ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 124 ขายหลานชายขออาหาร
ตอนที่ 124 ขายหลานชายขออาหาร
กำจัดอคติอย่างนั้นหรือ
ไม่มีอยู่จริงหรอก
ตราบใดที่ไคหยางอ๋องยังคงแซ่เว่ย ในใจของลั่วเซิงเขาก็เป็นคนประเภทที่สมควรได้รับการถ่มน้ำลายใส่
ลั่วเซิงท่าทางเหนื่อยหน่าย นั่งอยู่ข้างตู้คิดเงิน
สื่อเยี่ยนคิดว่านายท่านช่างน่าสงสารนักจึงเอ่ยปลอบ “เนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวก็อร่อยมากนะขอรับ”
เว่ยหานหลุบตาลง ใบหน้าปราศจากอารมณ์นั่งรอคอยอาหาร
เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวนั้นรสชาติอร่อย แต่ว่าอาหารอภินันทนาการพวกนั้นก็อร่อยเช่นกัน
เว่ยหานกวาดมองไปทางหลินซูด้วยสายตาเย็นชา
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างอ่อนแอเปราะบาง แค่ยื่นนิ้วมือออกไปก็สามารถบีบให้ตายได้ภายในนิ้วเดียว
แต่มิรู้ว่าตรงไหนที่ไปเข้าตาคุณหนูลั่วเข้า
เว่ยหานมิได้มีเจตนาอื่นใด เขาเพียงแค่สงสัยใคร่รู้อย่างสุดซึ้งก็เท่านั้น
หากแต่หลินซูกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นด้วย
เขาสัมผัสได้ถึงลมหนาวยะเยือกที่พัดเข้ามาจากโต๊ะถัดไป ราวกับมีดบาดกระดูก ทำเอาคนนั่งอยู่กระสับกระส่ายนัก
ครั้นสัมผัสได้ถึงเงาดำทะมึนนี้ ท่าทางของหลินซูก็คล้ายจะช้าลงไปจังหวะหนึ่ง ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวเพิ่งจะวางลงบนโต๊ะพี่ชายของเขาก็คีบมันออกไปก่อนแล้วหนึ่งชิ้น
ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวส่งเข้าปาก ใบหน้าของหลินเถิงก็คล้ายกับปรากฎรอยปริร้าว
ตลอดชีวิตเขาไม่เคยลิ้มรสลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวใดที่รสชาติเข้มข้นเช่นนี้มาก่อน
ท่านหลินถึงกับเอ่ยถามออกมา “ทำลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวที่มีรสชาติเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แตกต่างไปจากปกติที่เคยกินนัก”
ผู้คนในเมืองหลวงชอบร่ำสุรากันในยามว่าง อาหารที่ใช้แกล้มเข้าคู่กับสุราก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เนื้อตุ๋น หัวหมูย่าง หางหมู และคอเป็ดอีกแล้ว
ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวที่เคยกินแต่ก่อนนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่ารสเค็ม หากชอบรสเผ็ดก็เติมเผ็ดเพิ่มเข้าไป แต่หากชอบรสหวานก็เติมน้ำตาลลงไปในตอนหมัก
ทว่าลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวในปากของท่านหลินยามนี้ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
นุ่มแต่เคี้ยวหนึบหนับ รสชาติเค็มและสดผสมผสานไปกับรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย
รสหวานอมเปรี้ยวนี้ก็มิใช่รสหวานอมเปรี้ยวที่ซ้ำซากจำเจ แต่เป็นรสกลมกล่อมและน่าดึงดูดอย่างอธิบายไม่ได้
โค่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ “แน่นอนว่าย่อมแตกต่างเจ้าค่ะ ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวของร้านเราตุ๋นคู่กับกระเทียมดำและดอกเหมยเจ้าค่ะ…”
ได้ยินคำสาธยายของโค่วเอ๋อร์เช่นนั้น ท่านหลินก็อดเอ่ยเตือนมิได้ “เอาสูตรลับของร้านมาบอกเช่นนี้ไม่ดีกระมัง”
โค่วเอ๋อร์ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงส่งยิ้มหวานให้ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คนอื่นรู้แค่เพียงว่าใช้กระเทียมดำและดอกเหมยมาตุ๋นเข้าด้วยกันแล้วจะอย่างไรเล่า
พวกเขารู้วิธีการดองกระเทียมดำและดอกเหมยให้อร่อยรึ รู้หรือว่าควรจะใส่กระเทียมดำและดอกเหมยมากน้อยเท่าไรจึงจะได้ลิ้นเป็ดที่รสชาติพอดี รู้หรือ…”
หลินเถิงกระแอมออกมาคำหนึ่ง “ท่านปู่ ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวเหลืออีกแค่ชิ้นเดียวแล้วขอรับ…”
ท่านหลินหลุบตาลงก็เห็นเพียงลิ้นเป็ดอันโดดเดี่ยวชิ้นหนึ่งกับกระเทียมดำสองกลีบหลงเหลืออยู่ในจาน
“เจ้าสารเลวสองคนนี้!” ท่านหลินเป่าเคราถลึงตาใส่ มองไปยังหลานทั้งสองด้วยความโมโห
หลินเถิงและหลินซูไม่ส่งเสียงสักแอะ ตะเกียบไม่หยุดนิ่ง
ช่างเป็นความอยุติธรรมอันใหญ่หลวงนัก แม้พวกเขาจะกินไปหลายชิ้นก็จริง หากแต่ผู้ที่มากที่สุดกระจ่างชัดแล้วว่าเป็นเสนาบดีจ้าว
อีกอย่าง ใครใช้ให้ท่านปู่เอาแต่สนใจฟังเสี่ยวเอ้อร์พูดกันเล่า
ท่านหลินเองกังสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ที่กินมากสุดบนโต๊ะนี้คือใครพลันตวัดสายตามองเสนาบดีจ้าว แล้วกระแอมออกมาเสียงดัง “เสนาบดีจ้าว”
เสนาบดีจ้าวรีบคีบเนื้อตุ๋นขึ้นมาแล้วกลืนลงไป ก่อนจะหันมาถามกลับ “มีอะไรรึ”
ท่านหลินเอ่ยด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “ด้วยวัยของเรา ต้องระมัดระวังในการเคี้ยว มิเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารได้”
เสนาบดีจ้าวส่งเสียงหัวเราร่า “เมื่อวานนี้ข้ากินหัวหมูย่างสองจานในคราวเดียวกัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าท่านหลินระวังไว้ย่อมดีกว่า เพราะท่านอาวุโสกว่าข้า…”
ท่านหลินเคราสั่น หยิบตะเกียบคีบลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวชิ้นสุดท้ายยัดเข้าปาก
ว่าไปนั่น เขาอายุมากว่าเจ้าคนตะกละนี่เพียงปีเดียวเท่านั้น!
เจ้าคนตะกละนี้สามารถกินหัวหมูย่างได้สองชาม แล้วเขาจะไม่สามารถกินลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวสิบจานได้รึ
ในพริบตาลมพายุก็หอบเอาเศษปุยเมฆมลายหายไปหมดสิ้น ทุกคนในโต๊ะนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ยามนี้ควรจะดื่มชาสักจอก เพื่อช่วยล้างมันย่อยอาหาร” เสนาบดีจ้าวเอามือกุมท้อง มีร่องรอยของความเสียใจเล็กน้อย
หากแต่หลังจากท่านหลินกินอิ่มท้องแล้วก็คล้ายกับสติกลับมาแจ่มชัด ได้ยินเสนาบดีจ้าวเอ่ยเช่นนั้นก็อยากจะถ่มน้ำลายพ่นฟันปลอมใส่หน้า
ขับมันช่วยย่อยอาหารงั้นรึ คิดแล้วคงอยากจะกินต่อหลังย่อยมากกว่ากระมัง เคยคิดถึงอารมณ์ของคนที่เป็นเจ้ามือบ้างหรือไม่
คิดไปคิดมาฟันปลอมของเขาก็ทำขึ้นมาจากงาช้าง ท่านหลินเลยมิอาจตัดใจได้ ลูบท้องเบาๆ โดยมิเอ่ยคำใด
โค่วเอ๋อร์หยิบใบเรียกเก็บเงินขึ้นมาอ่าน “เนื้อตุ๋นยี่สิบจาน ลิ้นเป็ดเต้าเจี้ยวหนึ่งจาน สุราสิบห้ากา และบะหมี่หยางชุนสิบถ้วย ความโปรดปรานของท่านคิดเป็นเงินเก้าร้อยสามสิบตำลึงเจ้าค่ะ”
ดวงตาของท่านหลินเบิกกว้าง หันมองหลานชายทั้งสองด้วยแววตาว่างเปล่า
หลินเถิงและหลินซูก้มหน้าหลบสายตาด้วยความละอาย พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อให้หายไปจากตรงนั้น
หากมิได้สัมผัสถึงไอสังหารที่แผ่มาจากกายของท่านปู่อยู่ตลอดเวลา พวกเขาก็คงจะกินเนื้อตุ๋นได้อีกยี่สิบจาน
เพราะมิอาจกินเนื้อตุ๋นอย่างตามใจปากได้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกินบะหมี่หยางชุน…แต่เมื่อกินเสร็จแล้ว แม้แต่บะหมี่หยางชุนก็ไม่กล้ากินด้วยซ้ำ
ท่านหลินมองไปทางเสนาบดีจ้าวอีกครา
เสนาบดีจ้าวมั่นคงดุจเขาไท่ชาน ไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ
ต่อให้ตีเขาให้ตายก็ไม่มีทางทำให้เขาเกรงอกเกรงใจได้
อาหารมื้อหนึ่งราคาหนึ่งพันตำลึง ฮูหยินได้ฆ่าเขาตายน่ะสิ
“เก้าร้อยสามสิบตำลึงหรือ” ท่านหลินค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เอ่ยถามเพื่อความถูกต้อง
เขารู้สึกราวกับมิได้กินอะไรเข้าไปเลย แล้วไหนยังจะมีเจ้าหลานชายตะกละทั้งสองที่เขาคอยส่งสายตาปรามอยู่ เหตุใดถึงกินมากกว่าเก้าร้อยตำลึงกัน
โค่วเอ๋อร์ยิ่มกว้างแล้วพยักหน้าให้ “เก้าร้อยสามสิบตำลึงเงินมิผิดแน่เจ้าค่ะ แต่ว่า…”
สาวใช้เหลือบมองหลินซู จากนั้นจึงกล่าวต่อไป “เถ้าแก่ของร้านข้าพูดไว้แล้ว หากมีคุณชายรองหลิน จะได้ลดครึ่งราคาเจ้าค่ะ”
“ครึ่งราคาหรือ” ท่านหลินรู้สึกว่าหัวใจของเขากลับมาเต้นเป็นจังหวะเดิมแล้ว
“ลูกค้าต้องจ่ายเพียงสี่ร้อยหกสิบห้าตำลึงเท่านั้นเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านจะจ่ายเลย หรือลงบัญชีไว้หรือเจ้าคะ”
ด้วยความประหลาดใจอันใหญ่หลวง ท่านหลินลืมเอ่ยถามแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ประหลาดของร้านว่าเหตุใดหลานชายคนรองของเขาถึงสามารถนำมาลดครึ่งราคาได้ กัดฟันตอบ “ลงบัญชี!”
สี่ร้อยกว่าตำลึงก็มิใช่น้อย กระนั้นก็ยังดียิ่งกว่าใบเรียกเก็บเงินหนึ่งพันตำลึงก่อนหน้านี้ ฉับพลันจึงรู้สึกราวกับได้รับส่วนลดครั้งใหญ่
“เช่นนั้น…” เสนาบดีจ้าวกระแอมเสียงใส “ห่อเนื้อตุ๋นให้ข้าห่อหนึ่งด้วย”
เมื่อเผชิญกับสายตาอาฆาตพยาบาทของท่านหลิน เสนาบดีจ้าวก็รีบพูดต่อ “คิดเงินเลย”
สีหน้าของท่านหลินค่อยๆ กลับมาสงบราบเรียบอีกครา
เขาอยากจะสั่งอะไรเพิ่มเติมอีกสักนิด หากแต่เนื้อตุ๋นหนึ่งจานก็ราคายี่สิบตำลึงเงินแล้ว!
โค่วเอ๋อร์แย้มยิ้มหวาน “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ หอสุราของเราไม่รับสั่งอาหารกลับเรือน”
อะไรนะ
เสนาบดีจ้าวตกตะลึง
เช่นนั้นจะอธิบายฮูหยินอย่างไรเล่า
“ข้ามิเคยได้ยินเลยว่ามีหอสุราไหนที่ไม่รับห่ออาหารมาก่อน” เสนาบดีจ้าวโต้แย้ง
ด้านหลินซูภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
วันนั้นที่เรือน คุณหนูลั่วบอกกับเขาเองว่าสามารถไปส่งให้ได้
หลินเถิงเองก็นิ่งเงียบ ความรู้สึกซับซ้อนก่อตัวขึ้นภายในเช่นกัน
ดูท่าแล้ว คุณหนูลั่วมั่นใจมากว่าจะเอาชนะน้องชายเขาได้
จะทำอย่างไรดีเล่า วันหน้ายังจะพาน้องชายมาอีกไหม
โค่วเอ๋อร์ยังคงรักษารอยยิ้มหวานเอาไว้ “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ หอสุราของเราไม่ส่งอาหาร ทุกหอสุราย่อมมีกฎเกณฑ์เป็นของตนเอง หากไม่มีก็ไร้เอกลักษณ์แล้ว ลูกค้าท่านว่าไหมเจ้าคะ”
เสนาบดีจ้าวยิ้มแห้ง
เขาเพียงอยากจะบอกว่าเสี่ยวเอ้อร์ร้านนี้พูดเก่งจริงๆ!
ในเมื่อไม่อาจซื้อกลับเรือนได้ เช่นนั้นก็ต้องพาคนมาแล้ว
หลังจากเอ่ยลาเว่ยหานแล้ว ทั้งสี่ก็ออกจากหอสุรา
เดินออกจากหอสุรามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ท่านหลินก็ชะงักเท้าคล้ายเพิ่งจะนึกบางอย่างออก “ประเดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าเพราะมีคุณชายรองหลินจึงสามารถลดได้ครึ่งราคาใช่หรือไม่ นี่หมายความถึงเจ้าอย่างนั้นรึ”
หลินซูหันมองพี่ชายอย่างช่วยมิได้ ใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อ
ขืนให้ท่านปู่รู้ว่าคุณหนูลั่วยื่นกรงเล็บปีศาจมาทางตน คงน่าละอายอย่างยิ่ง
“อาจจะเพียงพูดลอยๆ ก็ได้ขอรับ” หลินเถิงช่วยหาข้ออ้างให้หลินซู
“เอ๋” ท่านหลินเหลือบมองหลานชายคนโต
เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูลั่วไปที่จวนของพวกเขา เขาเองก็รู้เรื่องนี้
สัมผัสได้ถึงท่วงท่าน่าเกรงขามของท่านปู่ หลินเถิงจึงพูดได้เพียงว่า “เป็นเช่นนี้ขอรับ”
“เป็นเช่นนี้สินะ” ท่านหลินลูบเครา ในใจพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่นาน สุดท้ายก็อดกลั้นความปวดใจตัดสินใจว่า “ซูเอ๋อร์ จากนี้ไปก็มาดื่มกับปู่บ่อยๆ ล่ะ”