ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 42 เข่นฆ่า
ตอนที่ 42 เข่นฆ่า
ซิ่วเย่ว์มือสั่น ชาขิงกระเซ็นหกไปครึ่งถ้วย
ท่านอาซิ่วหรือ
นี่ตกลงว่าบังเอิญหรือคุณหนูลั่วรู้ชื่อจริงของนางกันแน่
“ชอบหรือไม่” ลั่วเซิงเอ่ยถามเสียงราบเรียบ
ซิ่วเย่ว์ได้สติกลับคืนมาก็รีบสงบสติอารมณ์ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณหนูมอบชื่อให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชอบ เพียงแต่ข้าใบหน้าอัปลักษณ์ ไม่กล้าใช้คำว่า ‘ซิ่ว’ นี้”
ลั่วเซิงยิ้ม “ใช้หลักอันวิจิตรเขียนตำรา ใช้พรสวรรค์อันงดงามประคองโวหาร ‘ซิ่ว’ จึงไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ข้าคิดว่า ‘ท่านอาซิ่ว’ นี้เหมาะสมมาก”
ริมฝีปากของซิ่วเย่ว์กระตุกก่อนจะเอ่ยปาก แต่หงโต้วชิงพูดก่อน “พอแล้ว แค่ชื่อจะอะไรมากมาย คุณหนูอยากเรียกเจ้าว่าอะไรก็เรียกอันนั้นแหละ”
ปีนั้นตอนที่นางถูกพาตัวมายืนตรงหน้าคุณหนู คุณหนูกำลังกินน้ำแกงข้นถั่วแดง จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่นางและบอกให้นางชื่อหงโต้ว
นางพูดอะไรแล้วหรือยัง
“หงโต้ว ท่านอาซิ่วอายุมากกว่าเจ้ามาก อย่าพูดจากับท่านอาซิ่วแบบนั้น”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” หงโต้วขานตอบอย่างขมขื่น ประคองถ้วยดื่มน้ำชาด้วยความไม่พอใจ
ชาขิงร้อนทั้งหม้อถูกแบ่งหมดไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นชาขิงร้อนยังคงหอมฟุ้งในวัดร้างที่แสงมืดสลัว หอมติดจมูกจนทำให้รู้สึกอบอุ่นไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจ
ด้านนอกฟ้าครึ้ม ฝนตกหนัก
องครักษ์หนุ่มยกหม้อขึ้นอย่างขยันขันแข็ง “ข้าจะไปล้างหม้อกับถ้วย”
น้ำฝนสะอาดที่สุด ใช้ล้างหม้อกับถ้วยสะดวกที่สุดด้วย ล้างหม้อตอนนี้ ประเดี๋ยวก็จะได้กินอาหารร้อนๆ แล้ว
ท่านยายขี้เหร่ เอ่อ ไม่สิ ท่านอาซิ่วไม่เพียงแต่ย่างเนื้อได้แสนอร่อย ยังเคี่ยวโจ๊กอร่อยจนแทบจะอยากกลืนลิ้นลงไปด้วยเลย
องครักษ์หนุ่มยกหม้อและเดินออกไปด้วยความหวัง คนอื่นๆ ไม่สนใจเพียงล้อมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานรอบกองไฟ
หลังจากนั้นไม่นาน คุณชายสามเซิ่งที่กังวลเรื่องอาหารกลางวันมากที่สุดก็มองยังประตูวัดร้างแล้วเอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดเสี่ยวชวนถึงยังไม่กลับมาอีก ล้างหม้อต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยหรือ”
องครักษ์อายุราวสามสิบยิ้มเอ่ย “อาจกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่กระมังขอรับ”
“ฝนตกหนักขนาดนี้จะไปทำธุระที่ใดเล่า” คุณชายสามเซิ่งลุกยืนขึ้น “ข้าจะไปดูเอง”
เมื่อมองแผ่นหลังของคุณชายสามเซิ่งเดินก้าวไปยังประตูวัด ลั่วเซิงก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “พี่ชายระวังตัวด้วย”
คุณชายสามเซิ่งหันกลับมาและตกตะลึงกับใบหน้าที่จริงจังของลั่วเซิง
เดิมทีเขาอยากตอบว่าไม่มีอะไรหรอก แต่พอสายฟ้าฟาดลงมา ภายในวัดก็สว่างวาบขึ้นพอดี ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ทำให้ทั้งวัดสั่นสะเทือน
คุณชายสามเซิ่งจึงเหลือบมองประตูโดยไม่รู้ตัว
นอกประตู ท้องฟ้ามืดครึ้มและม่านฝนทำให้มองไม่เห็นปลายทาง ราวกับประตูเป็นเขตแบ่งของโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ภายในวัดอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของชาขิงร้อน ขณะที่ด้านนอกวัดความมืดมิดเข้าปกคลุม
ทันใดนั้น คุณชายสามเซิ่งที่ไม่เกรงกลัวใดๆ ก็ดูเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อเดินไปถึงประตูวัดก็ไม่ได้เดินออกไปแต่ชะโงกศีรษะออกไปดูเท่านั้น
สายฟ้าอีกสายผ่าลงกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คุณชายสามเซิ่งเห็นชัดเจนว่าองครักษ์ที่ออกไปก่อนหน้านี้นอนนิ่งอยู่ไม่ไกล
หม้อใหญ่หล่นอยู่ข้างกายองครักษ์และมีน้ำฝนอยู่เต็มหม้อ
คุณชายสามเซิ่งสายตาคมกริบ มองเห็นเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดจากใต้ร่างขององครักษ์ในขณะที่สายฟ้าผ่าวาบได้ในทันที
ก่อนที่เขาจะตกใจ แสงเย็นสายหนึ่งก็ปกคลุมที่ศีรษะของเขา เขาจึงรีบวิ่งมาปิดประตูด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าและออกแรงยันประตูไม้ไว้แล้วตะโกนว่า “มีคนร้าย!”
องครักษ์ที่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติรีบชักดาบตามออกมาอย่างรวดเร็ว
ตึงๆๆ บานประตูสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนด้านนอกกำลังกระแทกประตูอยู่
คุณชายสามเซิ่งสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง “เสี่ยวชวนตายแล้ว!”
องครักษ์ทั้งหลายกำดาบแน่น “คุณชาย ท่านเข้าไปก่อน ตรงนี้พวกข้าจัดการเอง”
“ไม่ได้”
ทุกคนหันศีรษะมาหลังจากได้ยินเสียงนี้ มองเห็นลั่วเซิงเดินมา
คุณชายสามเซิ่งที่ยันประตูไม้เอ่ยอย่างร้อนใจ “น้องหญิง เจ้ามายุ่งอะไรที่นี่ ไปหลบข้างในเร็ว!”
ลั่วเซิงจ้องประตูที่สั่นอย่างรุนแรงแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “สถานที่กว้างแค่นี้ จะให้ซ่อนตัวที่ใดเล่า”
คุณชายสามเซิ่งเริ่มร้อนใจมากขึ้น “แต่เจ้าก็ไม่ควรมายืนที่หน้าประตูนะ บานประตูนี่จะต้านทานไม่ไหวแล้ว คนร้ายบุกเข้ามาจะเป็นอันตรายได้! เชื่อฟังหน่อยเร็ว รีบเข้าไปข้างใน!”
เมื่อเทียบกับความร้อนใจของคุณชายสามเซิ่งแล้ว ลั่วเซิงดูสงบนิ่งเช่นเดิม “พี่ชาย ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ อีกฝ่ายเตรียมการมา วันนี้ไม่ใช่พวกเขาตายก็เราตาย หากพวกเราไม่ชนะ ไม่ว่าใครก็หลบไม่พ้น”
“แล้วควรทำอย่างไรดี” ใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งดูแย่ลงหลังได้ยินเสียงกระแทกประตู
หากไม่มีน้องหญิง อย่างมากก็บุกออกไปสู้ตายให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย แต่ตอนนี้เล่า
“พี่ชาย นอกจากเห็นศพของเสี่ยวชวนยังเห็นอะไรอีก”
“ไม่มีแล้ว เมื่อครู่พอเห็นศพเสี่ยวชวนบนพื้นก็ถูกคนลอบโจมตีแล้ว”
“เป็นเช่นนี้หรือ” ลั่วเซิงหันหลังเดินกลับ “หงโต้วมากับข้า พี่ชายช่วยยันไว้อีกสักครู่”
ลั่วเซิงรีบเดินไปที่กองไฟแล้วดึงท่อนไม้ที่ลุกไหม้ออกมา โบกมือส่งสัญญาณให้หงโต้วหยิบออกมาด้วย
ทั้งสองกลับมาพร้อมกับท่อนไม้
ดวงตาของคุณชายสามเซิ่งเปล่งประกายวาบ
ท่อนไม้ติดไฟมีพลังการโจมตีสูงและอาจมีประสิทธิภาพกว่าดาบด้วยซ้ำ
ลั่วเซิงลดเสียงลงต่ำ “ข้าจะนับถึงสาม พี่ชายรีบหลบไป พอประตูเปิดให้ลงมือทันที”
เสียงลม เสียงฟ้าร้อง เสียงฝน และเสียงกระแทกประตูปิดกั้นเสียงด้านในเอาไว้จึงไม่ต้องกังวลว่าคนข้างนอกจะได้ยินบทสนทนาเหล่านี้
คุณชายสามเซิ่งลังเล “น้องหญิง การจู่โจมอย่างฉับพลันใช้ได้กับแค่คนเดียว หากอีกฝั่งมากันเยอะล่ะ…”
บานประตูที่กำลังจะแตกออกไม่อนุญาตให้ลังเลอีกต่อไป ลั่วเซิงจึงนับถึงสามอย่างรวดเร็ว
พวกคุณชายสามเซิ่งหลบซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง บานประตูกระแทกเข้ามาด้านในโดยตรง ขณะเดียวกัน เงาดำสองร่างก็พุ่งเข้ามาด้วย
ดาบยาวหลายเล่มฟันลงมาอย่างพร้อมเพรียง คนทั้งสองที่พุ่งเข้ามาเสียการควบคุมพยายามหลบเลี่ยงอย่างเต็มที่ ถึงขั้นสามารถหลบคมดาบไปได้กว่าครึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบลั่วเซิงไม่ได้กะพริบตาหรือขยับตัวเลย นางเหวี่ยงท่อนไม้ติดไฟในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นเนื้อไหม้โชยมา
เงาดำที่ถูกไม้ท่อนติดไฟโจมตีล้มลงกับพื้นและม้วนกลิ้งไปมา ในไม่ช้าก็ถูกดาบที่ฟันลงราวกับเม็ดฝนโจมตีจนเลือดเนื้อผสมปนเปกันไปหมด
คนหนึ่งฉวยโอกาสหลบออกไปฟันคอองครักษ์ด้วยอาวุธในมือแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่ลั่วเซิง
หงโต้วยกท่อนไม้ติดไฟโจมตีมั่วซั่ว ทุบตีไปก็ด่าทอไป “จะหนีไปที่ใด เป็นหมาตาบอดหรืออย่างไร!”
คนผู้นั้นหลบหลีกการโจมตีและเตะหงโต้วลอยไปไกล ยกดาบฟันไปทางลั่วเซิง
เมื่อเห็นลั่วเซิงตกอยู่ในอันตราย คุณชายสามเซิ่งรีบวิ่งเข้าไปกอดขาของคนผู้นั้นไว้
คนผู้นั้นพลิกข้อมือแล้วใช้ดาบแทงลงไปที่บริเวณลำคอของคุณชายสามเซิ่ง
องครักษ์ผู้หนึ่งรีบเข้ามาขวางตรงหน้าคุณชายสามเซิ่งจึงถูกคมดาบแทงทะลุจากหลังหัวใจ
คุณชายสามเซิ่งตะโกนเสียงดัง “เหล่าอวี๋!”
คนผู้นั้นพลิกมือดึงดาบ เลือดของเหล่าอวี๋กระเซ็นเต็มศีรษะและทั่วใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งทันที
พริบตานั้นลั่วเซิงพลันสะบัดแขนเสื้อสาดพริกไทยใส่อีกฝ่ายทันที
คนร้ายที่ฟันองครักษ์ราวกับผ่าแตงโมร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
ศิลปะการต่อสู้ของคุณชายสามเซิ่งนั้นไม่ได้แย่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสบตาจึงรีบจู่โจมกลับทันที
ทั้งสองฝ่ายประมือ ผลแพ้ชนะเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
ดวงตาของคนร้ายปวดแสบปวดร้อน ไม่นานก็เผยให้เห็นจุดอ่อนจึงตายภายใต้คมดาบ
ฝนยังคงตก กลิ่นคาวเลือดในวัดกลบกลิ่นชาขิงร้อนจนหมด ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้
คุณชายสามเซิ่งมองดูซากศพที่นอนกระจัดกระจายด้วยความงุนงง และเรียกน้องหญิงคำหนึ่งโดยไม่รู้ตัว