ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 436 ปะป๊ากับคุณลุงที่ขี้หึงหวง
ส่วนหลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินนั้น หลังจากที่เข้าร่วมงานแต่งงานของวันที่สองแล้ว ก็นั่งเครื่องบินกลับอเมริกาไปแล้ว
เมื่อลงจากเครื่องบิน ทั้งสองคนตรงไปนั่งในรถของตระกูลเพอร์เซลล์ทันที เพื่อจะไปพบกับหวันหว่าน
หวันหว่านในตอนนี้พึ่งจะนั่งเครื่องบินกลับมาพร้อมกับโอหยางจวิ้น ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงก่ำ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เธอชอบนั่งเครื่องบินเป็นอย่างมาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลย เดิมเจ้าตัวน้อยนั้นไม่รู้อะไรเลย ในตอนแรกที่ตนเองนั่งเครื่องบินนั้นเกือบจะจมหายไปหลุมอากาศแล้ว
อีกทั้งสองสามวันมานี้ โอหยางจวิ้นไปทำงานเองก็พาเธอไปด้วย
ในห้องทำงานของเขานั้น มีเตียงของเด็กทารกอย่างดีสีชมพูอยู่โดยเฉพาะ มันกลับขัดกับสไตล์หรูหราสีขาวดำของตัวห้อง เผยให้เห็นถึงความสดใสที่แตกต่างอย่างชัดเจน
ดังนั้นแล้วคนทางฝั่งของเพอร์เซลล์ ต่างก็พากันเห็นกันจนชิดตาแล้ว เป็นเพราะว่า ในตอนที่จู่ ๆ โอหยางจวิ้นนั้นเปิดประชุมได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็บอกว่าหยุดก่อนสองสามนาที แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับตรวจสอบผ้าอ้อมของหวันหว่าน
ถึงแม้ว่าตอนนี้หวันหว่านนั้นใกล้จะหนึ่งขวบแล้ว น้อยครั้งนักที่จะทำให้ตนเองเปียกก็ตาม
ในตอนนี้ แสงอาทิตย์ของช่วงบ่ายสาดส่องใบหน้า หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินเดินเข้าไปหาหวันหว่าน เห็นใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่โอหยางจวิ้นกำลังอุ้มอยู่ หลังจากนั้น เขายื่นหน้าเข้าไปจุ๊บหนึ่งหน
ในแสงอาทิตย์ รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นสดใสบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
สือมูเฉินเริ่มหึงหวงขึ้นมาแล้ว
ลูกสาวของเขา กลับเป็นฝ่ายไปจุ๊บผู้ชายคนอื่นเสียแล้วเสียนี่!
แต่ทว่า เขากลับไม่ได้แสดงออกไป ดังนั้นแล้ว หัวใจจึงกระตุกเบา ๆ กำลังครุ่นคิดคำนวณว่าหวันหว่านนั้นยังคงต้องอยู่ที่ทางฝั่งตระกูลเพอร์เซลล์นี้อีกนานเท่าไหร่
“หวันหว่าน!” หลานเสี่ยวถางรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นแขนออกไป “คิดถึงมะม๊าไหมคะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยเห็นมารดาแล้ว ความน้อยใจภายในหัวใจก็ถูกแขวนเอาไว้ทันที ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา บทจะมาก็มา
“โอ๋ หวันหว่านไม่ร้องนะ มะม๊าก็ไม่ได้ไม่กลับมานี่นา?” หลานเสี่ยวถางตบเบา ๆ เข้าที่แผ่นหลังของเธอเป็นการปลอบใจ “ปะป๊า มะม๊ารักหวันหว่านมากเลยนะคะ ไม่ได้จะไม่เอาหวันหว่านหรอก!”
พูดไป เธอก็พุ่งเข้าไปหา ก่อนจะจุ๊บเข้าที่ใบหน้ารูปไข่ของเด็กหญิงตัวน้อย ข้างละหน
สือมูเฉินเองก็ยื่นมือเข้าไป ก่อนจะเข้าไปรับหวันหว่านมาจากอ้อมแขนของหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้น ก็ประทับริมฝีปากแล้วจุ๊บไปมา “เจ้าตัวน้อย ปะป๊ามีขอเล่นมาให้หนูด้วยนะ!”
หวันหว่านได้ยินดังนั้นแล้ว ดวงตาเป็นประกายสดใสทันที รอคอยอย่างสนใจ
สือมูเฉินราวกับว่าแปรเปลี่ยนเกมเลยก็ไม่ปาน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาของเล่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วส่งให้หวันหว่าน
เป็นไปตามคาดเลย เด็กหญิงตัวน้อยชื่นชอบเป็นอย่างมาก ก่อนเข้าไปรับมาอย่างดีใจ หลังจากนั้น คว้ากอดเข้ากับลำคอของสือมูเฉินเอาไว้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหา แล้วจุ๊บปะป๊าหนึ่งหน!
สือมูเฉินปีติ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางฝั่งของโอหยางจวิ้น
เป็นไปตามคาด โอหยางจวิ้นนั้นเห็นฉากทุกอย่างนี้หมดแล้ว คิ้วเรียวขมวดติดกันแน่น ใบหน้าแสดงความไม่สบอารมณ์
ถึงจะไม่สบอารมณ์ ลูกสาวก็นามสกุลสืออยู่ดี! สือมูเฉินคิดไป ความปีติภายในหัวใจก็พรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม หลังจากนั้น เขากับหลานเสี่ยวถางจึงหันไปพูดคุยกับหวันหว่าน ถึงแม้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยยังไม่สามารถพูดได้ก็ตาม
ในตอนนั้นเอง ประจวบเหมาะกับว่าเครื่องบินทหารของเพอร์เซลล์ลำหนึ่งบินขึ้น หวันหว่านได้ยินเสียงดังวุ่นวาย ดังนั้นจึงหันศีรษะไปมองด้วยความตื่นเต้น
ในตอนที่มองเห็นเครื่องบินออกตัวขึ้นบินนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยตื่นเต้นดีใจจนหันไปหาหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินแล้วชี้ไม้ชี้มือ ชี้มาที่ตนเอง ก่อนจะชี้ไปทางเครื่องบินอีกครั้ง สุดท้าย ก็ชี้ไปทางโอหยางจวิ้นที่อยู่ทางด้านข้าง
สือมูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หวันหว่านจะบอกว่า ให้คุณลุงจวิ้นพาหนูขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินเหรอคะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยได้ยินดังนั้นแล้วก็ราวกับว่าสือมูเฉินเข้าในความหมายของเธอเลยก็ไม่ปาน ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเตะเท้าไปมาในอ้อมแขนของสือมูเฉิน หลังจากนั้น ก็ชี้ไปที่เครื่องบินอีกครั้ง ก่อนจะชี้ไปยังโอหยางจวิ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางของความคาดหวังทั้งหมด
“หวันหว่านยังอยากที่จะนั่งเครื่องบินอีกหรือคะ?” สือมูเฉินเอ่ยถามอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยก็พยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด อีกทั้งยังตบมืออีกด้วย
หลานเสี่ยวถางได้ยินดังนั้นแล้ว ไฟโทสะในหัวใจก่อตัวขึ้นมาในทันที เธอเดินเข้าไปหาโอหยางจวิ้นทางด้านหน้า “คุณยังเป็นเด็กอยู่หรือไงคะ? คุณลืมไปแล้วหรือไงคะเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นตอนพวกเราขึ้นเครื่องบินกันน่ะ?!”
โอหยางจวิ้นหันไปแลบลิ้นใส่หวันหว่าน
ที่แท้เด็กน้อยก็ไม่สามารถกักเก็บความลับได้สินะ นี่มัน ถูกค้นพบแล้วใช่ไหมเนี่ย?
เขาหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “ครั้งนั้นก็เพียงแค่พบเข้ากับสภาพอากาศไม่ดีก็เท่านั้นเองนะครับ ดังนั้นก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมา ทางฝั่งเพอร์เซลล์เองก็มีการบำรุงรักษาเครื่องบินทุกครั้งเป็นอย่างดี อีกอย่างนะครับ ก่อนขึ้นบินเองก็ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่ผิดพลาดแน่ คำนวณขึ้นมาแล้ว อันที่จริงแล้วเครื่องบินนั้นปลอดภัยมากกว่ารถยนต์แล้วก็เรืออีกนะครับ!”
หลานเสี่ยวถางไม่ฟังคำอธิบายเหล่านี้ ในตอนแรก อุบัติเหตุของเธอกับหวันหว่านในครั้งนั้น มันฝังลึกลงในความทรงจำมากจริง ๆ ทำให้ในทุกครั้งที่เธอหวนกลับมานึกขึ้น ล้วนแล้วแต่มีความทรงจำไม่ดีต่อเครื่องบินทันที
“หวันหว่านถึงแม้ว่าจะถูกตระกูลเพอร์เซลล์บันทึกลงในแผนผังวงศ์ตระกูลแล้ว แต่ทว่า เธอเองก็เป็นลูกสาวของฉันนะคะ ฉันกับมูเฉินมีสิทธิ์ที่จะดูแลนะ ดังนั้น ถ้าหากว่าคุณยังนำชีวิตของเธอมาล้อเล่นต่ออีกละก็ ฉันไม่ถือนะคะที่พวกเราจะมาจับเข่านั่งคุยกันใหม่ แล้วพูดคุยกันเรื่องข้อตกลงของสัญญาน่ะ!” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน
“ต่างก็บอกกันว่าแม่ในตอนที่ปกป้องเรื่องของลูกแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งเกร็งที่สุด ก็ล้วนแล้วแต่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเลย!” โอหยางจวิ้นถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “เอาเถอะครับ ในเมื่อคุณพูดมาขนาดนี้แล้ว หลังจากนี้ผมจะระมัดระวัง”
หลานเสี่ยวถางนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าอ่อนข้อประนีประนอมมากขนาดนี้ หลังจากที่ชะงักไปหลายวินาทีแล้ว มองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหวันหว่าน หัวใจของเธอก็กระตุก เอ่ยว่า “แต่ว่านะคะ มันก็ต้องว่ากันเป็นเรื่อง ๆ ไปนี่นะ โอหยางจวิ้น ขอบคุณนะคะที่คุณดูแลหวันหว่าน!”
“เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วครับ” โอหยางจวิ้นตอบรับไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะสบตามองสือมูเฉินและหวันหว่านที่มีท่าทางต่อกันอยู่ รู้สึกเพียงแค่ว่าลูกน้อยของตนเองนั้นราวกับว่าถูกแย้งไปแล้วก็ไม่ปาน หัวใจรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงเอ่ยว่าจะกลับไปทำงานแล้ว หลังจากนั้นก็หมุนกายแล้วเดินจากไป
หลังจากนั้น สือมูเฉินก็อยู่เป็นเพื่อนหวันหว่านทั้งวัน เป็นเพราะว่าบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยนั้นยังมีเรื่องราวมากมายที่จะต้องจัดการ ดังนั้นแล้ว จึงไปกล่าวลากับแม่ลูกทั้งสองคน
ในตอนที่เขากำลังจะจากไปแล้วนั้นเอง จู่ ๆ หวันหว่านที่กำลังเล่นอยู่กลับร้องไห้ขึ้นมาทันที
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ใหญ่สองสามคนจึงพุ่งเข้าไปหาทันทีอย่างกุลีกุจอ
เห็นเพียงแค่มือของเด็กหญิงตัวน้อยนั้นถูกของเล่นทับเข้าจนเป็นแผลรอยหนึ่ง แต่ทว่ามันมีเลือดไหลออกมาแล้ว
โอหยางจวิ้นเห็นดังนั้นแล้ว ก็รีบให้ไปตามหมอที่ที่ชั้นหนึ่งขึ้นมาทำแผลทันที
หมอนั้นเป็นแพทย์ที่ทางฝั่งตระกูลเพอร์เซลล์พึ่งจะเชิญตัวมา เธอหยิบแอลกอฮอล์มาฆ่าเชื้อโรคให้กับหวันหว่าน “หนูน้อยจ๊ะ อาจจะเจ็บนิดหนึ่งนะจ๊ะ อดทนหน่อยนะ อีกประเดี๋ยวก็เสร็จแล้วจ้ะ……”
พูดกำลังปลอดประโลม แต่ทว่ากลับเห็นเพียงหวันหว่านที่มีหยาดน้ำตาไหลลงมา กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักนิด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
รอให้จัดการบาดแผลเสร็จแล้ว หมอจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูตัวน้อยชอบที่จะร้องไห้งอแงไหมคะ?”
หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “อย่างมากที่สุดเธอก็แค่สะอึกสะอื้นออกมาครู่หนึ่งค่ะ แทบจะไม่เคยแผดเสียงร้องไห้ดัง ๆ ออกมาเลยค่ะ”
โอหยางจวิ้นเองก็เอ่ยว่า “หวันหว่านเป็นเด็กดีมากครับ ถึงแม้ว่าจะไม่สบาย ก็น้ำตาไปสองสามหยดเท่านั้น ไม่เคยร้องไห้งอแงเลย”
หมอสงสัยหนักขึ้นไปอีก “แม้กระทั่งตอนที่เธอเกิดมา ก็ไม่เคยร้องไห้เสียงดังเลยหรือคะ?”
หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ในตอนที่คลอด ส่งเสียงร้องสะอื้นออกมาครู่นี้ค่ะ ค่อนข้างดังอยู่ ยามปกติแล้ว ร้องไห้เองก็จะเป็นเพียงแค่การสะอึกสะอื้นเท่านั้นค่ะ ไม่เคยร้องเสียงดังมาก่อนเลย”
สือมูเฉินเห็นว่าสีหน้าของหมอนั้นไม่ถูกต้อง หัวใจจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเล็กน้อย “มีจุดไหนที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่าครับ?”
หมอเอ่ยว่า “ฉันเคยทำแผลให้กับเด็ก ๆ มาเยอะค่ะ โดยปกติแล้วเมื่อแผลโดนแอลกอฮอล์ เด็กก็ล้วนแล้วแต่จะส่งเสียงร้องออกมา แต่ทว่า ฉันเห็นเธอน้ำตาไหลแต่ทว่ากลับไม่ส่งเสียงร้อง บวกเข้ากับที่พวกคุณบอกว่าเธอนั้นไม่เคยร้องไห้งอแงมาก่อนเลย ดังนั้นแล้ว ฉันจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าเสียงเธออาจจะมีปัญหา……”
หลานเสี่ยวถางได้ยินคำพูดของหมอดังนั้นแล้ว จู่ ๆ หัวใจทั้งดวงก็หนักอึ้งในทันที “เสียงมีปัญหาหรือคะ?”
จู่ ๆ เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ บ้านของเฉียวโยวโยวมีเจ้าตัวน้อยกันอยู่สองคน ในทุกครั้งที่หิวก็มักจะร้องไห้งอแงเสียงดัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่พวกเขาคลอดออกมาวันนั้น เด็กทั้งสองคนร้องไห้พร้อมกัน ดังนั้นแล้ว จึงต้องให้เธอช่วยให้นมแก่ถางเป่าทานหน่อย เป็นเพราะว่า ภายในตัวห้องพักผู้ป่วยนั้นเสียงดังจนไม่ไหวแล้ว
ส่วนหวันหว่าน ตั้งแต่หลังจากที่คลอดออกมา ราวกับว่าเสียงสะอื้นเล็ก ๆ บางครั้ง นอกจากนั้นก็มีเพียงแค่น้ำตาไหลแต่ไม่ส่งเสียเลย!
สือมูเฉินเองก็แทบจะคิดถึงตรงนี้ได้แล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจนั้นมีเกล็ดน้ำแข็งคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง
ในตอนแรก โจวเหวินซิ่วให้หลานเสี่ยวถางทานยาคุมมานานมากขนาดนั้น ส่วนหวันหว่านนั้นก็มาหลังจากที่หยุดทานยาไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น หรือว่า มันจะมีผลกระทบแล้วจริง ๆ?!
เรื่องที่โจวเหวินซิ่วจากไปนั้น เขาเองก็ไม่เคยเอ่ยมันกับหลานเสี่ยวถางมาโดยตลอด หลัก ๆ เลยก็เป็นเพราะว่ากลัวว่าหลานเสี่ยวถางไม่ยอมความคิดถึงเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้น ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไปที่หลุมฝังศพ เขานั้นก็ล้วนแล้วแต่ไปด้วยตนเอง
ถ้าหากว่า เป็นเพราะว่าโจวเหวินซิ่วขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าหวันหว่านในตอนนี้……
หัวใจของสือมูเฉินมีความเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็หันไปเอ่ยกับหมอด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราควรที่จะต้องตัดสินอย่างไรครับ ว่าหวันหว่านนั้นสุดท้ายแล้วเสียงจะมีปัญหาหรือเปล่า?”
หมอเอ่ยว่า “หมอประจำบ้านอย่างพวกเราสองสามคนนั้นย่อมไร้หนทางที่จะตัดสินค่ะ ดังนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือคุณพาเธอไปพบแพทย์เฉพาะทางดู แต่ว่าเธอสามารถได้ยินเสียงได้ อีกทั้งก็ยังสามารถที่จะส่งเสียงออกมาเล็กน้อยได้ด้วย ตัวฉันเองก็เลยรู้สึกว่าปัญหานั้นไม่น่าจะใหญ่มากค่ะ”
โอหยางจวิ้นพยักหน้าขึ้นลง หลังจากนั้น หันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “คุณรอครู่หนึ่งนะครับ ผมจะรับติดต่อแพทย์เฉพาะทางของทางตระกูลเดี๋ยวนี้เลย!”
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ทุกคนก็อุ้มหวันหว่าน ก่อนจะไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางที่อยู่ในเครือของตระกูลเพอร์เซลล์
หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่หัวใจของตนเองนั้นไม่เคยมีความวิตกมากขนาดนี้มาก่อนเลย หวันหว่านเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ ถ้าหากว่าเสียงของหวันหว่านนั้นมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ๆ เด็กหญิงตัวน้อยน่ารักมากขนาดนี้ไม่สามารถพูดไป นั่นมันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเป็นอย่างมากแน่ ๆ!
หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ทุกคนตื่นตูมไปเอง!
ในห้องรักษา หวันหว่านถูกหมอรับไปหา สัญชาตญาณของเด็กหญิงตัวน้อยนั้นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย สบตามองหลานเสี่ยวถางด้วยสายตาที่น่าเวทนา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยม่ายน้ำตา
หลานเสี่ยวถางทนดูไม่ได้ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามหมอว่า “หมอคะ ประเดี๋ยวตรวจสอบดูนี่จะเจ็บไหมคะ?”
หมอเอ่ยว่า “คุณผู้หญิงวางใจได้ครับ ไม่เจ็บเลย แต่ทว่าเพื่อให้เด็กให้ความร่วมมือ อาจจะจำเป็นต้องตีก้นสองสามที”
ในตอนที่หลานเสี่ยวถางถูกแยกออกมา ในตอนที่หมอทำการตรวจหวันหว่านเพียงคนเดียวนั้น ในที่สุดเด็กหญิงตัวน้อยก็อดทนไม่ไหวแล้ว ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง
แต่ทว่า ไม่ว่าจะร้องหรือว่าถูกตีก้นอย่างไร เธอนั้นล้วนแล้วแต่เพียงแค่สะอื้นออกมาเท่านั้นจริง ๆ
สีหน้าของหมอนั้นมีความสงสัยอยู่หนักมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงให้หวันหว่านนั้นทานยาที่ไม่ได้ส่งผลทำร้ายต่อเด็กไปหนึ่งช้อน หลังจากที่เธอหลับไปแล้ว ก็เริ่มใช้เครื่องมือมาตรวจสอบเสียงของเธออย่างละเอียด
เนิ่นนาน ประตูห้องเปิดออกแล้ว หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินมองไปทางหมออย่าตื่นตระหนก
“เสียงของคุณหนูตัวน้อยมีปัญหาจริง ๆ ครับ ถือว่าเป็นปัญหาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด” หมอเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าหมองเล็กน้อยว่า “โรคแบบนี้ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบครับ แต่ไม่ถือว่าบ่อยนัก ดังนั้นแล้ว สามารถทำการรักษาได้ครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังคงไม่สามารถรักษาได้ก็เท่านั้นเอง”
ร่างกายของหลานเสี่ยวถางซวนเซเล็กน้อย ก่อนจะถูกสือมูเฉินคว้าจับเอาไว้
หัวใจของเขาบีบรัดตัว แต่ก็ยังคงเอ่ยถามออกไปอีกครั้งว่า “หมอครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วจะสามารถทำการรักษาได้เมื่อไหร่ครับ? เปอร์เซ็นต์ในการรักษาเป็นอย่างไรครับ?”
หมอเอ่ยว่า “เป็นเพราะว่าเด็กยังอยู่ในช่วงของการพึ่งเกิดมาครับ รอให้ถึงวัยหนุ่มสาวก่อน เสียงก็จะเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ถ้าหากว่าทำการผ่าตัดไป ในตอนที่ถึงช่วงวัยหนุ่มสาวแล้ว อาจจะสามารถเกิดปัญหาขึ้นมาได้อีกครั้ง ตอนนี้ในเคสของนานาชาติ ก็ล้วนแล้วแต่ทำการผ่าตัดกันในช่วงวัยหนุ่มสาวกันทั้งนั้นครับ เปอร์เซ็นต์ในการรักษาก็อยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วก็จะบอกว่า เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ จนไปถึงวัยหนุ่มสาวของหวันหว่าน ก็จะไม่สามารถพูดได้หรือครับ?” โอหยางจวิ้นเอ่ยถาม
หมอพยักหน้า “ขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยครับ ตอนนี้เทคโนโลยีของพวกเรานั้น ก็ไม่สามารถทำการผ่าตัดให้กับเด็กเล็กมากขนาดนี้ได้เลยครับ เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องของในอนาคตทั้งชีวิต ดังนั้นแล้ว การผ่าตัดจำเป็นต้องรับประกันการผ่าตัดให้ได้ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงจะโอเคครับ”