ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 98 เรื่องจริงเรื่องเท็จ
ตอนที่ 98 เรื่องจริงเรื่องเท็จ
เลือดห่านคือกระสายยา ฟังดูแล้วหาได้ง่ายมาก แต่หากมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นห่านอายุสิบสองปีขึ้นไปก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแล้ว
พูดได้ว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
จวนใครเลี้ยงห่านไว้ไม่ใช่เพื่อเก็บไข่กินเนื้อ อย่างมากที่สุดหากมีคนดูแล ห่านที่มีอายุถึงสิบปีก็ไม่ค่อยวางไข่แล้ว ไม่ฆ่ากินเนื้อแล้วจะเลี้ยงไว้จนแก่หรือ
เมื่อเห็นเว่ยหานเงียบ หมอเทวดาหลี่ก็พูดว่า “ห่านสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงยี่สิบกว่าปี แม้ห่านที่มีอายุกว่าสิบสองปีจะพบเห็นได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ส่งคนจำนวนมากออกไปหาก็น่าจะยังหาได้”
“ขอบคุณหมดเทวดาที่ปลอบใจ ข้าจะส่งคนไปหาเดี๋ยวนี้”
หมอเทวดาหลี่กลอกตา
เจ้าหมอนี่เข้าข้างตัวเองจริงๆ ใครปลอบใจเขากัน เขาแค่พูดสิ่งที่ควรพูดให้หมด จะได้รีบกลับไปหานังหนูสกุลลั่วนั่น ถามนางให้รู้แล้วรู้รอด
“ข้าจะฝังเข็มให้ท่านเพื่อควบคุมอาการชั่วคราว มีเพียงการหาห่านขาวที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เจอเร็วที่สุดเท่านั้นจึงจะรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้”
หมอเทวดาหลี่พูดถึงตรงนี้ก็กำชับว่า “ใช่แล้ว ต้องเป็นห่านขาวที่เลี้ยงในจวนเท่านั้น ไม่ใช่ห่านป่า ห่านเลี้ยงและห่านป่ามีนิสัยแตกต่างกัน อาหารที่กินก็ต่างกัน ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในกระสายยาอาจทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมาก”
“ขอบคุณหมอเทวดาที่ย้ำเตือน ข้าจำไว้แล้ว”
หมอเทวดาหลี่เปิดกล่องยาหยิบเข็มทองแผงหนึ่งออกมา “เช่นนั้นก็เริ่มฝังเข็มกันเถิด”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมอเทวดาหลี่ทำความสะอาดมือ หยิบกล่องยาขึ้นมา
เว่ยหานลุกขึ้นทำท่าจะไปส่ง
หมอเทวดาหลี่โบกมือ “ท่านอ๋องมิต้องส่ง”
“เช่นนั้นให้องครักษ์ส่งท่านกลับ”
หมอเทวดาหลี่ปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ข้าต้องไปจวนสกุลลั่วอีกครั้ง”
เว่ยหานชะงักงัน
หมอเทวดาจะไปหาคุณหนูลั่วหรือ
หมอเทวดาเห็นเขาตะลึงก็ถือโอกาสถามว่า “ทำไมรึ ท่านไม่รู้ว่าข้ามาเพราะคุณหนูลั่วหรือ”
“ข้ารู้”
ที่เขาไม่รู้คือเหตุใดหมอเทวดาหลี่จึงมาเพราะคุณหนูลั่ว
ครานี้ หมอเทวดาหลี่ลูบเครา ไม่เข้าใจเช่นกัน เหตุใดนังหนูสกุลลั่วถึงขอให้เขามารักษาไคหยางอ๋องนะ
จุ๊ๆ ชายทั้งแท่งหวังให้สาวน้อยคนหนึ่งช่วยเหลือ เห็นทีไคหยางอ๋องไม่ได้เรื่องจริงๆ
ขณะที่หมอเทวดาหลี่ดูแคลน เขาก็ลืมสนิทว่าเขาเป็นคนสร้างความยากลำบากให้ไคหยางอ๋องในการเข้ารับการรักษา
เมื่อหมอเทวดาหลี่จากไป เว่ยหานก็สั่งสือเยี่ยน “พาลูกน้องไปจำนวนหนึ่ง หาห่านเลี้ยงสีขาวที่มีอายุมากกว่าสิบสองปีให้เจอโดยเร็วที่สุด” ทันทีที่สือเยี่ยนได้ยินก็ถามทวนว่า “ห่านสิบสองปีหรือ”
เนื้อเหนียวจะตาย
“อย่าพูดมาก รีบไปหาให้เจอ เรื่องจวนสกุลหลินก็จะลบล้างด้วยความดีความชอบ”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปหาเดี๋ยวนี้”
ก็แค่ห่านขาวอายุสิบสองปี เขา… เขาจะไปหาที่ไหนเล่าทีนี้!
ไม่ต้องเอ่ยถึงความทุกข์ใจของสือเยี่ยน หลังจากที่หมอเทวดาหลี่ออกจากจวนไคหยางอ๋องแล้วกลับไปจวนแม่ทัพใหญ่อีกครั้งก็ทำเอาผู้คนที่มามุงดูแทบจะขาดใจตายเพราะความอยากรู้อยากเห็น
หมอเทวดาหลี่ไปจวนแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว!
หมอเทวดาไปๆ มาๆ ระหว่างจวนแม่ทัพใหญ่และจวนไคหยางอ๋อง ต้องไม่ใช่รักษาไข้ให้ใครคนใดคนหนึ่งแน่ๆ
มีคนผุดความคิดอย่างกล้าหาญว่า หรือว่าหมอเทวดาไม่ได้ไปในฐานะหมอเทวดา แต่เป็นพ่อสื่อ?
แม้แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วก็คิดเช่นนี้เพราะหมอเทวดามาหาที่จวนถึงสองครั้งในหนึ่งวัน
ใช่ การคาดเดาเช่นนี้ประหลาดไปหน่อย แต่ไม่แน่ว่าครานั้นที่บุตรสาวขอร้องให้เขารักษา หมอเทวดาอาจชื่นชมจุดแข็งตรงไหนของนางก็ได้เล่า
ลั่วเซิงยังคงต้อนรับหมอเทวดาหลี่ที่เรือนเสียนอวิ๋นย่วน
อากาศเดือนสี่เหมาะกับการดื่มชาใต้ต้นไม้ในสวน
คราวนี้ไม่ใช่ชาดอกกุหลาบ นางเปลี่ยนเป็นชาเขียวสีเขียวหยก
ถัดจากชาเขียวคือจานกระเบื้องสีขาวที่มีขนมอบห้าสีอยู่บนนั้น
“หมอเทวดาดื่มชาให้ชุ่มคอก่อนเจ้าค่ะ”
เดิมหมอเทวดาหลี่อยากจะพูดเข้าประเด็นเลย แต่เมื่อเห็นชาที่มีสีเขียวใส กลิ่นหอมแตะจมูก เขาก็ยกขึ้นมาดื่มสองสามคำเงียบๆ
นังหนูน้อยพูดถูก ชุ่มคอก่อนค่อยพูดก็ไม่สาย
ชาดี!
หมอเทวดาหลี่ชื่นชมในใจ วางจอกชาลงกำลังจะพูดเรื่องสำคัญ
“หมอเทวดาลองชิมขนมอบก่อนเจ้าคะ ขนมสีน้ำตาลทองและโรยหน้าด้วยผงสีขาวคือขนมฟักทองมะพร้าว มีรสหวาน นุ่ม และไม่ติดฟัน ขนมสีเขียวมรกตสอดไส้น้ำจากใบสาระเหน่เล็กน้อยคือขนมถั่วหยก ทำให้ทานแล้วสดชื่น ขนมสีชมพูรูปดอกไม้คือขนมกุหลาบแก้ว ส่วนขนมสีม่วงอ่อนคือขนมดอกหอมหมื่นลี้ที่ทำมาจากผงรากบัว…”
หมอเทวดาหลี่ฟังหญิงสาวแนะนำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางกินขนมฟักทองมะพร้าวชิ้นหนึ่ง ขนมถั่วหยกชิ้นหนึ่ง ขนมกุหลาบแก้วชิ้นหนึ่ง…
ไม่มีอะไรเหลือบนจานแล้ว เหลือเพียงเศษขนมอบ
หมอเทวดาหลี่ยื่นมือไปบนจานที่ว่างเปล่า รู้สึกเก้อเขินชั่วขณะ
หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามยิ้ม “หมอเทวดาทานอีกจานหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” หมอเทวดาหลี่พูดสามพยางค์ออกมาอย่างยากลำบาก
กินไม่หมดไม่สิ้นแบบนี้ เขาจะยังมีหน้าถามอีกหรือ
คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยคนหนึ่งจะเจ้าเล่ห์เช่นนี้ คิดจะติดสินบนเขาด้วยชาและขนมอบจานหนึ่ง
เขาเป็นถึงหมอเทวดา ใช่คนแบบนี้หรือ
“โค่วเอ๋อร์ ยกขนมอบมาอีกจาน”
สาวใช้คนหนึ่งยกจานเปล่าออกไปและเปลี่ยนเป็นจานใหม่ที่เต็มไปด้วยขนมอบเต็มจานอย่างรวดเร็ว
หมอเทวดาหลี่ปรายมองอย่างไม่สนใจ ยืนหยัดไม่กิน
“ข้าตรวจอาการไคหยางอ๋องแล้ว ตอนนี้คุณหนูลั่วบอกได้หรือยังว่าได้ยาลดไข้และยาบำรุงปราณมาจากที่ใด”
“แน่นอน” ลั่วเซิงมองโค่วเอ๋อร์
โค่วเอ๋อร์รีบดึงหงโต้วออกไปที่ประตูสวนทันที เหลือเพียงคุณหนูและหมอเทวดาสองคน
“หมอเทวดายังจำที่ข้าบอกว่าเจอหมอเทวดาท่านหนึ่งที่เมืองหนานหยางได้หรือไม่เจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่หน้านิ่ง “จำได้”
นังหนูน้อยพูดโป้ปด เขายังเชื่อ
คิดแล้วก็โมโห หมอเทวดาหลี่จึงพูดออกมา “แม่นางน้อยหลอกข้า!”
ลั่วเซิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “ยาลดไข้และยาบำรุงปราณข้าได้มาจากเมืองหนานหยางจริงๆ”
“เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาซิว่าได้มาอย่างไร!” หมอเทวดาหลี่ลืมขนมอบที่กินไปเต็มท้อง โมโหขึ้นมาอีกครั้ง
ลั่วเซิงผลักจานขนมอบไปทางหมอเทวดาหลี่เบาๆ เงียบๆ พูดอย่างลำบากใจว่า “ข้ากลัวว่าพูดไปแล้วหมอเทวดาคิดว่ามันเหลวไหลและไม่เชื่อ”
“ข้าอยู่มาอายุปูนนี้ เรื่องพิลึกอะไรไม่เคยเจอ พูดมา!” หมอเทวดาหลี่ตบโต๊ะหินแล้วหยิบขนมอบชิ้นหนึ่งขึ้นมา
ลั่วเซิงเริ่มเล่า “ต้นปีข้าถูกท่านพ่อส่งไปจวนท่านตาท่านยายที่จินซา ระหว่างทางไปข้าแวะพักที่เมืองหนานหยางครึ่งวัน เมื่อได้พบน้องชายที่อ่อนแอและมีโรครุมเร้าที่อาศัยในจินซาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีสูตรยาสองตัวนี้ปรากฎขึ้นมาในหัว…”
หมอเทวดาหลี่ปากสั่น ข่มอารมณ์โมโหที่อยากจะด่านางว่าพูดจาเหลวไหลลงไป
ลั่วเซิงเห็นหมอเทวดาหลี่ไม่ได้บันดาลโทสะก็พูดต่อไปว่า “ครานั้นข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องเมืองหนานหยาง ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเดือนก่อนที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าแวะพักที่เมืองหนานหยางอีกครั้ง เมื่อถึงคืนวันที่สอง ไม่รู้ว่าเพราะท่องราตรีหรือสาเหตุใด เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในจวนร้างแห่งหนึ่ง…”
“จวนร้าง?” หมอเทวดาหลี่ตกใจ มีลางสังหรณ์บางอย่าง
ลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง “ท่านรู้หรือไม่ นั่นคือจวนร้างของเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกสังหารทั้งครอบครัวเมื่อสิบสองปีก่อน ตอนนั้นข้าตกใจมาก หลังจากจากไปอย่างงุนงงคิดว่าเรื่องจะผ่านไปเช่นนี้ แต่ไม่รู้เหตุใดมีเสียงในหัวเพิ่มมา บอกข้าว่ายาลดไข้และยาบำรุงปราณเป็นยาของหมอเทวดาแซ่หลี่ท่านหนึ่ง และเสียงๆ นั้นอ้างตนว่าเป็นท่านหญิงชิงหยาง…”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามหน้าซีดเล็กน้อย ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยความไม่สบายใจ “หมอเทวดา ท่านคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ ข้าคงไม่ได้ถูกผีอำหรอกนะ”