเพียงนั้น! แต่พอเห็นท่าทางอวี่ซือเฟิ่งเหน็ดเหนื่อยมาก เขาเองจึงไม่กล้าถามมาก ได้แต่รับคำไป หันหลังกลับห้องพักตนเองไป พลันได้ยินเสียงด้านหลังเขาถามว่า “เสวียนจีล่ะ”
จงหมิ่นเหยียนในใจสะดุ้ง พึมพำกล่าวว่า “…น่าจะกลับห้องแล้วกระมัง” เมื่อครู่ตอนแบกหลิ่วอี้ฮวนเข้ามายังเห็นนางเลย ทำไมพริบตาก็ไม่เห็นแล้วนะ นึกดูแล้วคืนนี้เกิดเรื่องไม่น้อย นางเองก็แปลกไปสักหน่อย หรือว่าได้พบความแปลกประหลาดในตัวเองเข้าแล้วจริงๆ?
เขาหันกลับไปมองอวี่ซือเฟิ่ง เห็นเขาไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกใด ก็ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งๆ “ดึกแล้วไร้ผู้คน เป็นเวลาที่จะได้พูดความในใจพอดี เจ้าไม่รีบไปหานางล่ะ”
อวี่ซือเฟิ่งขยับปากเล็กน้อยราวกับจะกล่าวอันใด หากสุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ หันหลังออกไป
จงหมิ่นเหยียนกลับห้องปิดประตู กอดอกพิงกำแพงถอนหายใจยาว รู้สึกเพียงในใจวุ่นวายสับสนอย่างมาก ราวกับมีอุ้งเท้าสัตว์มีขนกำลังตะกุยจิตใจเขาอยู่
หลิงหลง…หลิงหลง…ในใจเขาร้องเรียกชื่อนี้ราวกับไข่มุกล้ำค่านับไม่ถ้วน ไม่รู้ทำไมในใจจึงรู้สึกปวดปลาบอย่างที่สุด สุดท้ายได้แต่นั่งเงียบๆ กับพื้นเป็นนานไม่กล่าววาจาอันใด
****
แสงจันทร์ราวสายน้ำสาดส่องพื้นประกายน้ำค้างแข็ง ตอนอวี่ซือเฟิ่งหาเสวียนจีเจอ นางกำลังนั่งกอดอกอยู่บนหลังคาโรงเตี๊ยม มองดวงจันทร์อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ร่างผอมบางราวกับว่าหากจับหักก็จะหลุดจากกัน ผมยาวสลวยราวแพรไหมพลิ้วตามแรงลมอ่อนยามค่ำคืน ภาพนี้ทำเอาเขาต้องหรี่ตามอง คิดถึงความทรงจำที่นานมาแล้วแต่ยังคงแจ่มชัดเหล่านั้น
แน่นอนว่านางไม่ได้อ่อนแอเหมือนภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็น ตอนนั้นกลับถึงตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าตำหนักเคยกล่าวถึงนางยิ้มๆ หญิงผู้นี้อันตราย คนปกติดื้อดึง ชนกำแพงศีรษะเลือดอาบก็จะหยุด แต่นางกลับชนกำแพงบาดเจ็บ ตนเองแม้ใกล้สิ้นลมก็ไม่หันหลังกลับ
ซือเฟิ่ง เจ้าต้องรู้ว่านางไม่ใช่สตรีที่เป็นดังดอกไม้ป่าอ่อนแอริมทางรอเจ้าคอยปกป้องทะนุถนอม เจ้าต้องระวังนาง วันหน้านางจะกลายเป็นมารของเจ้า ทำเจ้ามารแทรกจิต
คำเตือนอาจารย์ยังคงก้องอยู่ในหู แต่จริงๆ แล้วเขาได้กล่าวไปว่าเขาเองก็รู้ทุกอย่าง เสวียนจีไม่ใช่คนที่ดูไม่มีอันใดดังภาพลักษณ์ภายนอกของนาง พอได้สัมผัสมากขึ้นจึงได้เข้าใจ นางฉลาดมาก และหลายเรื่องยังมีมาตรฐานการตัดสินใจที่แน่นอนในใจนางเอง บางครั้งรู้สึกว่าในที่สุดก็ได้เข้าใกล้นางอีกหน่อยแล้ว แต่พอหันกลับไปมองอีกที นางก็บินไปยิ่งไกลอีกแล้ว ไม่อาจมีหนทางใดที่จะกุมนางไว้ในฝ่ามือได้ทั้งหมด
เขาคิดจนตกในภวังค์ พลันได้ยินเสวียนจีส่งเสียงเรียกขึ้นเบื้องหน้าเสียงหนึ่ง “ซือเฟิ่ง…เจ้าเอง?”
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหานาง ไปยืนข้างนาง ร่วมมองดวงจันทร์กับนาง พลางถาม “ทำไมรู้ว่าเป็นข้า?”
เสวียนจีหัวเราะแหะๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตัวเจ้า…มีกลิ่นทะเล พอเข้าใกล้ก็ได้กลิ่น”
กลิ่นทะเล…เขายกแขนเสื้อขึ้นดมอยู่เป็นนาน นอกจากลิ่นเหงื่อและกลิ่นดินแล้ว ก็ไม่มีกลิ่นใด เด็กผู้หญิงผู้นี้มีหลักการประหลาดมากมายตลอดเวลา ทำให้ผู้ใดก็ไม่เข้าใจ เขายิ้มนั่งลงข้างนาง ถามว่า “กำลังคิดอันใดอยู่?”
เสวียนจีส่ายหน้า “ข้าไม่ได้คิดอันใด ข้าเพียงแค่กำลังสับสน…”
สับสนอันใดกัน? นานมาแล้ว เมื่อก่อนก็เหมือนเคยมีเหตุเช่นนี้ ราวกับนางมีภาพความทรงจำอีกภาพหนึ่ง มีชีวิตราวอีกคนหนึ่ง หากแต่ไรมานางไม่เคยนำมาใส่ใจ ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม นั่นไม่ภาพในฝันอีกต่อไป มันเป็นความจริง เกิดขึ้นตรงหน้า เรื่องราวที่น่าตกใจเหล่านั้น ดวงตาสองดวงราวกับเกล็ดน้ำแข็งของสตรีผู้นั้น คือนาง? คือนางจริง?
“เจ้าเห็นอะไรบนกระจกหมื่นกรรมใช่ไหม”
เสวียนจีสะดุ้งเบาๆ เป็นนาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ข้า…ข้าเห็นมากมาย…แต่พูดไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร …ราวกับข้าไม่ใช่ข้า ไม่คุ้นเลย…แต่ก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้…”
อวี่ซือเฟิ่ง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง เอนตัวลงเอาศอกเท้าชายคากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นก็น่าจะเป็นชาติก่อนของเจ้ากระมัง ทุกคนล้วนมีชาติก่อน…สุขหรือทุกข์ ทำให้คนยากจะปล่อยผ่านไปได้จริงๆ”
เสวียนจีอดหันไปมองเขาไม่ได้ พลางกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้น…เรื่องชาติก่อนส่งผลอะไรกับตอนนี้ไหม? ข้า…ข้ามักจะคิดถึงแล้วก็รู้สึกปล่อยวางไม่ลง”
อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลงยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนไม่ส่งผลอันใด ชาติก่อนก็ชาติก่อน ชาตินี้ก็ชาตินี้ หากต้องคอยถูกเรื่องเมื่อก่อนพันพัว แล้วจะมีชีวิตชาตินี้อย่างไรเล่า?”
เสวียนจีเงียบไปเป็นนาน เขาอดลืมตามองไม่ได้ เห็นนางเบิกตากลมโตมองมายังตนเอง แววตาส่องประกายใต้แสงจันทร์ ในใจเขาวูบไหว ยกมือไปลูบหน้าผากนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี ปัจจุบันจึงจะสำคัญที่สุด”
นางกะพริบตาปริบ ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มหวานกระจ่าง พลางกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว วันหน้าจะไม่คิดอีกแล้ว ชีวิตปัจจุบันจึงจะสำคัญที่สุด”
นางพลิกตัวลงนอนมองดวงจันทร์ เคียงกับเขาบนหลังคา ในใจอยู่ๆ ก็รู้สึกปลอดโปร่งมาก ราวกับสิ่งที่อัดแน่นในใจมานานอยู่ๆ ก็มลายหายไปสิ้น เหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก ในใจไร้ความกังวลใดๆ ไม่มีอะไรให้ต้องคำนึง
“ซือเฟิ่ง พวกเราไปเขาปู้โจวซานช่วยหลิงหลงกับศิษย์พี่รองกลับมาแล้ว…เจ้า เจ้าอย่ากลับตำหนักหลีเจ๋อได้ไหม”
ในใจเขาวูบไหวอีกแล้ว หันกายไปมองใบหน้างดงามนางระยะประชิด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่กลับไป…ยังจะทำอันใดได้เล่า?”
เสวียนจีขมวดรคิ้วร้อนใจกล่าวว่า “ไปกับพวกเราอย่างไร! พวกเรา…อย่างไรพวกเราทำผิด ก็ไม่กล้ากลับสำนักเส้าหยางแล้ว…รอส่งหลิงหลงกลับไป…พวกเรา…พวกเราก็…”
นางเองก็ไม่รู้วันหน้าควรทำเช่นไร สมองยังไม่ได้คิดไปไกลเพียงนั้น แต่หากต้องแยกจากอวี่ซือเฟิ่ง เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“ก็อย่างไร?” เสียงเขาทุ้มต่ำราวกระซิบอยู่ข้างใบหู เสวียนจีหันหน้ากลับ รู้สึกเพียงลมหายใจเขารินรดใบหน้า กลิ่นลมทะเลใสสะอาดรายล้อมรอบกายนาง ปลายจมูกทั้งสองแทบจะชนกัน นางตกตะลึงจ้องมองดวงตาเขา ไม่อาจเปล่งวาจาออกมาได้แม้แต่คำเดียว
“เสวียนจี เจ้ายังไม่ได้ให้คำตอบข้า…ป่าต้นซิ่ง” เขาปัดผมหนาบนหน้าผากนางออก ค่อยๆ ยันตัวขึ้นเล็กน้อย นิ้วมือไล่ผ่านโครงหน้างามของนางแผ่วเบา
นางไม่อาจขยับตัวแล้ว ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นอายใสสะอาดของเขา ราวกับปลายเท้าก็ยังเกร็งขยับไม่ได้
“ข้า…”
ราวกับไม่รู้ควรกล่าวอันใด ลืมว่าควรกล่าวอันใด
นิ้วมือเขาค่อยๆ ลูบไล้ริมฝีปากนางแผ่วเบา กล่าวเสียงแผ่วเบายิ่งว่า “ไม่ต้องกล่าวอันใด ข้ายังไม่อยากฟัง”
ไม่อยากฟัง เหตุใดต้องถามเล่า?
ขนตานางสั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกเพียงริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาประทับลงมาแผ่วเบา พอสัมผัสก็รีบผละออกทันที
ในใจนางเต้นโครมคราม ตาโตอ้าปากค้าง อวี่ซือเฟิ่งตะลึงจ้องมองนาง ยกมือลูบไล้ริมฝีปากอย่างไม่อาจตัดใจ พลางเผยรอยยิ้มประหลาด