ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 484 ไม่อยากรังแก มีแต่อยากปกป้องเธอ
ในที่สุดสือจินหว่านก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองทางโอหยางจวิ้น
ชั่วพริบตานี้ จู่ ๆเขาก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง
ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศก็เงียบสงัดลง จนในที่สุดโอหยางจวิ้นคิดได้อธิบายไปครึ่งคำ“หวันหว่าน ที่จริงอาไม่ได้…”
แต่ตอนที่รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอธิบายอะไร จู่ ๆกลับนิ่งไป
เขาอธิบายเรื่องนี้กับเธอทำไม? และเหมือนเมื่อกี้เขาทำเรื่องผิดไป
โอหยางจวิ้นส่ายหน้า แล้วพูดว่า“ขอโทษ อาไม่ควร…ต่อหน้าหนูกับเฉียวซือ อาที่เป็นผู้ใหญ่ ควรหลีกเลี่ยง”
ดังนั้นความหมายของเขาคือ วันหลังเขาจะใกล้ชิดมู่ยวี๋ฮั่น ลับตาเธอกับเฉียวซือเหรอ?
สือจินหว่านนึกถึงตรงนี้ รู้สึกความอึดอัดที่อยู่ในใจไม่ดีขึ้นไม่พอ กลับยิ่งทรมานขึ้นอีก
เธอกำกระโปรงว่ายน้ำตัวเองแน่น กำอยู่นานถึงพยักหน้า
เฉียวซือพูดถูก เดิมพวกเขาก็เป็นว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ทำเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก
และพวกเขาเหลือเวลาแค่เดือนกว่าก็แต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ?
หลังจากนี้ พวกเขาจะอยู่ห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน ยังมีลูกที่เป็นของพวกเขา
ที่จริงของพวกนี้ เธอก็รู้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมเมื่อกี้เธอเห็นฉากแบบนั้นถึงยังรู้สึกทรมานอยู่?
สือจินหว่านพยายามฝืนลมหายใจตัวเองให้สม่ำเสมอ เธอเงยหน้าสบตากับโอหยางจวิ้น“ค่ะ หนูรู้แล้ว คุณอาจวิ้นวันหลังหนูไปหาคุณอา จะเคาะประตูก่อน คุณอาไม่ต้องห่วง จะไม่มีวันเกิดเรื่องแบบเมื่อครู่อีก”
ได้ยินน้ำเสียงเบาที่เธอพูดอย่างรู้ความ จู่ ๆโอหยางจวิ้นก็รู้สึกดีใจไม่ลง
สายตาเขาจ้องเขม็งที่สือจินหว่าน“หวันหว่าน งั้นหนู…”
เธอกัดริมฝีปาก แล้วพูดว่า“หนูไม่ใช่เด็กแล้ว หนูเข้าใจทุกเรื่องดี คุณอา กลับไปอยู่เป็นเพื่อนคุณน้ามู่เถอะ ไม่ต้องสนใจหนู”
พูดอยู่ เธอยกริมฝีปากยิ้มออกมาให้เขา เพียงแต่นัยน์ตาที่สวยงามกลับเศร้า
โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางเธอพยายามฝืนยิ้ม ความสงสารก็พุ่งขึ้นในใจ แต่เขาไม่ได้เดินหน้า ถึงขนาดไม่แม้แต่กอด เพียงแค่ตบที่ไหล่สือจินหว่านเบาๆ แล้วพูดว่า“ตกลง งั้นหนูเล่นกับเฉียวซือให้สนุก อาขอตัวก่อน”
เขาพูดจบ ลุกขึ้นเห็นหัวไหล่ของสาวน้อยสั่นไหวเล็กน้อย
สั่นไหวเล็กน้อย แต่โอหยางจวิ้นเหมือนโดนลวก รีบเก็บสายตา กลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
สือจินหว่านได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกไป สูดหายใจลึกๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า
ตรงนั้น มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านต้นไม้เป็นลายทาง เธอยกมือที่มีน้ำหยดน้ำ มองหยดน้ำที่สะท้อนหลากหลายสีออกมา แยงตาเล็กน้อย
เพิ่งดูได้ครู่เดียว เฉียวซือก็เข้ามา เขาพูดกับเธออารมณ์คึกคัก“หวันหว่าน บ่อออนเซ็นข้างๆใหญ่มาก พวกเราไปด้านนั้นเถอะ มีว่ายน้ำกับโต้คลื่น”
เธอเหมือนกลัวตัวเองจะว่าง รีบลุกขึ้น “ตกลง”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนไปเล่นบ่อออนเซ็นข้างๆด้วยกัน
อยากที่คิด ด้านบนมีสะพานเล็กๆ ยังมีลำธารคดเคี้ยวเหมือนงู
“หวันหว่าน ว่ายน้ำแข่งกันไหม?”เฉียวซือเสนอ
สือจินหว่านพยักหน้า โดดลงไปอย่างรวดเร็ว
“พอๆ ฉันให้เธอนำ เธอว่ายไปถึงต้นไม้ต้นที่ 3 ฉันค่อยออกตัว”เฉียวซือพูดอยู่ เห็นสือจินหว่านว่ายไปไกล ถึงเริ่มไล่ตาม
ดังนั้น ทั้งสองคนเหมือนว่ายน้ำในบ่อออนเซ็นโดยตลอด จนถึงสือจินหว่านรู้สึกเหนื่อยนิดๆ ไม่หยุดไม่ได้
แต่เพิ่งหยุด ในหัวเธอก็ฉายภาพเมื่อกี้ที่เห็นขึ้นอีกครั้ง
ถึงขนาดที่เธอคิดว่า ตอนนี้ทางด้านโอหยางจวิ้นกับมู่ยวี๋ฮั่นทำอะไรอยู่?ยังจูบกันอีกหรือเปล่า หรือยังทำอะไรที่ใกล้ชิดกันมากกว่านั้น?
“หวันหว่านไม่สบายหรือเปล่า?”เฉียวซือเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี อดไม่ได้ที่จะถาม
สือจินหว่านได้สติ ส่ายหน้า ยิ้มให้เขา“ฉันไม่เป็นไร แค่หิวนิดหน่อย”
“งั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”เฉียวซือปีกขึ้นจากน้ำ ยื่นมือให้สือจินหว่าน“หวันหว่าน ฉันดึงเธอ”
เธอวางมือที่ฝ่ามือเขา ลุกขึ้นตามเฉียวซือไป
เขาดึงมือเธอไปข้างนอก ยื่นผ้าขนหนูให้ เธอเอามาพันบนตัว ตอนเดินไปถึงทางเข้า กลับหยุดฝีเท้าลง
“เป็นอะไรไป?”เฉียวซือพูดงงๆ
“ฉันกลัวพวกเขากำลัง…”สือจินหว่านพูดอธิบาย กลับพบว่าตัวเองพูดต่อไปไม่ได้
“ฮ่าๆ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นฉันเข้าไป”เฉียวซือหัวเราะ พูดอยู่รีบวิ่งเข้าไป ไม่นานก็วนกลับมา “หวันหว่าน มาเถอะพวกเขาแค่กำลังคุยกัน”
สือจินหว่านถอนหายใจโล่ง เดินตามเฉียวซือออกไป แต่ไม่รู้ทำไม ที่ผ่านมาเธอเห็นโอหยางจวิ้นก็จะเรียกเขาเป็นสิ่งแรก ตอนนี้กลับยิ้มให้มู่ยวี๋ฮั่นไป
“หวันหว่าน เฉียวซือ หิวแล้วใช่ไหม?”โอหยางจวิ้นลุกขึ้น “ได้ยินว่าที่นี่ทำอาหารทะเลอร่อย พวกเราไปชิมกัน”
ทุกคนกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพร้อมกัน เพราะทุกคนพักที่บ้านเดี่ยว เดิมก็มี 4 ห้องนอนอยู่แล้ว สือจินหว่านกับมู่ยวี๋ฮั่นอยู่ชั้นบน โอหยางจวิ้นกับเฉียวซืออยู่ชั้นล่าง ดังนั้นต่างกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด
สือจินหว่านนั่งอยู่หน้าโต๊ะแป้ง กำลังเป่าผมของตัวเอง ก็มีผมยาวไม่กี่เส้นติดบนริมฝีปาก
เธอยื่นมือไปจัด ตอนที่สัมผัสโดนริมฝีปาก จู่ ๆก็ตกใจ
ริมฝีปากของคุณน้ามู่ก็แดงเหมือนกัน ถ้างั้นตอนคุณอาจวิ้นจูบ จะดูดดื่มหรือเปล่า จะเหมือนคู่รักคู่อื่นในทีวี อยากทำเรื่องอื่นไหม…
ความคิดนี้ทำให้เธอนิ่งไป จนกระทั่งนิ้วมือโดนความร้อนจากไดร์เป่าผม สือจินหว่านถึงได้สติขึ้น
เธอรีบกดหัวใจที่เต้นเร็ว หวีผม จัดชุดเสร็จ เดินออกมา
สองคนชั้นล่าง แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอไม่กี่นาที มู่ยวี๋ฮั่นก็ลงมา ดังนั้น ทุกคนไปร้านอาหารพร้อมกัน
ตอนไปกินข้าว ทุกคนต่างยิ้มและหัวเราะ แต่บรรยากาศวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ
ยังมีมู่ยวี๋ฮั่นกับเฉียวซือพูดถึงเรื่องกองกำลังทหาร บรรยากาศถึงคึกคักขึ้นมา
โอหยางจวิ้นพูดคล้อยตามเป็นบางครั้ง ตอนกินข้าวกลับเงยหน้ามองไปทางสือจินหว่านเป็นพักๆ
สาวน้อยกินข้าวเงียบๆมาโดยตลอด เหมือนมีเรื่องหนักใจ และก็เหมือนไม่ได้คิดอะไร
เขาพอเข้าใจทำไมเธอเป็นแบบนี้ แต่กลับไม่กล้าค้นหาลึกลงไป
จนกระทั่งทุกคนกินเสร็จ สือจินหว่านว่างถ้วยตะเกียบ ลูบท้องยิ้มให้ทุกคน “กินจนท้องแน่น”
มู่ยวี๋ฮั่นอดพูดไม่ได้“หวันหว่าน อาหารวันนี้ถูกปากมากใช่ไหม น้าเห็นหนูก้มหน้า กินตลอดเวลาเลย”
เธอพยักหน้า“อืม หนูค่อนข้างชอบ”
มู่ยวี๋ฮั่นพูดคล้อยตาม“ก็จริง เด็กผู้หญิงอายุ12-13เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเติบโต น้าจำได้ตอนนั้น เหมือนน้าจะกินจุ จนคนในบ้านเห็นแล้วตกใจบ่อยๆ”
เฉียวซือเสริม“ใช่ ผู้หญิงในห้องพวกเราตอนเที่ยงกินกันเยอะมาก ที่จริงหวันหว่านถือว่ากินน้อยเกินไป ดังนั้นถึงผอมขนาดนี้”
พูดอยู่ เขายื่นมือไปจับข้อมือของสือจินหว่าน พูดขำๆ“บางจนเหมือนใช้แรงเบาๆก็หักได้”
“แต่ผู้หญิงตัวบางก็ดีเหมือนกัน”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ทำให้คนอยากปกป้องได้ง่ายๆ ไม่เหมือนน้า คนในบ้านชอบบอกว่าน้าเหมือนผู้ชาย ดังนั้นตอนเรียนหนังสือ ไม่มีใครจีบน้าเลย”
“คุณน้ามู่พูดถูก”เฉียวซือมองทางสือจินหว่าน“ตั้งแต่เด็กผมก็รู้สึกหวันหว่านดูตัวเล็กๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ากระจกร้านค้า และหน้าตาไม่เหมือนพวกเรา ไม่อยากรังแก มีแต่อยากปกป้องเธอ”
จู่ ๆสือจินหว่านก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า เธอหนีสายตาของเฉียวซือ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่หันหน้าก็เห็นโอหยางจวิ้นกำลังมองเธออยู่
ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เธอรู้สึกเหมือนในใจมีของอะไรถูกพลิกคว่ำ เธอรีบพยุงขึ้น แล้วเก็บสายตา พูดว่า“ยุคสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ผู้หญิงก็ต้องปกป้องตัวเอง”
“พูดถูกต้อง”มู่ยวี๋ฮั่นพูด “น้าก็คิดแบบนี้มาโดยตลอด”
ทุกคนคุยกันอีกสักพัก ถึงลุกออกจากร้านอาหาร
เพราะยังไม่ดึกมาก ดังนั้นทุกคนไปเดินเล่นรอบๆวิลล่าสักพัก จนกระทั่งสีท้องฟ้ามืดลง ถึงกลับวิลล่า
สือจินหว่านเดินเข้าห้อง หยิบมือถือออกมาเล่นสักพัก จู่ ๆก็รู้สึกเบื่อไม่มีอะไรทำ
เข้าเรียนก่อนหน้านี้ ตอนกลางคืนเธอจะส่งข้อความให้โอหยางจวิ้นเป็นบางครั้ง แม้ว่าที่จริงไม่ได้คุยอะไร แต่กลับทำให้การเรียนในหนึ่งวันเต็มไปด้วยสีสัน
แต่ตอนนี้ รู้ว่าเขาอยู่ชั้นล่างแท้ๆ ระยะใกล้ขนาดนี้ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนไกล
เธอเดินไปถึงระเบียง เงยหน้ามองพระจันทร์ที่สว่างอยู่บนท้องฟ้า จู่ ๆก็คิดถึงฉากที่พวกเธอคุยกัน โอหยางจวิ้นอยู่ระเบียงถัดไป ตอนที่เธอยังพูดไม่เป็น
เหมือนมีคนที่คิดถึงอยู่ในใจ เธอยันตัวขึ้น อย่างระมัดระวัง นั่งบนระเบียง
ลมกลางคืนพัดมา พาไอน้ำของออนเซ็นมา เหมือนทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมาก
เธอเข้าใจ เธอยืนอยู่ที่เดิมตลอดไปไม่ได้ ไม่โตขึ้นไม่ได้ ก็เหมือนเขาอยู่เป็นเพื่อนเธอเหมือนตอนเด็กๆไปตลอดไม่ได้
พวกเขา สุดท้ายก็ต้องมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง
แม้ว่า ตอนที่คิดได้ เธอรู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวดจนอยากร้องไห้
สือจินหว่านเปิดเพลงในมือถือ ฟังอย่างเงียบๆไปพลาง ไถเวยป๋อไปพลาง
มีเสียงอ่อนโยนอยู่ข้างหู ข้างตัว มีลมกลางคืน เธอมองทีละแถวอย่างไม่ใส่ใจ กลับเห็นเรื่องสั้นในนิตยสาร จู่ ๆหัวใจก็เต้นช้าลงไปหนึ่งจังหวะ
“มีไหมสักหนึ่งคน ตอนเธอเข้าใกล้ เธอจะวุ่นวายใจจนอยากกระโดด ตอนห่างไกลจากเธอ เธอจะร้องไห้อย่างเสียใจ”
“มีไหมสักหนึ่งคน ทำให้เธอ ยิ้ม โมโห เศร้า มีความสุข เป็นทุกแสงสว่างบนโลกของเธอ”
“เธอจะหัวเราะโง่ๆอยู่ค่อนวัน เพราะเขาพูดกับเธอมากขึ้นหนึ่งประโยค หึงจนร้องไห้เพราะเขายิ้มให้ผู้หญิงคนอื่น”
“เพียงเพราะเธอชอบเขา ยกคำพูดทั้งหมดที่ไม่กล้าพูดให้กับเขา”
จู่ ๆมือถือก็ไหล่ตกจากฝ่ามือ สือจินหว่านยื่นมือไปเก็บตามสัญชาตญาณ แต่จู่ ๆเธอก็ลืมว่าตัวเองอยู่บนระเบียงชั้นสอง ก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ร่วงลงมาทางชั้นล่าง
“ว้าย!”เสียงลมข้างหูและทิวทัศน์รอบๆผ่านไปรวดเร็วทำให้เธอตื่นตกใจ ตอนถึงพื้น แม้ว่าเธอจะหมอบลงตามสัญชาตญาณเพื่อลดแรงกระแทก แต่ยังคงรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ดี