ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 432 บอกผู้ชายแย่ๆ ว่าอะไรคือการแต่งงานด้วยความรัก
ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง สือมูเฉินและคนอื่นๆกำลังทักทายแขก เพราะวันนี้มีเพื่อนจำนวนไม่น้อยที่ทำธุรกิจด้วยกัน ฉะนั้นเขาแทบจะยุ่งอยู่กับการเจรจาพูดคุยตลอด
และฟู่สีเกอ หลังจากจามหลายครั้งติดต่อกัน ในที่สุดเขาก็ดีขึ้นบ้างแล้ว
ขณะที่เขาช่วยหยานชิงเจ๋อทักทายแขกอยู่ ก็พูดอย่างสงสัยว่า : “ชิงเจ๋อไปไหนล่ะ?”
เฉียวโยวโยวส่ายหัว : “ไม่รู้สิ เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นสือจิ่นเต้นรำกับลั่วฝานหวาอยู่ ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นใครแล้ว?”
“พวกเขาเต้นรำด้วยกัน?” ฟู่สีเกอหรี่ตามอง แววตามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ : “อย่างนั้นฉันรู้แล้วล่ะว่าชิงเจ๋อพาเธอไปไหน”
“ไปไหนเหรอ?” เฉียวโยวโยวประหลาดใจ
“สถานที่ที่อธิบายไม่ได้ และทำในสิ่งที่อธิบายไม่ได้” ฟู่สีเกอพูดด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
เฉียวโยวโยวมองค้อน : “คุณคิดว่าทุกๆคนเป็นเหมือนกับคุณหมดหรือไง?!”
งานเลี้ยงตอนกลางวันสิ้นสุดลงแล้ว แต่สือมูเฉินก็จัดการเรื่องพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อ ส่วนฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว อุ้มลูกทั้งสองคนแล้วขับรถออกไปด้วยกัน
วันนี้อากาศดี แสงแดดไม่มีลม ด้วยเหตุนี้เฉียวโยวโยวจึงพาลูกไปเล่นที่สวนสาธารณะ
ทั้งสี่คนสวมชุดสไตล์น่ารักเหมือนๆกัน ชั่วขณะก็ทำให้ดึงดูดสายตาของคนอื่นๆไม่น้อย
เมิ่งซินหรุ่ยที่เดิมตามหลังทั้งสี่คนมา ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างมาก เธออดไม่ได้ที่จะพูดกับทุกคนที่มองด้วยความอิจฉาว่า พวกคุณดูสิ ลูกสะใภ้ฉันมีลูกแฝดชายหญิงด้วยนะ!
สนามหญ้าด้านหน้าออกใบใหม่แล้ว สีเขียวขจี ดูน่าสนใจอย่างมาก เฉียวโยวโยวจึงกล่าวว่า : “สีเย็น เราไปเล่นทางด้านนั้นกันเถอะ จะได้ปูผ้าให้เด็กๆกลิ้งเล่นได้!”
ฟู่สีเกอพยักหน้า ให้พี่เลี้ยงปูผ้าให้ดีๆ หลังจากนั้นก็วางเด็กๆลงไป
เด็กน้อยทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะอยากลงมาเล่นนานแล้ว แต่พวกเขายังไม่สามารถคลานได้ ทำได้เพียงแค่นอนอยู่ตรงนั้น แล้วขยับแขนขาไปมา
เฉียวโยวโยวเห็นว่าน่าสนุกดี จึงเข้าไปเล่นหยอกล้อกับพวกเขา
เด็กทั้งสองคนชอบหัวเราะ ตลอดการเล่นหยอกล้อของเฉียวโยวโยว พวกเขาก็หัวเราะกันคิกคักไม่หยุด
ฟู่สีเกอเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงเด็ดหญ้าเขียวๆมาหนึ่งต้น เอาไปจั๊กจี้เด็กๆ
ชั่วขณะก็หัวเราะดังขึ้น
และเสียงหัวเราะนี้ ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ชายคนหนึ่งที่จูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่
เมื่อเขาหันไป ก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคยอยู่บนสนามหญ้า ชั่วขณะก็ราวกับถูกมนตร์สะกดไว้
ตลอดหนึ่งปีมานี้ ไม่ใช่ฟู้เจียนปอจะไม่เคยคิดว่า การที่ได้เห็นเฉียวโยวโยวอีกครั้งจะเป็นอย่างไร
บางที ก็อาจจะเป็นการประชุมความร่วมมือของบริษัท เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นเธอนั่งอยู่ท่ามกลางลูกค้า และพวกเขาก็พยักหน้าทักทายกัน
หรือบางที อาจจะเป็นการเดินอยู่บนถนน และพวกเขาก็เดินผ่านกันไป เธอไม่เห็นเขา แต่เขากลับมองภาพด้านหลังของเธออย่างอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นเวลานาน
เขาเคยจินตนาการภาพต่างๆมากมาย แต่ไม่มีภาพที่ดูน่าสะเทือนใจเหมือนในเวลานี้
ที่ด้านหน้า เธอกำลังนั่งอยู่บนเสื่อ อยู่ด้วยกันกับผู้ชายคนนั้น หยอกล้ออยู่กับเด็กทั้งสองคน
เขาจำได้ว่า ผู้ชายคนนั้นชื่อฟู่สีเกอ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชอบใส่เสื้อผ้าลำลองตามแฟชั่น หวีผมสไตล์เรียบๆ เหมือนกับพวกเพลย์บอย
แต่ตอนนี้ ฟู่สีเกอนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงหน้าเด็กทั้งสองคน ให้เด็กๆดึงผมของเขาจนยุ่งเหยิง และเขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกไป แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขของคนเหล่านั้นที่อยู่บนเสื่อ
ความสุขนั้นทำให้สะเทือนใจอย่างมาก จนเขารู้สึกหายใจลำบาก
นานแล้วที่ไม่ได้เจอเฉียวโยวโยวเลย ฟู้เจียนปอคิดว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเพิ่งจะคลอดลูกมา เธอจึงอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย ผิวพรรณดีขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็สดใสมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะสดใสกว่าตอนนั้นที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเสียอีก
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมีลูกเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นแฝดชายหญิงด้วย!
ชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคน ช่างเหมาะเจาะพอดี ราวกับเป็นการบรรยายชีวิตความเป็นจริงของเธอในเวลานี้
ฟู้เจียนปออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดไป พวกเขาก็ไม่ต้องเลิกกัน ตอนนี้คนที่นอนอยู่บนเสื่อนั้น ก็อาจจะเป็นเขาใช่ไหม?
นึกถึงตรงนี้แล้ว จู่ๆหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมา
เดิมทีตลอดหนึ่งปีนี้สิ่งที่เขาพยายามจะลืมมันไป จนถึงกับว่าบางสิ่งที่ตนเองคิดว่าปล่อยวางได้แล้ว อันที่จริงมันไม่เคยห่างหายไปเลย
มันเป็นเพียงวิธีหนึ่ง ที่หยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งหัวใจ ปกติแล้วจะไม่รู้สึกอะไร แต่บางช่วงเวลา มันก็เจ็บปวดกว่าครั้งก่อนๆหลายเท่า จนเขาแทบจะหายใจไม่ออก!
เขารู้สึกผิดและเสียใจสุดๆ แต่พยายามทำเป็นว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวแล้วรู้สึกดีมาก แล้วก็พยายามห้ามตนเองว่าอย่าเข้าไปยุ่ง เพราะว่าไม่มีสิทธิ์และเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกต่อไปแล้ว!
ที่ด้านข้าง เด็กผู้หญิงตัวน้อยดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของพ่อ ด้วยเหตุนี้จึงเขย่าๆมือของฟู้เจียนปอ ร้องเรียกด้วยเสียงเล็กๆว่า : “พ่อ!”
ฟู้เจียนปอก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา
เขาระงับความเศร้าในใจ แล้วยิ้มพูดกับลูกสาวว่า : “หลัวหลัว มีอะไรเหรอ?”
เด็กผู้หญิงตัวน้อยชี้ไปที่สนามหญ้าทางด้านนั้น เธอมองไปที่ครอบครัวของเฉียวโยวโยว ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นดีใจ เหมือนกับว่าอยากจะเข้าไปเล่นด้วย
ฟู้เจียนปอรู้สึกประหม่า ความรู้สึกละอายใจผุดขึ้นมา
เขาไม่อยากเห็นการอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวคนอื่น เขาไม่อยากเสียหน้า แม้ว่าบางทีเฉียวโยวโยวอาจจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขามานานแล้วก็ตาม!
“ที่นั่นไม่สนุกหรอก พ่อจะพาหลัวหลัวไปเล่นที่อื่นดีไหม?” ฟู้เจียนปอพูดหลอกล่อ
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าทางด้านนั้นน่าสนุก มีเสื่อมีเด็ก และทุกๆคนก็หัวเราะกันอยู่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงบุ้ยปาก เอนตัวโผไปทางด้านนั้น ด้วยท่าทีร้อนใจ พูดอ้อแอ้ๆไม่หยุด
ดูเหมือนว่าการกระทำของพวกเขาจะค่อนข้างเสียงดัง จึงทำให้เฉียวโยวโยวและคนอื่นๆตกใจจนรู้สึกได้
เฉียวโยวโยวจึงหันมองไปตามเสียง
ชั่วขณะหนึ่งฟู้เจียนปอก็รู้สึก ราวกับว่าตนกำลังถูกแสงไฟสปอตไลต์แรงสูงสาดส่องเข้ามา ภายใต้แสงไฟอันเจิดจ้าความลับก็ถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่สามารถเก็บซ่อนไว้ได้เลยแม้แต่น้อย
เขาหยุดหายใจ ไม่ขยับเคลื่อนไหว จนถึงขั้นพูดไม่ออก
แต่เฉียวโยวโยวเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย ในทันใด ก็เคลื่อนสายตาออก ราวกับว่า เขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า
ในเวลานี้ เขาอยากเห็นแม้กระทั่งความเกลียดชังหรืออะไรสักอย่างในสายตาของเธอ
แต่ก็ต้องล้มเหลว
ไม่ว่าจะมีเขาอยู่หรือไม่ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ระลอกคลื่นภายในหัวใจของเธอสาดกระเซ็นขึ้นมาได้เลย
เธอปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้วโดยสิ้นเชิง
แต่เขา กลับไม่เคยปล่อยวางได้เลย กระทั่ง เพราะความสูญเสียที่เคยได้รับ ยิ่งกลายเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่มีวันลืมเลือน!
เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดเป็นกังวลอย่างชัดเจน เห็นพ่อไม่มีการตอบสนอง ในทันใด ก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา
ฟู้เจียนปอยิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาปลอบโยนเธอ เธอยิ่งร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ เขาจนปัญญา ทำได้เพียงอุ้มเธอไปยังสนามหญ้า
ในที่สุดเด็กน้อยก็หยุดร้องไห้ เมื่อเขาปล่อยเธอลง ก็เดินเตาะแตะเหมือนเด็กหัดเดิน มายังข้างๆเฉียวโยวโยว
“คุณน้า——” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย ฟู้เจียนปอยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกเพียงว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองถูกบดจนกลายเป็นโคลนไปแล้ว
“น่ารักจริงๆเลย!” เฉียวโยวโยวยิ้มให้หลัวหลัว: “อยากเล่นกับน้องชายและน้องสาวไหม?”
“ค่ะ” บนขนตาของหลัวหลัวยังแฝงไปด้วยคราบน้ำตา แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่เบ่งบาน เธอคลานเข้ามาบนผ้า เพื่อมาเล่นกับถางเป่าและหรงฉิว
ด้วยความบริสุทธิ์ของเด็ก จึงไม่รู้ถึงความรู้สึกภายในใจของผู้ใหญ่ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในอดีตแม้แต่น้อย
เฉียวโยวโยวชำเลืองมอง เห็นฟู้เจียนปอยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า: “ลูกสาวของคุณเหรอคะ?”
ฟู้เจียนปอพยักหน้า: “อืม”
มือของเขาที่อยู่ด้านหลัง กำแน่นจนกลายเป็นหมัด พยายามทำให้ตนเองดูสงบ ต้องการที่จะดึงศักดิ์ศรีกลับมา: “คุณมีลูกแฝดชายหญิงเหรอ?”
เฉียวโยวโยวพยักหน้า
และข้างๆ ฟู่สีเกอที่นำแขนวางไว้อยู่บนไหล่ของเฉียวโยวโยว ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักฟู้เจียนปอ แล้วกล่าวถามว่า: “คุณภรรยาที่รัก คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ?”
เฉียวโยวโยวถูกการเรียกชื่อของเขาทำให้รู้สึกน้ำเน่า ในความน่าหัวเราะ ยังยิ้มให้ฟู่สีเกอแล้วกล่าวว่า: “อืม เมื่อก่อนเคยเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ”
เมื่อก่อนเคยเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย……
ฟู้เจียนปอได้ฟังคำที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว กระแสน้ำที่เพิ่มขึ้นภายในใจของเขา ก็แข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็ง
นี่อาจจะเป็นคำจำกัดความของเขาที่อยู่ภายในใจเธอเวลานี้
ไม่ใช่เพื่อน แม้กระทั่งเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ใช่ เป็นเพียงแค่คนเคยพบกัน
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ เหมือนกับหลายต่อหลายครั้ง ที่พวกเขายังเป็นแฟนกัน สายตาลึกซึ้งอย่างมาก: “อืม เคยเจอกัน”
ไม่ใช่แค่เคยเจอ แต่ยังเคยรักอีกด้วย
เขากล่าวเสริมในใจ แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยออกมา
ฟู่สีเกอได้ฟังคำพูดของเฉียวโยวโยวแล้ว ก็ยิ้มให้ฟู้เจียนปอ แล้วแสร้งทำเป็นทักทายว่า: “สวัสดีครับ! เมื่อก่อนตอนเฉียวโยวโยวของฉันอยู่มหาวิทยาลัยคงมีชื่อเสียงมากเลยใช่ไหมครับ? แล้วเคยไปคบกับแฟนหนุ่มคนไหนบ้างไหมนะ?”
เฉียวโยวโยวฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็ใช้ข้อศอกกระแทกฟู่สีเกอเล็กน้อย
เขาแสร้งทำเป็นเจ็บ: “คุณภรรยา ฉันก็แค่ถามประวัติความรักของคุณเอง คุณลงไม้ลงมือแรงจัง!”
เมื่อเห็นคนทั้งสองเกี้ยวพาราสีกันเหมือนอยู่ตามลำพัง ฟู้เจียนปอก็ได้ยินเสียงเลือดภายในหัวใจ แต่เขาก็ยังคงจับจ้องเฉียวโยวโยวอยู่อย่างนั้น แล้วกล่าวว่า: “ฉันรู้ว่ามีคนหนึ่งที่เคยรักเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่ เพียงแต่ การรักข้างเดียวก็คงไม่สามารถนับว่าเป็นประวัติความรักได้หรอก!”
ฟู่สีเกอยิ้มมุมปาก: “มันแน่นอนอยู่แล้วครับ” เขาพูดพลาง โอบเฉียวโยวโยวมาไว้ในอ้อมกอด แล้วจูบประทับลงไปบนริมฝีปากของเธออย่างจริงใจ: “คุณภรรยา คาดไม่ถึงเลยว่าตอนคุณอยู่มหาวิทยาลัยจะได้รับความนิยมขนาดนี้!”
เฉียวโยวโยวถลึงตาใส่เขา เขายิ้มๆ แล้วยังไปจั๊กจี้เธออีก ในทันใด เฉียวโยวโยวก็ยอมจำนนอยู่ในอ้อมกอดเขา
ฟู่สีเกอคิดว่า ในที่สุดเขาก็ได้รับความทุกข์ในตอนนั้นกลับคืนไปทั้งหมด
หึ ในด้านความรัก เขาอาจจะเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง ถึงแม้ตัวเองจะเป็นผู้ชนะ แต่ในปีนั้น คาดไม่ถึงว่าฟู้เจียนปอจะใช้ประโยชน์จากการป่วยของแม่ทำให้เฉียวโยวโยวเปลี่ยนใจ เรื่องนี้ จึงไม่สามารถอดทนได้!
หลัวหลัวและเจ้าตัวน้อยสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับฟู้เจียนปอแล้ว กลับยิ่งทรมาน
เวลานี้ มือถือของเขาดังขึ้น เสี่ยวหยุนโทรเข้ามา
เขาหยิบมือถือขึ้นมากดรับ: “เสี่ยวหยุน?”
หญิงสาวกล่าวถาม: “เจียนปอ ฉันกลับมาจากไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว ตอนเย็นพวกเราจะทานข้าวที่บ้านหรือทานที่ไหนกันดี?”
“ได้หมด” ฟู้เจียนพูดจบ หัวใจก็ยิ่งรู้สึกหดหู่: “ที่บ้านแล้วกัน”
“โอเค งั้นตอนคุณกลับมา ซื้ออาหารกลับมาสักหน่อยนะ!”
“อืม” เขาตอบรับ
หญิงสาววางสายไป
ได้ยินเสียงตู๊ดๆที่ดังมาจากในสาย จู่ๆฟู้เจียนปอก็นึกขึ้นมาได้ทันที ถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นที่เขาอยู่ด้วยกันกับเสี่ยวหยุน
เพราะเธอชอบเขา จึงปฏิบัติดีต่อเขา ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หวั่นไหว แต่ในความหยิ่งยโสของผู้ชายก็ยังทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
เขาพูดโน้มน้าวตัวเองภายในใจว่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีเฉียวโยวโยว เขาก็สามารถมีความสุขได้
แต่ต่อมา สิ่งที่จำเป็นในชีวิตและลูก ก็ได้ครอบครองช่องว่างของชีวิตไปถึง80% พวกเขาเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน นานวันก็เริ่มที่จะไม่พูดคุยกันมากขึ้น
กระทั่งเขาคิดว่า ถ้าไม่มีหลัวหลัว บางทีพวกเขาก็อาจจะเลิกกันไปนานแล้วก็ได้?
เวลานั้น เขาก็เริ่มเสียใจอย่างมาก จินตนาการว่าถ้าหากคนที่แต่งงานด้วยคือเฉียวโยวโยว จะเป็นภาพแบบไหนกัน
แต่เวลานี้ เขาได้เห็นครอบครัวของฟู่สีเกอแล้ว จึงได้เข้าใจ
ที่แท้ การแต่งงานกับคนที่รัก คาดไม่ถึงว่าจะมีความสุขขนาดนี้
เพียงแต่ กาลเวลาไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้แล้ว และในการดำรงชีวิต ก็ไม่มีคำว่าถ้าหากเช่นกัน…..