ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 6 อาการชา
ตอนที่ 6 อาการชา
ต้นส้มในเรือนฝูหนิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงพระอาทิตย์ยามตะวันรอน ใบไม้สีเขียวปรากฏสีแดงจางๆ
โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ห้อยอยู่ใต้ชายคาส่องแสงสว่างไสว ปกคลุมความครึกครื้นของลานบ้าน
การมาของลั่วเซิง ทำให้สาวใช้ที่ยืนเฝ้าประตูตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตะโกนเสียงดัง “คุณหนูหลานนอกมาถึงแล้ว”
ลั่วเซิงก้าวเข้าประตูและสัมผัสได้ถึงความเงียบสงัดในห้องอย่างชัดเจน
งานเลี้ยงครอบครัวจัดขึ้นที่ห้องโถงบุปผา ในเวลานี้ นอกจากลูกพี่ลูกน้องชายที่ตกใจกลัวลั่วเซิง ทุกคนก็มากันครบแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดใจนี้ ลั่วเซิงโค้งคำนับทักทายฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งที่นั่งอยู่บนที่นั่งสูง “เซิงเอ๋อร์มาสายแล้ว”
นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งฉายแววประหลาดใจ แต่ก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “เซิงเอ๋อร์รีบนั่งลงเถิด”
ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองสบตากัน รู้สึกหดหู่ในใจ
คุณหนูหลานนอกไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัวมาก่อนเลย เหตุใดวันนี้จู่ๆ ถึงมาได้ มิใช่ว่าอยากได้เหล่าลูกชายของนางขึ้นมาจริงๆ หรอกนะ
หลังจากกวาดมองที่นั่งว่างหลายที่ ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองก็แอบดีใจ โชคดีที่บุตรชายไม่รู้ว่ามีเหตุผลอันใดถึงไม่มาปรากฏตัว ถือว่ารอดตัวไป!
ทันใดนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้นมา “พวกต้าหลางทำไมยังไม่มา”
ฮูหยินใหญ่ขยับมุมปาก แสร้งทำเป็นไม่พอใจพลางเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าไปเหลวไหลที่ใด ท่านอย่าอารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ รอพวกต้าหลางกลับมา ข้าจะว่าพวกเขาเอง”
“ยิ่งอยู่ยิ่งทำตัวใช้ไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งยกตะเกียบขึ้น
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งขยับตะเกียบ คนอื่นๆ ก็ขยับตาม
เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงครอบครัวจึงไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องห้ามพูดคุยบนโต๊ะอาหาร บรรยากาศจึงค่อนข้างอบอุ่น
ลั่วเซิงมีสถานะที่พิเศษ ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ล้วนให้การดูแลนางโดยถามคำถามแสดงความห่วงใยอยู่หลายประโยค แต่เห็นนางรับประทานอาหารอย่างสง่างามก็ชวนให้รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ดูน่ารังเกียจจึงไม่เอ่ยปากถามต่อ
ลั่วเซิงวางตะเกียบลงหลังจากรับประทานอาหารไม่นาน ยกถ้วยน้ำชาที่สาวใช้ส่งให้และกวาดมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจะอายุมากแล้ว แต่กลับกินเก่ง ขณะนี้กำลังใช้ตะเกียบคีบเป็ดรมควันอยู่
น้าใหญ่เซิ่งอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่งอาภรณ์นักปราชญ์ ดื่มสุรามากกว่าใช้ตะเกียบ ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ
คนที่นั่งถัดจากฮูหยินใหญ่คือคุณหนูใหญ่เซิ่งจยาอวี้ ทันทีที่ลั่วเซิงเดินเข้ามาก็ได้รับสายตาพิฆาตจากน้องสาวหลานในผู้นี้
เด็กสาวมีคิ้วใบหลิวและนัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่นั่งข้างเซิ่งจยาอวี้ คือคุณหนูรองเซิ่งจยาหลาน
ลั่วเซิงเหลือบมองเซิ่งจยาหลานสองหน
เซิ่งจยาหลานเอาแต่ก้มศีรษะรับประทานอาหารอย่างเดียว ดูสุภาพและอ่อนโยน
“อาหารไม่ถูกปากหลานหรือ”
ลั่วเซิงหันศีรษะไปมองใบหน้ายิ้มแย้มของฮูหยินใหญ่
“หลานอยากกินอะไรก็บอกได้เลยนะ ประเดี๋ยวน้าจะให้ครัวทำให้กิน” ฮูหยินใหญ่ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับรำคาญเป็นที่สุด
ไม่เพียงรำคาญ แต่ยังหวาดกลัวด้วย
มิใช่ว่าคุณหนูผู้นี้จะก่อเรื่องอีกแล้วนะ
ฮูหยินใหญ่เพิ่งหยุดคิดก็เห็นลั่วเซิงวางถ้วยน้ำชาไว้บนโต๊ะ
ถ้วยน้ำชาลายครามปะทะกับโต๊ะไม้แดงจนเกิดเสียงดัง
เสียงปะทะเบามาก แต่ทุกคนกลับสะดุ้งและมองตาม
ในที่สุดก็มาถึง ลั่วเซิงเป็นคนกินข้าวเงียบๆ เสียที่ไหน
คิ้วอันงดงามของลั่วเฉินขมวดแน่น กำตะเกียบไว้แน่น
เมื่อเผชิญกับการจ้องมองมาของทุกคน ใบหน้าของลั่วเซิงกลับนิ่งสงบ และเอ่ยเสียงราบเรียบ “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากอธิบายให้ท่านยายทราบ”
“เซิงเอ๋อร์อยากพูดอะไรหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งตาตื่นขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ได้แขวนคอตายด้วยตัวเอง”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้น ตะเกียบเงินข้างหนึ่งของคุณหนูรองเซิ่งจยาหลานตก
เสียงนี้ดังกว่าเสียงของลั่วเซิงเมื่อครู่นี้เสียอีก แต่ถูกกลบด้วยเสียงเย้ยหยันของคุณหนูใหญ่เซิ่งจยาอวี้
“เหอะๆ ทุกคนรู้ดีว่าพี่สาวไม่อยากแขวนคอตายจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเซิงได้ยินเซิ่งจยาอวี้เรียกตนว่าพี่สาว แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความประชดประชัน
“จยาอวี้ อย่าพูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินใหญ่ตะคอกลูกสาว แต่ดวงตากลับสงบนิ่ง
แน่นอนว่านางไม่โกรธบุตรสาวของตังเอง แม้บุตรสาวจะพูดจาแย่ๆ แต่ก็เพราะคุณหนูหลานนอกผู้นี้เรื่องเยอะเกินไป
เรื่องเยอะเสียทุกเรื่อง ทำให้ทั้งจวนสกุลเซิ่งไม่ได้รับความสงบสุข
ลั่วเซิงมีบิดาที่สกุลเซิ่งมิอาจล่วงเกินได้ ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้ แต่การทะเลาะวิวาทระหว่างเด็กรุ่นเดียวกัน ไม่ถึงขั้นสร้างปัญหาให้กับสกุลเซิ่งได้หรอก
หากเป็นบุตรสาวนาง…ฮูหยินใหญ่นึกถึงเรื่องนี้ก็ตกใจจนแทบหายใจไม่ออก
นางคงเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แน่!
แม่สามีมักจะพูดเสมอว่าน้องสามีสุภาพอ่อนโยน เห็นหลานสาวเป็นเช่นนี้ไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ
นางตะลึงโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองไปยังลั่วเซิง
เด็กสาวนั่งหลังตรง ดวงตาแน่วแน่ แตกต่างจากที่พวกเขาเคยรู้จัก
ลั่วเซิงไม่แม้แต่เหลือบมองเซิ่งจยาอวี้และอธิบายอย่างจริงจัง “ข้าหมายความว่าข้าไม่ได้แขวนคอตาย”
ลั่วเซิงใช้หางตาจ้องมองเซิ่งจยาหลานอยู่ตลอดเวลา อีกฝ่ายใบหน้าขาวซีด มุมปากเม้มแน่น ไม่หลงเหลือความสุภาพเรียบร้อยอยู่อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งสีหน้าดูจริงจังขึ้นมา จ้องลั่วเซิงและเอ่ยถามเสียงเคร่งครึม “เซิงเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
จากคำพูดของหลานสาว มีคนปองร้ายนางอย่างนั้นหรือ
ลั่วเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
ลั่วเซิงรนหาที่ตายเองคือเรื่องหนึ่ง แต่มีคนคิดปองร้ายนางคืออีกเรื่อง
“หลานสาว บางคำพูดไม่ควรพูดส่งเดชนะ” ฮูหยินใหญ่เกลี้ยกล่อมทั้งที่กดหัวใจที่เต้นแรงเอาไว้
มุมปากของลั่วเซิงโค้งขึ้น
ดวงตาของนางสดใสและผิวขาวผุดผ่องขาวราวกับหิมะ แต่ไม่ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย ดูเย็นชาราวกับรูปปั้น
ความเย็นเยือกที่อธิบายไม่ได้นี้ ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับสิ่งที่นางจะพูดต่อไปนี้
ลั่วเซิงเอ่ยปาก “ข้าไม่คิดที่จะแขวนคอตาย แต่กลับเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น หลังจากครุ่นคิดดูแล้วอาจเกิดจากการเดินละเมอกลางดึกและทำสิ่งที่เลอะเลือนไปโดยไม่ตั้งใจ”
“เดินละเมอกลางดึกรึ” ทุกคนตกตะลึง
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “เดิมทีข้าไม่อยากพูดถึงโรคที่ไม่อยากเปิดเผย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องเป็นห่วง วันนี้จึงอยากพูดให้กระจ่าง”
บรรยากาศอันสงบนิ่งเคลื่อนตัวตามที่ลั่วเซิงอธิบาย
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถอนใจและเอ่ยถามด้วยความกังวล “อาการป่วยร้ายแรงหรือไม่ พ่อเจ้าเคยเชิญหมอมาดูอาการแล้วหรือยัง”
“เคยเชิญมาแล้ว ตอนเด็กอาการกำเริบบ่อย โตมาก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว เกรงว่าน่าจะย้ายที่นอนจึงยังไม่คุ้น ทำให้อาการกำเริบได้”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เชิญหมอมาดูอาการแล้วกัน”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะปฏิเสธ “อย่าลำบากไปเลยเจ้าค่ะ หงโต้วเคยต้มเคี่ยวยาให้ข้ามาก่อน ยังจำตำรับยาได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งอยากเกลี้ยกล่อมนางอีกครั้ง แต่ลั่วเซิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้โรคที่ข้าเป็นอยู่”
จากนั้น หยินผู้เฒ่าเซิ่งถึงยอมล้มเลิกความตั้งใจ
ลั่วเซิงใช้หางตาเหลือบมอง เห็นใบหน้าของคุณหนูรองเซิ่งจยาหลานกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง
นางโค้งริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยและจิบน้ำชา
หลังจากงานเลี้ยงครอบครัวจบลง พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า แสงจันทราอันอ่อนจางสาดส่องสะท้อนลงมา
ลั่วเซิงไม่ยอมให้หงโต้วถือตะเกียงและเดินไปบนทางเดินหินสีเขียวอย่างสบายใจ
ลั่วเฉินรีบเดินตามและขวางทางนางไว้
ภายใต้แสงจันทรา ดวงตาของเด็กหนุ่มดูลุ่มลึก แฝงไปด้วยความต้องการสืบหาความจริง “พี่เป็นโรคเดินละเมอกลางดึกจริงหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้า
“เหตุใดในฝันถึงอยากแขวนคอตาย”
ลั่วเซิ่งรู้สึกว่าคำถามของเด็กหนุ่มดูรุนแรงไปเสียหน่อยจึงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงตอบว่า “อาจเพราะไม่กล้าลองตอนตื่นน่ะ”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” เด็กหนุ่มโกรธจนใบหน้าซีดขาว สะบัดชายเสื้อและเดินจากไป
ลั่วเซิงที่ยืนอยู่ข้างถนนเฝ้ามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มร่างผอมจากไปด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง
ไม่นาน นางก็จะจากที่แห่งนี้ไปแล้ว ไม่มีกะจิตกะใจมาสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
ริมถนนมีดอกไม้และต้นไม้เขียวชอุ่มทอดเงาบนอาภรณ์ของเด็กสาว
ทันใดนั้น เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา