ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 100 ซื้อห่าน
ตอนที่ 100 ซื้อห่าน
เมื่ออาการดีขึ้น เว่ยหานก็เอ่ยถาม “แน่ใจนะว่าห่านขาวที่คุณหนูลั่วเลี้ยงตรงตามคุณสมบัติ?”
สือเยี่ยนพยักหน้า “ขอรับ ห่านขาวที่คุณหนูลั่วเลี้ยงชื่อต้าไป๋ มันถูกซื้อมาเล่นแข่งห่านชนจากหมู่บ้านสกุลหวังเมื่อสี่ปีก่อน ทันทีที่มันมาถึงก็เอาชนะห่านทุกตัวในเมืองหลวง ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จนเมื่อคุณหนูลั่วเปลี่ยนงานอดิเรก มันก็หายไปจากสายตาผู้คนที่ชอบเดิมพัน”
“เปลี่ยนงานอดิเรก?”
สือเยี่ยนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเตือนเขาอย่างรู้ใจ “ต่อมาคุณหนูลั่วก็เริ่มเลี้ยงผู้ชายขอรับ…”
เริ่มจากเลี้ยงห่านไปเลี้ยงผู้ชาย คุณหนูลั่วข้ามไปไกลจริงๆ
เว่ยหานเงียบ พูดหน้าขรึมว่า “พูดต่อ”
“ข้าน้อยไปถามหมู่บ้านสกุลหวัง คนในหมู่บ้านบอกว่าเลี้ยงต้าไป๋มาเจ็ดแปดปีแล้ว เนื่องจากเป็นห่านดุช่วยเฝ้าหมู่บ้านได้ มันยังเคยกัดสุนัขจิ้งจอกที่มาแอบกินไก่หลายตัว เจ้าของจึงฆ่ามันไม่ลง คุณหนูลั่วจึงมาซื้อมันไปภายหลัง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าสือเยี่ยนเปลี่ยนไปอย่างอัศจรรย์ “นายท่าน รู้หรือไม่ว่าคุณหนูลั่วซื้อต้าไป๋ด้วยเงินเท่าไร”
เว่ยหานไม่ได้ตอบ เพียงแค่หรี่ตามองสือเยี่ยนเงียบๆ
สือเยี่ยนเหยียดนิ้วชี้ออกมาด้วยสีหน้าทั้งเศร้าและโมโห “หนึ่งพันตำลึง เงินหนึ่งพันตำลึงถ้วน!”
เงินหนึ่งพันตำลึงคือราคาซื้อห่านหนึ่งตัวหรือ นั่นมันเพียงพอสำหรับนางโลมหนึ่งคนแล้ว!
องครักษ์น้อยยิ่งคิดยิ่งเศร้าและโมโห
“นายท่านดูสิ ต้าไป๋ถูกเลี้ยงในหมู่บ้านสกุลหวังมาเจ็ดแปดปี แล้วก็ถูกคุณหนูลั่วเลี้ยงมาสี่ปี คำนวนดูแล้วไม่ถึงสิบสองปีก็น่าจะใกล้เคียง”
เว่ยหานพยักหน้าเบาๆ เมื่อคิดว่าต้องถูกคุณหนูลั่วแกล้งอีกครั้งก็เจ็บใจ ถามว่า “ที่อื่นเล่า”
สือเยี่ยนยิ้มขมขื่น “นายท่าน นอกจากจวนสกุลลั่วแล้ว หากท่านหาห่านขาวที่มีอายุเกินหกปีเจอในระยะร้อยลี้ก็ตีขาข้าน้อยได้เลย”
นอกจากต้าไป๋ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะว่างจนเลี้ยงห่านธรรมดาๆ ตัวหนึ่งให้แก่ขนาดนั้น ฆ่ากินไม่ดีกว่าหรือ
เมื่อคิดถึงช่วงนี้ที่วิ่งตามหาจนขาแทบขาด สือเยี่ยนก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริง
เว่ยหานเงียบครู่หนึ่งก่อนจะพูดราบเรียบว่า “ในเมื่อเช่นนี้ ช่วยข้านัดคุณหนูลั่วที่หอสุราเดิม”
สือเยี่ยนไม่ได้ขานตอบในทันที แต่เตือนอย่างระมัดระวังว่า “บะหมี่ผัดเครื่อง ถ้วยละหนึ่งร้อยตำลึง”
ไม่ต้องพูดมาก นายท่านเข้าใจ
เว่ยหานหน้านิ่งขรึม
“นายท่าน ถึงอย่างไรก็ต้องการแค่เลือดห่านเพียงเล็กน้อย หรือไม่เราไม่ต้องบอกคุณหนูลั่ว ข้าน้อยลอบเข้าไปจวนสกุลลั่วขโมยเลือดมาก็พอ”
เขากลัวนายท่านเสียเงินสินสอดไปหมด เทียบกันแล้วเขาเสียสละตนเอง ยอมเป็นสุภาพบุรุษขโมยเลือดห่านเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป
เว่ยหานเหลือบมองสือเยี่ยนด้วยสายตาเฉียบคม ชี้ไปที่ประตู “ออกไป”
สือเยี่ยนถอนหายใจ
ไม่เห็นด้วยสินะ นายท่านรักศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว
หากเว่ยหานรู้ว่าองครักษ์ประจำตัวคิดอะไร คงไล่เจ้าบัดซบคนนี้ไปขัดถังส้วมอีกครั้ง
เขารักศักดิ์ศรีที่ไหน เขาแค่ไม่อยากทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้น
ไปจวนสกุลลั่วเพื่อขโมยเลือดห่าน เขาจนมากหรืออย่างไร
หากคุณหนูลั่วแค่ต้องการเงิน เขาผู้เป็นถึงชินอ๋องมีหรือจะจ่ายไม่ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าต้องการสิ่งอื่นหรือไม่นั้น… เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องน่าปวดศีรษะนี้เป็นการชั่วคราว
ไม่ว่าอย่างไร โรคของเขาต้องรักษาให้หาย
โค่วเอ๋อร์เป็นคนนำจดหมายนัดพบกลับมาเหมือนเดิม
โค่วเอ๋อร์ละเอียดรอบคอบ สองสามวันนี้คอยดูแลจัดการงานหอสุรา ระหว่างทางกลับจวนจู่ๆ ก็มีคนยัดจดหมายใส่มือ นางรู้ทันทีว่าเป็นจดหมายของคุณหนู
ขณะที่ลั่วเซิงอ่านจดหมาย สาวใช้พร่ำบ่นข้างกายไม่หยุดว่า “ไคหยางอ๋องทำแบบนี้แย่จริงๆ เหตุใดจึงทำตัวลับๆ ล่อๆ ทุกครั้งที่ส่งจดหมายเช่นนี้นะ…”
หงโต้วพยักหน้าเห็นด้วย “แย่จริงๆ ไม่ใช่แค่ไคหยางอ๋องที่แย่ องครักษ์ประจำตัวเขาก็เช่นกัน ครั้งที่แล้วส่งเงินมาที่จวน ยังแสร้งไม่รู้จักข้า”
“แสร้งไม่รู้จักหรือ”
“ใช่ ทั้งๆ ที่ระหว่างทางเข้าเมืองหลวงอยู่ด้วยกันหลายวัน คิดว่าเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมแล้วข้าก็จะจำไม่ได้ว่าเขาคือเจ้าคนไม่เอาถ่านคนนั้นหรือ”
โค่วเอ๋อร์จุ๊ปากส่ายศีรษะ “โมโหไม่ไว้หน้าใครนี่แย่จริงๆ นะ…”
ลั่วเซิงอ่านจดหมายเสร็จก็ตกอยู่ภวังค์
หมอเทวดาตรวจวินิจฉัยให้ไคหยางอ๋องแล้ว เรื่องของพวกเขาสองคนถือว่าหายกัน จู่ๆ ไคหยางอ๋องนัดเจอนางทำไมอีก
เอ่อ ที่บอกว่าหายกัน แค่จุดอ่อนเรื่องจวนสกุลหลินตัดต้นไม้ยังไม่ถึงคราวต้องใช้ต่างหาก เมื่อถึงคราวจำเป็นค่อยว่ากัน
ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจรับนัดไคหยางอ๋อง
นางไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้พูดคุยกับคนราชสำนักไปแน่นอน โดยเฉพาะไคหยางอ๋อง ดูเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ หากว่าได้ผลประโยชน์อะไรเล่า
ณ หอสุราที่ไม่สะดุดตาที่เดิม ทั้งสองพบกันอีกครั้ง
“คุณหนูลั่วเชิญดื่มชา” เว่ยหานยกกาน้ำชาขึ้นรินน้ำชาจอกหนึ่งให้
ลั่วเซิงยื่นมือไปรับ จิบเบาๆ
ชาไม่ค่อยอร่อย แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ท่านอ๋องนัดเจอข้ามีอะไรหรือ”
เว่ยหานเงียบครู่หนึ่ง พูดว่า “มีเรื่องๆ หนึ่งอยากถามคุณหนูลั่ว”
“ท่านอ๋องเชิญพูด”
“ไม่รู้ว่าต้าไป๋ที่คุณหนูลั่วเลี้ยงอายุเท่าไรแล้ว”
ต้าไป๋?
ครานี้ ลั่วเซิงเกือบจะคิดว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว
หากนางจำไม่ผิด จวนสกุลลั่วมีเพียงตัวเดียวที่ชื่อต้าไป๋ นั่นก็คือห่านสีขาวตัวใหญ่ที่คุณหนูลั่วเลี้ยง
“ท่านอ๋องหมายถึงห่านขาวที่ข้าเลี้ยงตัวนั้นหรือ”
“ใช่” เว่ยหานสีหน้าไร้อารมณ์ พยายามทำตัวสงบนิ่ง
เขาเคยอยู่ในสถานการณ์สำคัญมากมาย แต่การถามเรื่องห่านขาวที่ผู้อื่นเลี้ยงอย่างจริงจัง เขาไม่มีประสบการณ์เลยจริงๆ
โชคดีที่คุณหนูคนนี้คือคุณหนูลั่ว
เอ่อ ไม่ใช่เพราะเขาสนิทสนมกับคุณหนูลั่ว แต่เพราะการต้องอับอายต่อหน้าคนคนเดิมครั้งแรกและครั้งที่สอง คงไม่ได้ต่างอะไรมากนัก
อย่างเช่นซื้อกริช หรืออย่างเช่นค้างค่าอาหารสามพันห้าร้อยตำลึง
เงินสามพันห้าร้อยตำลึงซื้อร้านละแวกที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวงยังเหลือเฟือ มีใครพกเงินมากมายเช่นนี้ติดตัวทุกวันกัน
แน่นอนว่าเขาต่างจากผู้อื่น ปกติแล้วเขาพกตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นอย่างน้อย วันนี้เพื่อจะซื้อห่านขาวของคุณหนูลั่ว เขาพกตั๋วเงินมาห้าหมื่นตำลึง
“ต้าไป๋… น่าจะมีอายุเกือบสิบสองปีแล้ว” ลั่วเซิงเกือบจะชะงักไปเพราะคำถามที่ปลิ้นปล้อนนี้
โชคดีที่โค่วเอ๋อร์เป็นคนช่างพูด ไม่ต้องให้นางถามก็บ่นเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับต้าไป๋ออกมา ไม่เช่นนั้นนางคงตอบไม่ได้
“เหตุใดท่านอ๋องจึงถามเรื่องนี้เจ้าคะ” สายตาที่ลั่วเซิงมองเว่ยหานเจือความประหลาดใจ
เสื้อสีแดงเข้ม ผมสีดำขลับ หน้าตาสง่างาม หากไม่นับแซ่ ‘เว่ย’ ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หายาก หรือว่าถูกนางหลอกไปสองสามครั้งจนโง่เขลาไปนะ
คงไม่ขนาดนั้นหรอกกระมัง
ถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ เว่ยหานเกือบจะทนไม่ไหว เขารีบยกจอกชาขึ้นมาดื่มเพื่อกลบเกลื่อนความเก้อเขิน
เมื่อสงบอารมณ์ลง เว่ยหานก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วยอมตัดใจให้ข้าได้หรือไม่”
แม้จะต้องการเพียงเลือด แต่จะมาบอกคุณหนูว่าขอเลือดต้าไป๋หน่อยได้หรือไม่นั้น ฝ่ายตรงข้ามไม่เห็นเขาเป็นคนเสียสติน่ะสิแปลก
“ตัดใจ?” สีหน้าลั่วเซิงยิ่งพิลึกพิลั่น “ท่านอ๋องอยากซื้อต้าไป๋ของข้าหรือ”
นางก็ว่าห่านสีขาวตัวใหญ่นั่นพิสดาร!
ทั้งที่คุณหนูลั่วเป็นคนเลี้ยง แต่กลับเข้ามากัดนางทันทีที่เจอ เห็นได้ว่ามันมีสติปัญญา
แต่ไคหยางอ๋องอยากซื้อต้าไป๋ไปทำอะไรกัน
คงไม่ใช่ซื้อไปปัดเป่าความชั่วร้ายหรอกนะ
เว่ยหานอดทนต่อใบหน้าที่ร้อนผ่าว พูดว่า “หากคุณหนูลั่วยอมตัดใจ โปรดตั้งราคา”
ตั้งราคา?
ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
นางรู้ว่าไคหยางอ๋องไม่ขาดแคลนเงิน เหตุที่นางรับมือกับไคหยางอ๋องได้ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ก็เพราะนางไม่มีนิสัยชอบพกเงินเพิ่มเมื่อออกไปข้างนอก
แต่ว่านางก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินเช่นกันนี่
นางไม่ขาย