ปล้นสวรรค์ - บทที่ 845 ศัตรูระลอกใหม่
หลังจากได้รับเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณมาเรียบร้อย หลินจ้านเผิงก็ถามขึ้นว่า “บรรพบุรุษ ข้าสามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณให้กับคนอื่น ๆ ในตระกูลได้เลยใช่ไหม?”
“ข้าให้มันกับเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจะถ่ายทอดมันให้ใครก็เป็นเรื่องของเจ้า! แต่ถ้าเจ้าไม่โง่มากจนเกินไปก็ควรจะรู้ว่าเจ้าไม่ควรจะถ่ายทอดมันให้กับพวกคนนอกที่เจ้าจ้างมาเพื่อให้มาปกป้องตระกูล!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “อ๋อ เจ้าจงอย่าไปบอกใครว่าข้าเป็นคนถ่ายทอดมันให้กับเจ้าและอย่าบอกใครว่าข้าเป็นบรรพบุรุษไร้นามของเจ้าด้วย แค่อ้างไปว่าเคล็ดวิชานี้เจ้าบังเอิญคิดค้นมันได้ตอนเจ้าเข้ามาในหอคอยเสียงสวรรค์ตอนนี้ก็ได้ ส่วนตัวตนของข้า เจ้าก็บอกกับคนอื่นไปเหมือนที่ข้าเคยบอกซวนเอาไว้ว่าข้าคือพี่น้องร่วมสาบานของบรรพบุรุษเจ้า หลินฉีเฮง”
หลินจ้านเผิงยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกลับ “ข้ารับทราบแล้วท่านบรรพบุรุษ ถ้างั้นเดี๋ยวข้าขอตัวไปพาคนอื่น ๆ มาคารวะท่านก่อนก็แล้วกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม เจ้าไปพาพวกเขาเข้ามาได้! โดยเฉพาะลูกชายของเจ้า ข้าอยากจะฟาดก้นเขาให้หนักจริง ๆ โทษฐานที่เขาบังอาจเคยเรียกว่าข้าเป็นคนรุ่นหลังของเขาบ้างหรือไม่บางทีก็สั่งนู่นสั่งนี่ข้าอยู่ได้มันน่ารำคาญซะจริง ๆ”
“ท่านบรรพบุรุษอย่าได้โทษเขาเลย ที่เขาไปเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่รู้ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ข้าจะจัดการเขาเอง!” หลินจ้านเผิงรีบพูดขึ้น
ไม่นานต่อมาเหล่าผู้คนที่มีสายเลือดของตระกูลหลินก็ถูกพาตัวเข้ามาจนครบ ซึ่งพวกเขาก็แสดงสีหน้างุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินจ้านเผิงตวาดลั่นทันทีเมื่อเห็นว่าเหล่าทายาทของเขายังยืนหัวโด่กันอยู่ “เจ้าพวกนี้นิ! รีบคุกเข่าคารวะบรรพบุรุษเร็วเข้า! หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษช่วยพวกเจ้าเอาไว้ ป่านนี้พวกเจ้าน่าจะตายไปหมดแล้ว!”
เมื่อพูดจบ หลินจ้านเผิงไม่รอช้าเตะไปที่ก้นของหลินหงเหวินป้าบใหญ่จนเขากลิ้งหลุน ๆ
ในเมื่อหลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นแล้วว่าไม่พอใจในมารยาทของลูกชายเขา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสั่งสอนลูกชายของเขาต่อหน้าหลิงตู้ฉิง เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ
หลินหงเหวิน ผู้มีอายุหลายพันปีแล้วเมื่อโดนพ่อของเขาเตะจนกลิ้งหลุน ๆ ต่อหน้าลูกหลานของเขา เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยความอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
แต่ในเมื่อลูกเตะนี้เป็นพ่อของเขาเองที่เตะสั่งสอน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเถียงอะไร
“ซวน เจ้าลุกขึ้นยืนได้คนเดียว!” หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งพลังวิญญาณของเขาพยุงร่างของหลินหรูซวน จากนั้นเขามองไปที่หลินหงเหวิน และพูดว่า “เจ้าไม่พอใจงั้นเหรอไอ้หนู? เจ้ายังอยากจะตวาดใส่ข้าอีกไหม? เจ้ามันก็แค่ไอ้เด็กโง่ที่ดีแต่เดินลอยหน้าลอยตาไปวัน ๆ แต่กลับคิดการใหญ่พัฒนาตระกูลทั้ง ๆ ที่เจ้าพาใครก็ไม่รู้ตั้งมากมายมาอยู่ในตระกูลจนสร้างหายนะให้กับตัวเอง! ไม่สิ ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่ไร้น้ำยา แต่ไม่มีใครในพวกเจ้าเลยที่มันพอจะได้เรื่องโดยเฉพาะเจ้า! เหรินเจี๋ย แนวความคิดของเจ้าไม่เหมาะจะเป็นผู้นำตระกูลที่สุด ดังนั้นในอนาคตเจ้าจะไม่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูล! จงรีบให้ภรรยาของเจ้าให้กำเนิดลูกชายซะ แล้วจากนั้นค่อยมาดูว่าลูกชายของเจ้าจะมีน้ำยามากกว่าเจ้ารึเปล่า!”
หลินหรูซวนที่ยืนอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิง เมื่อได้ยินเช่นนี้นางยิ้มและพูดแทรกว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านจะโทษท่านพ่อและท่านปู่ของข้าเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้ หากท่านมาที่นี่เร็วกว่านี้พวกเราก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มันเละเทะได้ถึงขนาดนี้จริงไหม?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ได้! ข้ายอมรับผิดในส่วนนั้นก็ได้! เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าทุกคนจงออกไปเตรียมรับการโจมตีระลอกใหม่ได้แล้ว ถังเหวินหลี่ได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปหาคนที่หนุนหลังมันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งน่าจะอีกไม่นานที่ศัตรูชุดใหม่จะมาถึง ส่วนเจ้า จ้านเผิง หลังจากนี้เจ้าจงตรวจสอบทุกคนที่อยู่ในตระกูลให้ละเอียดเพื่อดูว่าใครบ้างที่มีความคิดเดียวกับซือหยวน หรือคนทรยศคนอื่น ๆ และจัดการกับพวกเขาให้หมด และหลังจากที่พวกเจ้าเตรียมการทุกอย่างกันจนเสร็จ ข้าจะบรรยายเต๋าให้พวกเจ้าฟังเพื่อที่พวกเจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับทันก่อนที่ศัตรูชุดใหม่จะมาบุก”
“ขอบคุณบรรพบุรุษ!” หลินจ้านเผิงรีบตอบกลับทันที
จากนั้นหลินจ้านเผิงก็พาคนอื่น ๆ ออกไปจากหอคอยเสียงสวรรค์
อันที่จริงต่อให้หลิงตู้ฉิงไม่สั่งเช่นนี้ หลินจ้านเผิงก็ตั้งใจว่าเขาจะชำระล้างตระกูลใหม่ทั้งหมดอยู่ดี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณให้กับคนอื่น ๆ ได้อย่างสบายใจ
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าจะเล่นพิณให้ท่านผ่อนคลายก็แล้วกัน!” หลินหรูซวนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ จากไปแล้ว
นางเข้าใจดีว่าที่หลินจ้านเผิงไม่เรียกให้นางออกไปด้วยนั้นเป็นเพราะว่าปู่ทวดของนางคงอยากจะให้นางคอยปรนนิบัติเอาใจหลิงตู้ฉิง เพื่อที่นางจะได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่น ๆ
“ด้วยความสามารถของเจ้าเนี่ยนะจะทำให้ข้าผ่อนคลายได้?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ และมองไปที่หลินหรูซวน “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้อะไร มาเข้ามา ข้าจะถ่ายทอดท่วงทำนองแห่งสรวงสวรรค์ให้กับเจ้า ซึ่งบทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่เอาไว้โจมตีคู่ต่อสู้และความรุนแรงของมันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าวิญญาณก้องกังวาลของเผ่าปีศาจสมุทรเลยแม้แต่น้อย”
หลินหรูซวนหัวเราะ “ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว จากนั้นเขาพูดว่า “แต่ว่ารากฐานการบ่มเพาะที่เจ้ามีอยู่ตอนนี้มันช่างอ่อนแอซะเหลือเกิน ดังนั้นเขาคงต้องช่วยเจ้าทำให้มันมั่นคงซะก่อน”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงยืมพลังของระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในหอคอยเสียงสวรรค์มาขัดเกลารากฐานการบ่มเพาะของหลินหรูซวน ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของนางจากที่ตอนแรกอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราถูกลดระดับลงไปเหลือขอบเขตควบแน่นลมปราณทันที
ทางด้านของหลินหรูซวนที่จู่ ๆ ก็ถูกพลังอันมหาศาลของระฆังศักดิ์สิทธิ์ขัดเกลาร่างกาย นางเจ็บปวดจนถึงขนาดที่ไม่ทันได้กรีดร้องก็ล้มพับลงหมดสติไปซะก่อน และร่างของนางทั้งร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดของนางเองที่ซึมออกมาจากรูขุมขน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หลินหรูซวนก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น จากนั้นเมื่อนางลุกขึ้นมานั่งได้ นางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเข็ดขยาด
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ จากนั้นเขาโบกมือกำจัดคราบเลือดทั้งหมดที่ติดอยู่บนร่างกายกับเสื้อผ้าของนางให้หมดไป และพูดว่า “ถึงแม้ว่ามันจะทารุณสักหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่าน่าพึงพอใจทีเดียว! เอาล่ะตอนนี้เจ้าจงตั้งใจบ่มเพาะซะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนช่วยเสริมพลังให้เจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ทะลวงระดับได้เร็วยิ่งขึ้น และเจ้าเอาพิณของเจ้ามาให้ข้าด้วย ข้าจะเล่นท่วงทำนองแห่งสรวงสวรรค์ให้เจ้าฟังในระหว่างที่เจ้าบ่มเพาะ”
หลินหรูซวนพยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นนางยื่นพิณให้กับหลิงตู้ฉิง ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็ใช้อาณาเขตสวรรค์ของเขาเกื้อหนุนพลังให้กับหลินหรูซวน เพื่อช่วยให้นางทะลวงระดับได้ง่ายขึ้นและเขาเองก็เล่นพิณคลอไปด้วย
หลังจากนั้นด้วยสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนนางขนาดนี้ ระดับการบ่มเพาะของหลินหรูซวนจึงทะลวงขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ!
ในระหว่างที่หลินหรูซวนกับหลิงตู้ฉิงยังอยู่ในหอคอยเสียงสวรรค์ หลินจ้านเผิงก็ทำการกวาดล้างเหล่าผู้คนที่คิดไม่ซื่อกับตระกูลของเขาทันที และคนแรกที่ถูกคิดบัญชีก็คือคู่พ่อลูกแซ่ถัง
เมื่อเผชิญกับคำทักท้วงของถังเหวินหลี่ หลินจ้านเผิงแสดงสีหน้าเย็นชาและตอบกลับว่า “ถังเหวินหลี่ เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว! เอาไว้รอให้นายน้อยมิติอะไรนั่นมาถึงก่อน ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าอีกที! เด็ก ๆ เอามันกับลูกของมันไปขังในคุกใต้ดินไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวัน!”
ถังเหวินหลี่ เมื่อได้ยินชื่อของคนหนุนหลังเขาถูกเอ่ยขึ้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวตนของเขาถูกเปิดโปงหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเถียงอะไรต่อและได้แต่รอให้เจ้านายของเขามาช่วยเหลือ
ในพริบตาเวลาได้ผ่านไปอีก 10 ปี!
เกาะหนานชานในเวลานี้ถูกชำระล้างใหม่เรียบร้อย ซึ่งทุกคนที่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณต่างก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่แน่นอนว่าผู้ที่พัฒนาขึ้นไปมากที่สุดก็คงไม่พ้นจะเป็นหลินหรูซวน
ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางได้แซงหน้าพี่ชายของนางไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นางขึ้นไปอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 10 ซึ่งมันทำให้หลินเหรินเจี๋ยถึงกับเดินมาบ่นกับหลิงตู้ฉิงว่าเขาลำเอียง
แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำบ่นของหลินเหรินเจี๋ยอยู่แล้ว เพราะเขารู้ดีว่าหลินเหรินเจี๋ยนั้นไร้ซึ่งอนาคต ซึ่งเขาไม่อยากจะเสียเวลากับคนแบบนี้ต่อให้จะเป็นลูกหลานของเขาเองก็ตาม
ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงกลับให้ความสนใจกับลูกชายของหลินเหรินเจี๋ยไม่น้อย หลิงตู้ฉิงสอนเด็กน้อยให้บ่มเพาะอย่างถูกต้องและสอนแนวความคิดต่าง ๆ ให้กับเด็กชายเพื่อที่เด็กชายผู้นี้จะได้กลายเป็นผู้นำของตระกูลที่เหมาะสมในอนาคต
แต่แล้วในระหว่างที่ตระกูลหลินกำลังไปได้สวยในทุก ๆ เรื่อง จู่ ๆ รอยแยกมิติก็ปรากฏขึ้นที่นอกชายฝั่งของเกาะหนานชาน และจากนั้นคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองก็ปรากฏกายออกมาจากรอยแยกมิติ
“ที่นี่คือเกาะหนานชานใช่ไหม? ตระกูลหลินทั้งหลายจงออกมาคุยกับบข้าเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มตะโกนขึ้น ในขณะที่ร่างกายของเขาลอยอยู่เหนือเกาะหนานชาน และจ้องลงไปยังเหล่าผู้คนของตระกูลหลินด้วยสายตาราวกับว่าเขากำลังมองมดแมลงอยู่
หลินจ้านเผิง ซึ่งรอคอยเวลานี้มานานแล้วก็ปรากฏกายขึ้นทันทีด้วยรอยยิ้ม และถามกลับไปว่า “เจ้าคงจะเป็นนายน้อยมิติอะไรนั่นใช่ไหม? เจ้าปล่อยให้พวกข้ารอเจ้าอยู่นานเลยทีเดียว!”
นายน้อยมิติขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ว่าข้าจะมา?”
“แน่นอนว่าข้าต้องรู้เพราะตอนนี้ลูกสมุนของเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่อย่างลำเค็ญในคุกใต้ดินของข้า!” หลินจ้านเผิงตอบกลับ จากนั้นเขาจึงสั่งให้คนของเขาไปพาตัวคู่พ่อลูกแซ่ถังออกมาจากคุกใต้ดิน!