ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 119 มีร้านเถื่อน
ตอนที่ 119 มีร้านเถื่อน
หลินเถิงไม่คิดว่าลั่วเซิงจะเอ่ยถามเสนาบดีจ้าวแล้วเอ่ยถามเขา หูพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
หรือว่าเขาจะมีความสำคัญยิ่งกว่าไคหยางอ๋อง นี่จะน่าอายเกินไปแล้ว
“อาหารถูกปากหรือไม่” ลั่วเซิงเอ่ยถามอีกครั้ง
หลินเถิงลังเลไปชั่วขณะ
คำตอบนั้นเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว หากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับคุณหนูลั่วเช่นนี้จะไม่ระมัดระวังไม่ได้
เมื่อเห็นว่าหลินเถิงลังเล ดวงตาของเว่ยหายก็ฉายแววเย็นชา
หากเขาจำมิผิด เจ้าเด็กนี่กินบะหมี่หยางชุนไปสี่ชาม เทียบกับเขาแล้วยังมากกว่าชามหนึ่ง
หลินเถิงสัมผัสได้ว่าหนังศีรษะของเขาชาวาบ
มิรู้ว่าเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ หากแต่เขารู้สึกว่าไคหยางอ๋องกำลังแผ่ไอสังหาร
“ถูกปากขอรับ” ในที่สุดหลินเถิงก็ไม่สามารถปฏิเสธมโนธรรมในจิตใจได้
“มิทราบว่าถูกปากมากหรือไม่”
หลินเถิงพยักหน้า “อืม”
ลั่วเซิงยิ้มจาง “เช่นนั้นวันหน้าคุณชายหลินก็มากินบ่อยๆ เถิด”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ นางก็ชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนน้ำเสียงกระตือรือร้นจะดังออกมา “หากคุณชายหลินพาลูกพี่ลูกน้องมาด้วย จะได้ลดครึ่งราคา”
ยังมิทันรอให้หลินเถิงได้ตอบกลับ เสนาบดีจ้าวก็เอ่ยตัดบท “หลินเถิง พรุ่งนี้เจ้าพาลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามาด้วย”
เขาอยากกินเนื้อตุ๋นและอยากเพลิดเพลินกับรสชาตินั้นเพียงครึ่งราคา
ส่วนลดครึ่งราคาสำหรับอาหารหนึ่งมื้อในราคาหนึ่งพันตำลึงเงินเพียงพอแล้วให้หลินเถิงเสียสละลูกพี่ลูกน้องของเขา!
“ใต้เท้า…” หลินเถิงลนลาน
คุณหนูลั่วเอ่ยปากเองว่าต้องการให้ลูกพี่ลูกน้องของเขามา เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าเจตนาเดิมนั้นมิใช่อยู่ที่จุดนี้แต่อยู่ที่จุดอื่น
เสนาบดีจ้าวใบหน้าเคร่งขรึม “หัวหมูย่างไม่อร่อยหรือ”
เจ้าสารเลวน้อยนี่ เพิ่งจะกินหัวหมูย่างที่เขาเพิ่งเลี้ยงไปเสร็จก็ลืมแล้วหรือ
หลินเถิง “พรุ่งนี้ข้าน้อยจะพาลูกพี่ลูกน้องมาขอรับ”
กินของผู้อื่นจึงไม่อาจปฏิเสธ
แต่เสนาบดีจ้าวอยู่ที่นี่ด้วย คิดไปแล้วคุณหนูลั่วคงไม่สามารถทำอะไรลูกพี่ลูกน้องได้หรอกกระมัง
คุณหนูลั่วเอ่ยอย่างจริงใจ “พรุ่งนี้ข้าเองก็อยู่ที่ร้านนี่แหละ”
หลินเถิงไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายจึงตอบรับส่งๆ ไปเสียงหนึ่ง
ลั่วเซิงไม่ทำให้หนุ่มน้อยใบหน้าเย็นชาผู้นี้ลำบากอีก หันไปยอบกายให้เว่ยหานเล็กน้อย “น้อมส่งท่านอ๋อง”
ใบหน้าของเว่ยหานพลันมืดครึ้ม พยักหน้าให้
“ท่านอ๋อง เชิญ…” เสนาบดีจ้าวยื่นมืออกไป
“ใต้เท้าจ้าวเกรงใจแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำเล็กน้อย เชิญใต้เท้ากลับก่อนได้เลย”
เสนาบดีจ้าวเหลือบมองไปทางลั่วเซิงเล็กน้อยแล้วกระแอมไอออกมาคำหนึ่ง “ในเมื่อท่านอ๋องยังมีธุระ เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่รบกวนแล้ว”
หลังเดินออกไปจากร้าน ลมยามค่ำคืนก็พัดเอากลิ่นหอมของเนื้อจากเคราของเสนาบดีจ้าวลอยออกไป ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหลายส่วนในฉับพลัน
“ใต้เท้า เป็นอะไรไปหรือขอรับ” เห็นว่าจู่ๆ เสนาบดีจ้าวก็หยุดนิ่ง หลินเถิงจึงเอ่ยถาม
เสนาบดีจ้าวสีหน้าจริงจัง “หลินเถิง เจ้าว่าพรุ่งนี้ไคหยางอ๋องจะมาอีกหรือไม่”
ถ้าหากยังมา ถ้าหากบังเอิญพบเจอกันอีกครา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องเป็นเจ้ามืออีกรอบ
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เสนาบดีจ้าวก็สูดลมหายใจเย็นเข้าลึก
นี่ไม่ได้เด็ดขาด พรุ่งนี้เขาต้องออกเงินของตนเองนะ!
หลินเถิงไม่รู้ว่านายท่านผู้ใจป้ำของตนกำลังกังวลเรื่องอะไร ดังนั้นจึงตอบไปตามความสัตย์จริง “ข้าน้อยคิดว่าไคหยางอ๋องคงจะมาอีกขอรับ”
อาหารอร่อยเช่นนี้ ขนาดเขายังหวั่นไหวกระทั่งจะพาลูกพี่ลูกน้องมาด้วยเลยแล้วไคหยางอ๋องจะไม่มาได้อย่างไร
“แล้วเจ้าคิดว่าไคหยางอ๋องจะมาเวลาใกล้ปิดร้านเหมือนเช่นวันนี้หรือไม่ หรือมาเร็วกว่านี้”
หลินเถิงส่ายหัว “ข้าน้อยมิทราบเลยขอรับ”
เสนาบดีจ้าวไม่สบอารมณ์ “ถือเสียว่าสืบคดีสิ”
หลินเถิงตื่นตกใจ “หรือว่าจะมีคดีเกิดขึ้นหรือขอรับ”
เสนาบดีจ้าวปากสั่น เอ่ยเสียงเขียว “ช่างเถอะ พรุ่งนี้พวกเรามาให้เร็วหน่อย อย่าลืมว่าต้องพาลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามาด้วย”
หลังจากแยกย้ายกับหลินเถิงแล้ว องครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งก็ปรากฎกายขึ้นที่เบื้องหน้าของเสนาบดีจ้าว
เสนาบดีจ้าวรีบร้อนยัดใบแจ้งหนี้ที่ต้องจ่ายใส่มือเขา
องครักษ์จิ่นหลินนำใบแจ้งหนี้กลับไปยังจวนลั่วแล้วมอบให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว “พรุ่งนี้ค่อยเอาใบแจ้งหนี้นี้ไปจ่ายในนามของจวนเสนาบดีก็ได้ เหตุใดถึงต้องเอามาด้วยเล่า”
แค่อาหารมื้อหนึ่ง ถึงกับต้องให้เขาใส่ใจด้วยหรือ
เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่เขากังวลมากกว่าก็คือมีลูกค้าจริงๆ ไปยังร้านของลั่วเซิงหรือไม่
องครักษ์จิ่นหลินสีหน้าแปลกประหลาด “ข้าน้อยคิดว่า ท่านควรจะดูสักหน่อยขอรับ…”
เมื่อเห็นท่าทางที่แปลกไปของผู้ใต้บังคับบัญชา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เหลือบมองใบแจ้งหนี้แวบหนึ่ง จากนั้นดวงตาก็แข็งค้าง
หลังจากเงียบไปสักพัก แม่ทัพใหญ่ลั่วก็คล้ายได้สติคืนมา เอ่ยถาม “วันนี้เสนาบดีจ้าวกินตับมังกรกระดูกหงส์ไปหรือ”
องครักษ์จิ่นหลินผู้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในหอสุราอย่างลับๆ เอ่ยตอบ “เสนาบดีจ้าวกินหัวหมูย่างขอรับ”
“มีอะไรอีก”
“ไม่มีแล้วขอรับ กับแกล้มมีเพียงหัวหมูย่าง จากนั้นก็เป็นสุราและบะหมี่หยางชุนขอรับ”
“สิ่งเหล่านี้ราคาเกือบหนึ่งพันตำลึงเลยรึ” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยถามเสียงสูง
เขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่เสนาบดีจ้าวมิได้หยิบยืมโอกาสนี้ในการแสดงถึงความร่ำรวยหรือ
เป็นเจ้ามือย่อมได้ แต่โดนเอาเปรียบไม่ได้กระมัง
ประเดี๋ยวก่อน
แม่ทัพใหญ่ลั่วตรวจใบแจ้งหนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครา เมื่อเห็นราคาแต่ละอย่างของหัวหมูย่าง สุรา และบะหมี่หยางชุนตามลำดับแล้วก็อดเกาหัวมิได้
ร้านของเซิงเอ๋อร์มิควรจะใช้ชื่อว่ามีหอสุราแล้วกระมัง ควรจะเรียกว่ามีร้านเถื่อนเสียมากกว่า
แต่หนึ่งพันตำลึงก็ยังมากเกินไป
“เสนาบดีจ้าวพาผู้ใต้บังคับบัญชาไปคนหนึ่ง แล้วกินหัวหมูย่างไปหกหัวหรือ”
องครักษ์จิ่นหลินก้มหน้าอธิบาย “เสนาบดีจ้าวบังเอิญพบกับไคหยางอ๋องที่นั่นเข้าจึงเชิญให้ไคหยางอ๋องมารับประทานอาหารด้วยกัน ไคหยางอ๋องเองก็ทานไปสองหัวขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วส่ายหน้าไปมา
กล่าวตามตรง เขาไม่รู้เลยว่าไคหยางอ๋องจะเป็นคนเช่นนี้
กระจ่างชัดว่ารูปร่างของคนผู้นั้นสูงโปร่ง แต่เขากลับกินหัวหมูย่างถึงสองหัวเพียงเพราะมีใครบางคนเป็นเจ้ามือ
เว่ยหานซึ่งถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วดูหมิ่นในยามนี้ เรียกสื่อเยี่ยนออกมานอกหอสุราแล้วซักถาม
“ช่วงนี้เจ้าใส่ใจดูแลต้าไป๋หรือไม่”
หัวใจของสื่อเยี่ยนสั่นไหว ลนลานตอบ “ข้าน้อยย่อมใส่ใจยิ่ง!”
“งั้นเป็นเพราะคำพูดหรือการกระทำไปล่วงเกินแม่นาง….” เว่ยหานเดิมจะเอ่ยคำว่าคุณหนูลั่ว แต่ก็คิดว่าคงจะชัดเจนมากเกินจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ล่วงเกินคนในจวนลั่วเข้า”
“ไม่มีนะขอรับ ข้าน้อยกับคนในจวนลั่วเข้ากันได้ดีมาก”
เว่ยหานเงียบไป
ชัดเจนแล้วว่า คุณหนูลั่วมีปัญหากับเขา
หากแต่ทุกครั้งที่ทั้งสองติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าเขาคือคนที่เสียเปรียบ หากจะพูดถึงเรื่องที่ล่วงเกินคุณหนูลั่วแล้วล่ะก็…
เว่ยหานหวนนึกถึงค่ำคืนที่จวนร้างแห่งนั้น
หญิงสาวที่ปิดบังใบหน้าเอาก้อนหินทุบเขาและยังสาดผงพริกเข้าตาเขาในคืนนั้น ต่อมาเขาก็จำได้ว่านั่นคือคุณหนูลั่ว
ในเวลานั้น เขาไม่ได้ปกปิดรูปโฉม เช่นนั้นคุณหนูลั่วย่อมจำเขาได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความเป็นปรปักษ์ของคุณหนูลั่วที่มีต่อเขาเกี่ยวข้องกับจวนร้างหลังนั้น
ดวงตาของเว่ยหานฉายแววขบคิด
“นายท่าน ต่อจากนี้ข้าน้อยมาช่วยงานที่หอสุราทุกวันได้หรือไม่ขอรับ” สื่อเยี่ยนฉวยโอกาสถามเรื่องสำคัญในตอนนี้ขึ้น
มายังหอสุราช่วยงาน หากนายท่านไม่อนุญาต เขาจะร้องไห้ให้ตายไปเลย
เว่ยหานพยักหน้าเป็นการอนุญาต
หอสุรามีคนเข้าออกวุ่นวาย มีคนเช่นเขาสักคนอยู่ที่นั่นย่อมดีกว่า
สื่อเยี่ยนท่าทางกระตือรือร้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาในพริบตา เอ่ยแนะนำ “นายท่าน ดึกมากแล้ว ท่านรีบกลับเถอะขอรับ”
เว่ยหานเหลือบมองไปทางหอสุราอีกครั้ง
โคมไฟของหอสุรายังคงสว่างไสว แต่ก็ไม่อาจขจัดความสงสัยในใจเขาได้
แต่อย่างไรเสีย ร้านก็ยังอยู่ตรงนี้ คุณหนูลั่วเองก็อยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
หลังจากมองส่งเว่ยหานจากไปแล้ว สื่อเยี่ยนก็รีบพุ่งตัวกลับเข้ามาในร้านราวกับบิน
ในร้านเหลือเพียงชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการกินบะหมี่ ในตอนนั้นเองเขาก็เอ่ยถามหงโต้ว “แม่นางน้อย หอสุราแห่งนี้ของเจ้ายังมีชื่อเล่นไว้ใช้เรียกลูกค้าด้วยหรือ”
หงโต้วตะลึงเมื่อถูกถามเช่นนั้น “ชื่อเล่นหรือ ไม่มีนี่”
“แล้วเหตุใดคนหนึ่งถึงเรียกว่าเสนาบดี คนหนึ่งถึงเรียกว่าท่านอ๋องเล่า”
กล้าเรียกออกมาได้อย่างไร
หงโต้วหัวเราะเบาๆ “เพราะหนึ่งในนั้นก็คือไคหยางอ๋องและอีกคนหนึ่งคือเสนาบดีจากกรมยุติธรรมน่ะสิ”
เสียงของกระทบกันดังขึ้น ตะเกียบในมือของชายฉกรรจ์ร่วงลงบนโต๊ะ
“ลูกค้าโปรดระวังด้วย ตะเกียบคู่หนึ่งราคาสิบตำลึงนะเจ้าคะ”
ชายฉกรรจ์หยิบตะเกียบขึ้นมาเช็ด กินบะหมี่คำใหญ่ต่อเงียบๆ
ได้ทานอาหารร่วมโถงเดียวกันกับท่านอ๋องและเสนาบดี เงินห้าตำลึงสำหรับบะหมี่หยางชุนนับว่าธรรมดายิ่งแล้ว
หลังจากกินบะหมี่หยางชุนไปยี่สิบชามแล้ว ชายฉกรรจ์ก็คิดเงินแล้วเดินออกมาจากร้าน หลั่งน้ำตา
บะหมี่หยางชุนยี่สิบชาม เพียงพอให้เขาได้ฟังคณิการิมแม่น้ำจินสุ่ยร้องเพลงตลอดทั้งค่ำคืน
จะว่าไปแล้ว เขาวางแผนมาทำอะไรตั้งแต่แรกกันนะ