ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 18 ไข้ลด
ตอนที่ 18 ไข้ลด
เรือนระเบียงมีเตาหม้อดินขนาดเล็ก หม้อดินมีหูเดือดปุดๆ และส่งกลิ่นยาโชยออกมา
ฝูซงที่ถือพัดโบกพัดเป็นครั้งคราว และเมื่อเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็กระโดดพร้อมกับตะโกนว่า “คุณหนูหลานนอกมาแล้ว!”
ท่าทางราวกับศัตรูตัวฉกาจมาเยือน ทำให้รู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่คุณหนูหลานนอก แต่เป็นปีศาจ
หงโต้วกลอกตาและตำหนิว่า “คุณหนูของพวกข้ามาเยี่ยมคุณชายเล็ก เจ้าตื่นเต้นอะไร”
ฝูซงอยากกลอกตาคืนแต่ไม่กล้า ในใจคิดว่าเขาตกใจต่างหากเล่า
ณ เวลานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับเรือนไปแล้ว พวกฮูหยินใหญ่ที่เฝ้าไข้ก็ทยอยกันกลับ เหลือเพียงพวกคุณชายเซิ่งทั้งสี่ที่เพิ่งเลิกเรียน
เสียงของฝูซง ทำให้คนทั้งสี่สะดุ้งจนทยอยมองเด็กสาวที่เดินเข้ามา
เด็กสาวสวมกระโปรงดอกไม้สีแดง โดดเด่นเป็นสง่า มาพร้อมกับแสงตะวันลับขอบฟ้า
ทันใดนั้น คุณชายรองเซิ่งก็นึกถึงกวีท่อนหนึ่ง คิ้วงดงามจนดอกเสวียนเฉ่าดูจืดชืด กระโปรงแดงเพลิง จนดอกทับทิมในเดือนห้าอิจฉา
หลังจากนั้นก็ตกตะลึงแล้วส่ายศีรษะไม่หยุด
ไม่เหมาะ ไม่เหมาะ คุณหนูลั่วเท่ากับปัญหา เขาจะนึกถึงแค่ความงามอย่างเดียวได้อย่างไร
คงลุ่มหลงไปชั่วขณะแน่นอน!
คุณชายรองเซิ่งรีบแสดงท่าทางเคร่งขรึม จ้องลั่วเซิงที่เดินมาอย่างเย็นชา
ลั่วเซิงที่เดินเข้ามาโค้งคำนับเล็กน้อยและทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียว “ข้าเข้าไปเยี่ยมน้องชายก่อนนะเจ้าคะ” แล้วก็เข้าไปในเรือนทันที ไม่เปิดโอกาสให้พี่น้องทั้งสี่ได้เอ่ยปากเลย
คุณชายรองเซิ่งที่ถือพัดพับอ้าปาก
รู้สึกเสียหน้าอย่างมึนงง นี่มันอะไรกันเนี่ย
พอฝูซงเห็นลั่วเซิงเดินเข้าเรือนมาก็พลันนึกถึงเรื่องที่ฮูหยินใหญ่กำชับเมื่อวานนี้จึงรีบตามเข้าไป โดยไม่สนไฟที่กำลังลุกไหม้
ขณะเดียวกัน บ่าวเฒ่าที่ฮูหยินใหญ่ทิ้งไว้ปรนนิบัติรับใช้หลังอาการของลั่วเฉินแย่ลงก็ลอบออกไปเงียบๆ
ทันใดนั้น เสียงตะโกนของฝูซงก็ดังออกมาจากในเรือน “คุณหนู ท่านกำลังทำอะไร”
เสียงตะโกนแฝงความวิตกกังวล ทำให้พวกคุณชายใหญ่สบตากันและรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้อง ฝูซงจ้องลั่วเซิงราวกับศัตรูตัวฉกาจมาเยือน “คุณชายป่วยอยู่ จะกินของซี้ซั้วไม่ได้!”
“ยานี้ลดไข้ได้ หงโต้ว เอาเขาออกไป” ลั่วเซิงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับบ่าวรับใช้จึงสั่งหงโต้วเสียงราบเรียบ
“เจ้าค่ะ” หงโต้วขานตอบและเดินไปหาฝูซงด้วยท่าทางดุดัน
ฝูซงขวางอยู่หน้าเตียงของลั่วเฉิน แสดงท่าทางฆ่าได้หยามไม่ได้ เอ่ยติดอ่างอย่างลนลาน “ข้า ข้ายอมตาย…”
พูดไม่ทันจบก็ถูกหงโต้วอุ้มพาดบ่าโยนออกไปข้างนอก
พวกคุณชายเซิ่งทั้งสี่มองฉากตรงหน้าจนตกตะลึง
ฝูซงที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่แห่งใดไม่ลืมที่จะเรียกให้คนช่วยเจ้านายของตน “คุณชายใหญ่ คุณหนูหลานนอกไม่รู้ว่าเอายาอะไรมาให้คุณชายกิน”
พวกคุณชายเซิ่งทั้งสี่ไม่ทันได้ตกใจก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือน และเห็นลั่วเซิงกำลังป้อนเม็ดยาขนาดใหญ่เท่าถั่วลันเตาเข้าปากของลั่วเฉิน
“น้องหญิง!” ในยามวิกฤต คุณชายใหญ่เซิ่งรีบตะโกน
คุณชายสามเซิ่งรีบวิ่งเข้าไปขวางและได้ยินลั่วเซิงเอ่ยเสียงราบเรียบ “กลืนลงไปแล้ว”
คุณชายสามเซิ่ง “…”
คุณชายรองเซิ่งชักสีหน้าเอ่ย “น้องลั่วป้อนยามั่วซั่วให้น้องชายกินได้อย่างไร”
ลั่วเซิงป้อนน้ำให้กับลั่วเฉินดื่มหลายอึกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของเขา ถึงค่อยหันมาอธิบายกับคนทั้งสี่ว่า “นี่คือยาลดไข้”
เสียงแหลมดังขึ้น “เหลวไหลสิ้นดี!”
เซิ่งจยาอวี้ถลันพรวดเข้ามา คำว่า ‘ลั่วเซิง’ ปะทุถึงลิ้นแต่ก็ถูกกลืนลงไปแล้วยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ท่านย่าเชิญหมอมาหมดแล้ว กลับลดไข้ของน้องชายไม่ได้ ตอนนี้น้องชายตกอยู่ในอันตราย เจ้ายังจะมาป้อนยามั่วๆ ให้เขากินอีก”
ลั่วเซิงเหลือบมองฮูหยินใหญ่ที่จะเดินเข้ามาและเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ก็เพราะหมอหมดปัญญารักษา ข้าถึงป้อนยาให้น้องชายอย่างไร”
“แต่เจ้าไม่ใช่หมอสักหน่อย!” เซิ่งจยาอวี้เอ่ยด้วยความโกรธ
ลั่วเซิงทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างปัญหา จะให้เคารพนางในฐานะพี่สาวได้อย่างไร
น้ำเสียงของลั่วเซิงไม่แฝงความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย “หมอหมดปัญญารักษา”
ช่างสมเหตุสมผลเสียจริง!
เซิ่งจยาอวี้หมดคำพูด
ฮูหยินใหญ่ตบแขนปลอบบุตรสาวและเอ่ยถามลั่วเซิงว่า “หลานรู้วิชาแพทย์หรือ”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ในเมื่อไม่รู้ ต่อให้หมอหมดปัญญารักษาก็ย่อมดีกว่าคนที่ไม่รู้วิชาแพทย์ หลานว่าถูกหรือไม่”
ณ เวลานี้ หมอทั้งสองท่านที่พักอยู่ในจวนสกุลเซิ่งรีบตามมา หมอผอมบางหนึ่งในนั้นรีบตะโกน “ให้ผู้ป่วยกินยาอะไร”
เซิ่งจยาอวี้ชี้ไปที่ลั่วเซิง “พี่สาวข้าเอามา บอกว่าเป็นยาลดไข้”
หมอผอมบางโกรธมากจนหนวดเคราสั่น ด้วยจรรยาบรรณของหมอจึงตะคอกอย่างไม่ไว้หน้าสกุลเซิ่ง “เหลวไหลสิ้นดี ลดไข้ต้องอาศัยหลากวิธี จะมียาสำหรับลดไข้โดยเฉพาะที่ไหนกัน!”
หมอหวังที่เข้ามาพร้อมกับหมอผอมบางมองเห็นลั่วเซิง ลางร้ายก็ผุดขึ้นมาในทันใด
เมื่อวานนี้คุณหนูหลานนอกผู้นี้ให้เขาช่วยปรุงยา มิใช่ว่า…
ขณะที่หมอวังร้อนรนก็ได้ยินลั่วเซิงเอ่ยว่า “ยาเม็ดนี้ปรุงโดยหมอหวัง”
ดวงตาของทุกคนจ้องมาที่หมอหวัง
ดวงตาของหมอหวังมืดมน แทบจะเป็นลมหมดสติไป
หมอผอมบางส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง เผยท่าทางเจ็บปวดใจ “สหายหวัง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ หากคนป่วยเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด!”
พอเขาพูดจบก็เข้าไปตรวจร่างกายของลั่วเฉิน ปล่อยให้หมอหวังยืนเหงื่อตกเพียงลำพัง
หงโต้วเบ้ปากกระซิบ “โยนความผิดได้อย่างแนบเนียน”
กลอุบายเช่นนี้ นางเข้าใจดี เพราะคุณหนูทำเป็นประจำ
เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน ฮูหยินใหญ่จึงรีบถามออกมาว่า “หมอหลี่เป็นอย่างไรบ้าง”
วิชาแพทย์ของหมอหลี่ได้รับการยอมรับว่าอยู่เหนือหมอหวังขั้นหนึ่ง สกุลเซิ่งได้เชิญหมอหวังมารักษาก่อน เพราะหมอหลี่ออกไปรักษาผู้ป่วยนอกสถานที่ วันนี้เช้าจึงเพิ่งกลับมา
“ไข้ลดแล้ว” หมอหลี่ตอบอย่างเหม่อลอย
ฮูหยินใหญ่คิดว่าตนหูฝาด “อะไรนะ”
หมอหวังรีบเข้าไปดูและเบียดหมอหลี่ไปด้านข้าง ยื่นมือมาแตะหน้าผากลั่วเฉิน สีหน้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนท้ายที่สุดเปลี่ยนเป็นความปีติยินดี “ไข้ลดแล้ว ไข้ลดแล้วจริงๆ!”
เขาไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ปรุงยาปลอมแล้ว!
หมอหวังที่ถูกเบียดไปด้านข้างราวกับตื่นจากฝัน คว้าแขนหมอหวังเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “สหายหวัง เจ้าสามารถปรุงยาลดไข้ได้แล้วจริงๆ หรือ”
หมอหวังถูกหมอหลี่เขย่าจนมึนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“สหายหวัง เมื่อครู่ข้าพูดจาแรงไปหน่อย เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ ข้ามีคำถามจะขอคำชี้แนะเจ้าสักหน่อยพอจะได้หรือไม่”
หมอหวังได้สติกลับคืนมา รีบเหลือบมองลั่วเซิงอย่างรวดเร็ว
ยาลดไข้ เขาปรุงเองกับมือจริง แต่ตำรับยาได้มาจากคุณหนูหลานนอก!
ลั่วเซิงสีหน้าดูสงบนิ่ง ไม่ได้สะทกสะท้านกับเหตุการณ์คึกคักตรงหน้า
ขณะนี้ ในใจหมอหวังผุดความคิดนี้ขึ้นมา แม้ไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วจะเอาตำรับยามาจากที่ใด แต่สำหรับกุลสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างนางแล้ว อาจไม่สนใจหรือทราบถึงความเลอค่าของตำรับยาชุดนี้
และตำรับยานั้น เขายังจำได้…
หมอหวังหัวใจกระตุก พอได้ยินคำสรรเสริญเยินยอจากหมอหลี่ที่เหยียบศีรษะเขามาโดยตลอดหลายปี ก็ปรากฏความละโมบขึ้นมา
“ท่านหมอทั้งสอง” ลั่วเซิงเอ่ยปาก
หมอหวังและหมอหลี่สบตากัน
“ต่อจากนี้ ฝากดูแลน้องชายของข้าด้วย”