ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 3 นอนยาวสิบสองปี
ตอนที่ 3 นอนยาวสิบสองปี
คุณหนูรองสกุลซูเหม่อลอยไปพลางหยิกน้องเล็กสกุลซู “ฝันไปใช่หรือไม่”
น้องเล็กสกุลซูตะโกน “เจ็บบบ”
คุณหนูรองซูถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เจ็บก็ดีแล้ว ไม่ใช่ความฝัน พี่รองรอดตัวไป!”
ณ เวลานี้ ฮูหยินซูถึงได้สติกลับคืนมา จ้องบุตรชายรูปงามน้ำตาไหลพราก แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข
บุตรชายรอดอย่างปาฏิหาริย์ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนทั้งสกุลซู นางจะทนฟังคำพูดอันน่าขยะแขยงของฮูหยินใหญ่เซิ่งได้อย่างไร
ซูเย่าก้าวไปข้างหน้าและแตะแขนฮุหยินซูอย่างเบามือ “เป็นความผิดของข้าเอง ทำให้ท่านต้องลำบากใจแล้ว”
เขาจ้องไปที่ประตู นึกถึงการกระทำที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงของลั่วเซิงก็ค่อนข้างสับสน
ลั่วเซิงจะปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ
คุณหนูใหญ่ซูสั่งสาวใช้ให้ปัดกวาดทั้งภายในและภายนอกเรือน น้ำเสียงดูกระฉับกระเฉง “ทำให้มันเร็วๆ หน่อย รีบปัดกวาดความซวยออกไปเร็ว!”
สาวใช้ทั้งหลายยิ้มสดใส “คุณหนูใหญ่วางใจได้ พวกบ่าวจะปัดกวาดให้สะอาดเลยเจ้าค่ะ”
อารมณ์ความรู้สึกของคนสกุลเซิ่งที่ออกมาจากจวนสกุลซูดูหนักอึ้งมาก
เซิ่งจยาอวี้เดินเข้าไปหาลั่วเซิง พลางกัดฟันถาม “ลั่วเซิง เจ้าจะเล่นแง่อะไรอีก”
ฮูหยินใหญ่เซิ่งเหลือบมองบุตรสาวและเอ่ยด้วยเสียงเตือน “จยาอวี้ ไม่มีมารยาท เรียกพี่สาว”
“ท่านแม่…” เซิ่งจยาอวี้กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ นางอายุน้อยกว่าลั่วเซิงไม่กี่เดือน เรียก ‘พี่สาว’ ก็ถูกต้องแล้ว แต่พี่สาวหลานนอกมีความเป็นพี่สาวเสียที่ไหน นางจึงเรียกไม่ออก
เหตุใดฮูหยินใหญ่เซิ่งจะไม่เข้าใจความรู้สึกของบุตรสาวเล่าจึงแสร้งทำเป็นเอ็ดนางแล้วเอ่ยถามลั่วเซิงด้วยความเป็นกังวล “เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่ยินยอมล่ะ”
หากยอมสละคุณชายรองสกุลซูเพียงคนเดียว แลกกับความสงบสุขของสกุลเซิ่งและสกุลซู หรือแม้กระทั่งทั้งเมืองจินซาก็ย่อมคุ้มค่าแล้ว
ลั่วเซิงคิ้วขมวดเล็กน้อย “ท่านน้าสะใภ้ใหญ่อยากให้ข้าแต่งงานกับคุณชายรองซูหรือ”
คำพูดนี้ทำให้เซิ่งจยาอวี้ตกใจแทบแย่ นางรีบดึงชายเสื้อของฮูหยินใหญ่เซิ่งไว้
ฮูหยินใหญ่เซิ่งไม่กล้าถามต่อและอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
จวนสกุลเซิ่งและสกุลซูอยู่ไม่ไกลกัน ทุกคนจึงกลับถึงจวนอย่างรวดเร็ว และมุ่งตรงไปพบฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งที่เรือนฝูหนิง
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งหัวใจกระสับกระส่าย แต่เมื่อลั่วเซิงกลับมาจึงเอ่ยถามถึงที่มาที่ไป
ลั่วเซิงแสดงความเคารพและตอบเสียงราบเรียบ “ท่านยายอาจเข้าใจผิด ข้าไม่เคยคิดหมั้นหมายกับคุณชายรองสกุลซู เซิงเอ๋อร์รู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อน”
ทันทีที่ลั่วเซิงเดินจากไป ฮูหยินใหญ่เซิ่งก็อดกลั้นไม่ไหวแล้วจึงเอ่ยถามลั่วเฉินอย่างว้าวุ่นใจ “เฉินเอ๋อร์ พี่สาวเจ้าตกหลุมรักคนอื่นอีกแล้วหรือ”
ใบหน้าของลั่วเฉินดำมืดราวกับก้นหม้อ แก้ตัวด้วยความยากลำบาก “พี่สาวไม่ใช่คนที่เปลี่ยนใจเร็วเพียงนี้…”
ครานี้เขาจะต้องคอยจับตาดูลั่วเซิงทุกฝีก้าว หากลั่วเซิงกล้าก่อเรื่องอีก เขาจะตีนางให้ตายคามือ!
เซิ่งจยาอวี้ตบไหล่ลั่วเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องชายยังไม่รู้จักพี่สาวของน้องดีพอ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถอนหายใจและโบกมือส่งสัญญาณให้คนทั้งสองออกไปก่อน หลงเหลือไว้เพียงลูกสะใภ้ทั้งสองไว้หารือวิธีรับมือ
“ในเมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วฝากฝังให้ข้าที่เป็นยายจัดการเรื่องานแต่งของเซิงเอ๋อร์ ข้าคิดว่าควรรีบตกลงเรื่องงานแต่งของเซิงเอ๋อร์โดยเร็ว”
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สกุลเซิ่งคงได้ล่วงเกินคนทั้งเมืองจินซาเป็นแน่
ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองล้วนเห็นพ้องต้องกัน “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดถูกต้องแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งยกมือนวดขมับด้วยสีหน้าเสียดาย “นังหนูนั่นไม่ยอมแต่งงานกับสกุลซู เจ้าว่ามีตระกูลใดเหมาะสมบ้าง”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มแห้ง “คุณหนูมาตฐานสูงเหลือเกิน เกรงว่าคงต้องใช้เวลาในการหาคนที่เหมาะสมสักพักใหญ่”
“ใช่เลย ชายหนุ่มในเมืองจินซาที่คู่ควรกับคุณหนูมีไม่มาก” ฮูหยินรองเอ่ยต่อ
นางได้ยินมาว่ามีบางตระกูลส่งบุตรชายรูปหล่อไปเรียนยังต่างแดน เพื่อหลบหนีจากเงื้อมมือของคุณหนูหลานนอก
ช่างน่าอายเสียจริงเชียว!
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกวาดสายตามองลูกสะใภ้ทั้งสองและบอกแผนในใจ “เซิงเอ๋อร์มีพี่ชายฝ่ายมารดาสามคน น้องชายฝ่ายมารดาอีกหนึ่งคน เลือกหนึ่งในนี้แล้วกัน”
สกุลเซิ่งปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเมตตามาเสมอ เป็นตระกูลที่ซื่อสัตย์จริงใจ แทนที่จะปล่อยนังหนูนั่นไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น มิสู้เก็บไว้ที่จวนของตนดีกว่า อย่างไรเสีย นางมีศักดิ์เป็นยายของนังหนูตัวแสบ มีนางคอยดูอยู่ คงก่อเรื่องใหญ่โตออกมาไม่ได้หรอก
คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าเข้าใส่ลูกสะใภ้ทั้งสอง
ทันใดนั้น ฮูหยินใหญ่รีบลุกยืนขึ้น เอามือจับหน้าผากแทบล้มทั้งยืน “โรคหัวใจของลูกสะใภ้กำเริบ ต้องกลับเรือนไปกินยารักษาหัวใจ…”
ฮูหยินรองรีบพยุงฮูหยินใหญ่ “ลูกสะใภ้ขอพาพี่สะใภ้ใหญ่กลับไปที่เรือนก่อน”
ในชั่วพริบตา ลูกสะใภ้ทั้งสองก็หลบหนีไปกันหมด เหลือไว้เพียงหญิงชราที่ใบหน้าบูดบึ้งเพียงลำพัง
ไม่มีใครยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมเลยหรือ นางมองพลาดไปแล้วจริงๆ!
ทันทีที่ลั่วเซิงเข้ามาในห้อง หงโต้วก็เขยิบเข้ามาใกล้และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ท่านตกหลุมรักคุณชายตระกูลใดเข้าแล้วหรือ ท่านบอกมาว่าเป็นผู้ใด ประเดี๋ยวบ่าวจะไปฉุดมาให้กับท่าน”
ลั่วเซิงรินน้ำชาให้ตัวเอง จิบเล็กน้อยแล้วจ้องมองยอดอ่อนสีเขียวที่ลอยอยู่ในถ้วยน้ำชา
หงโต้วไม่เคยเห็นคุณหนูของตนเงียบเช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกแปลกตาไปชั่วขณะ และเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปหรือ”
ลั่วเซิงเงยหน้ามองหงโต้ว
แม้คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของสาวใช้จะไร้สาระอย่างมาก แต่ความกังวลบนใบหน้าของนางคือเรื่องจริง
ปลายนิ้วของลั่วเซิงที่จับถ้วยน้ำชาออกแรงมากขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยถามคำที่วนเวียนอยู่ในใจตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา “หงโต้ว เจ้ารู้จักจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือไม่”
นางไม่ใช่ลั่วเซิงบุตรสาวอันเป็นที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แต่คือท่านหญิงชิงหยางแห่งจวนเจิ้นหนานอ๋อง!
นางตายแล้วฟื้นอีกครั้ง แต่วิญญาณกลับฝังอยู่ในร่างของผู้อื่น และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้เลย นางต้องใช้พละกำลังทั้งหมดควบคุมความเกลียดชังและความเจ็บปวดมหาศาลก่อนจะหมดลมหายใจของอีกฝ่ายเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น
“จวนเจิ้นหนานอ๋องรึเจ้าคะ” หงโต้วครุ่นคิดอย่างจริงจังด้วยสีหน้างุนงง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
หัวใจของลั่วเซิงมืดมน ข้อนิ้วที่กุมถ้วยน้ำชาซีดขาวลง
บิดาของนางเป็นท่านอ๋ององค์เดียวในต้าโจวที่มีแซ่ต่างจากเชื้อพระวงศ์ท่านอื่น แม้เมืองจินซาจะไม่อยู่ภายใต้การปกครองของเจิ้นหนานอ๋อง แต่ในต้าโจวจะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จัก
ลั่วเซิงสงบสติอารมณ์และถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วจวนผิงหนานอ๋องล่ะ”
ไม่รู้จักจวนเจิ้นหนานอ๋อง ก็คงไม่รู้จักจวนผิงหนานอ๋อง
นึกไม่ถึงว่าหลักจากหงโต้วตกตะลึงกลับหัวเราะลั่น “คุณหนูทดสอบความรู้บ่าวอยู่หรือเจ้าคะ ใครจะไม่รู้จักจวนผิงหนานอ๋องกัน ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นองค์รัชทายาทเมื่อเจ็ดปีก่อน คนทั้งจวนผิงหนานอ๋องล้วนย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง ท่านเคยพบกับองค์รัชทายาทแล้วนี่เจ้าคะ…”
สีเลือดฝาดบนใบหน้าของลั่วเซิงจางหายไปโดยสิ้นเชิง ฟังคำพูดต่อจากนั้นของหงโต้วไม่เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว
นางกดหัวใจที่เต้นรัวราวกับฟ้าร้องเอาไว้และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้ปีอะไรแล้ว”
“หย่งอันปีที่สิบเจ็ดเจ้าค่ะ” หงโต้วตอบอย่างไม่ลังเล
เสียงเพล้งดังขึ้น ถ้วยน้ำชาในมือของลั่วเซิงร่วงหล่นแตกกระจาย
หย่งอันปีที่สิบเจ็ด…นางตายแล้วฟื้นอีกครั้งกลับผ่านไปสิบสองปีแล้วหรือนี่
เกิดอะไรขึ้นในช่วงสิบสองปีนี้ เหตุใดคำพูดของหงโต้วจึงดูประหลาดเพียงนี้
หงโต้วตื่นตกใจ รีบนั่งลงเก็บเครื่องลายครามที่กระจายอยู่เต็มพื้น “คุณหนู ท่านระวังเท้าด้วย…เอ๊ะ นี่มันอะไร”
สาวใช้หยิบผ้าขาวผืนหนึ่งออกมาจากช่องระหว่างม่านกับฉากกั้นห้อง จ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วนึกบางอย่างออกจึงรีบโยนผ้าทิ้ง “ถุย ถุย ซวยจริงๆ เลย!”