ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 125 รักเพียงเธอ
“เธอ…” ฉินซินหยิ่งหน้าบึ้ง แล้วเลิกคิ้วพยายามระงับความโกรธ เธอยิ้ม มองถังซีขณะกล่าวว่า “เร็วเกินไปไหม ที่เธอจะพูดแบบนี้ ยังไม่แน่เลยว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้าย”
ถังซียักไหล่ แต่ในนาทีนั้นนั่นเองน้ำเสียงเย็นชาของเฉียวเหลียงก็ดังออกมาจากห้องพักผ่อน “ถึงอย่างไรคุณก็จะไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่นอน”
เมื่ออาห้าได้ยินเสียงทรงอำนาจของเจ้านาย เขาเกือบจะกระโดดตัวลอย เขายกนิ้วให้เจ้านาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ชอบคุณฉินคนนี้เลย
ถังซีหันไปมอง เธอเห็นเฉียวเหลียงซึ่งในที่สุดก็หลับลงได้ แต่ถูกฉินซินหยิ่งปลุกให้ตื่น กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าห้องพักผ่อน
ฉินซินหยิ่งหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่คิดว่าเฉียวเหลียงจะอยู่ในห้องพักผ่อนจริงๆ เฉียวเหลียงไม่ชอบให้ใครใกล้ชิดเขา ยกเว้นคนที่สนิทจริงๆ เขาไม่เคยยอมให้ใครรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเขาเด็ดขาด เท่าที่เธอรู้บุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถนอนเคียงข้างเขาได้คือถังซี แต่เธอไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
ดวงตาเธอเต็มไปด้วยน้ำตาขณะมองหน้าเฉียวเหลียง เธอจ้องมองเฉียวเหลียงด้วยท่าทางน่าสงสาร และพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “เฉียวเหลียงฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ เรายังไม่รู้เลยว่าเสี่ยวซียังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว แต่คุณกับผู้หญิงคนนี้… ในห้องทำงาน” แทนที่จะพูดต่อไป เธอใช้เพียงสายตากล่าวหาเฉียวเหลียง
ถังซีเลิกคิ้ว นั่งเท้าคางมองฉินซินหยิ่ง เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉินซินหยิ่งนั้นเก่งมากในเรื่องการแสดง เธอไม่เคยตระหนักเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ว่า ผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์ได้ในชีวิตจริง ทำไมผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งว่าไม่รู้สึกอะไรต่อเฉียวเหลียงได้ขนาดนี้ต่อหน้าเธอ
เฉียวเหลียงมองฉินซินหยิ่งด้วยสายตาเยือกเย็น และกล่าวอย่างเฉยเมย “ผมจะเป็นคนแบบไหน ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ”
จากนั้นสายตาเขาก็อ่อนโยนลงเมื่อมองถังซี ซึ่งกวักมือเรียกเขาและกล่าวว่า “มานั่งนี่สิคะ คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง”
เฉียวเหลียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เดินไปนั่งข้างๆ เธอ และจับผมเธอให้เข้าที่อย่างเบามือ โดยไม่สนใจฉินซินหยิ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง “ผมนอนไม่หลับหรอก ถ้าคุณไม่นอนอยู่ข้างๆ ผม”
ถังซียิ้ม และเมินเฉยต่อการปรากฏตัวของฉินซินหยิ่งเช่นกัน เธอกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพยายามนอนให้หลับแล้วล่ะค่ะ เราออกไปดื่มน้ำชากันดีกว่า แล้วคืนนี้ค่อยเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำงานได้อย่างกระปรี้กระเปร่า”
ถังซีสาบานได้ว่านี่เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดที่เธอพูดกับเฉียวเหลียง ตั้งแต่คบกันมา
เฉียวเหลียงมองตาถังซีอย่างลึกซึ้ง แม้เธอจะพูดด้วยถ้อยคำธรรมดาที่สุด แต่เขาเห็นได้ถึงความอ่อนโยนมากมายในสายตาเธอ เขาพยักหน้าแล้วจับมือเธอขณะถามว่า “คุณอยากทานอาหารค่ำกับผมไหม”
ถังซีส่ายศีรษะ “ฉันสัญญากับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะกลับไปทานอาหารค่ำที่บ้านค่ะ”
ฉินซินหยิ่งกำมือแน่นขณะจ้องมองถังซี จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป อาห้ารีบตามเธอไปอย่างรวดเร็ว ถังซีเหลือบเห็นฉินซินหยิ่งเดินออกไป เธอตีเบาๆ ที่มือเฉียวเหลียงซึ่งจับมือเธอไว้และเล่นนิ้วเธอ พร้อมกับถามว่า “คุณรู้ไหมว่าซินหยิ่งชอบคุณ”
เฉียวเหลียงมองหน้าเธอและตอบว่า “ทำไมผมต้องรู้ด้วยล่ะ”
ถังซีอึ้ง นี่คือแบบที่เขาเป็น หากไม่สนใจใครคนใด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามทำให้เขาประทับใจแค่ไหน เขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย หรือแม้จะรู้สึก เขาก็ยังคงรักษาระยะห่างจากคนคนนั้นไว้นอกโลกของเขา ไม่น่าแปลกใจเลย…
ถังซีถอนใจยาวแล้วลุกขึ้น “เอาละค่ะ เราออกไปดื่มน้ำชากันเถอะ”
“รอผมในห้องทำงานสักครู่ ผมมีงานต้องจัดการนิดหน่อยก่อน” เฉียวเหลียงกล่าวอย่างอ่อนโยน ลุกขึ้นทั้งที่ยังจับมือถังซี
ถังซีมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วบอกว่า “ฉันไม่เข้าใจงานของคุณหรอก” แล้วโบกโทรศัพท์ในมือไปมา กล่าวต่อไปว่า “ฉันจะเล่นเกมรอนะคะ คุณไปทำงานของคุณ ฉันจะรอคุณครึ่งชั่วโมง”
เฉียวเหลียงมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง จูบเธอที่หน้าผาก ก่อนจะปล่อยเธออย่างไม่เต็มใจ “ผมจะทำให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมง”
ถังซีพยักหน้าและเริ่มเล่นเกมบนโทรศัพท์ แต่แล้วเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเฮ่อหว่านหนิง เขาขอให้เธอมาทดลองบทในวันศุกร์ จากนั้นก็แจ้งให้เธอทราบว่าการถ่ายทำจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ เธอลืมไปเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ว่าเธอไม่ได้บอกเฉียวเหลียงเรื่องจะไปถ่ายโฆษณาโทรทัศน์ เธอเงยหน้าขึ้นและบังเอิญสบสายตาเฉียวเหลียง เขาวางปากกาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ ถามว่า “มีอะไรหรือ คุณรู้จักสนิทสนมกับเฮ่อหว่านหนิงหรือ”
ถังซีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบว่า “ค่ะ ฉันคิดว่าอย่างนั้น”
เฉียวเหลียงรู้สึกหึงขึ้นมาเล็กน้อย “เฮ้อ… คุณนี่มีเพื่อนเยอะจริงๆ”
ถังซีหัวเราะเบาๆ ขณะปิดเกม จากนั้นก็เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงานเฉียวเหลียง เท้าคางจ้องมองเขาและเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องตามติดฉัน ฉันแน่ใจว่าคุณจะมีเพื่อนเยอะแยะเหมือนกัน”
เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ‘แล้วนั่นจะดีสำหรับผมหรือ’
“คุณจะได้อยู่กับฉันตลอดเวลา” ถังซีพูดต่อไปด้วยท่าทางน่ารัก “และฉันก็สวยมาก คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งฉันไปหรือ ถ้าคุณตามติดฉัน คุณจะได้ไล่คนพวกนั้นให้ไปไกลๆ ฉันได้”
เฉียวเหลียงเคาะศีรษะเธอเบาๆ ด้วยปากกา แล้วกล่าวว่า “ก็จริงนะ แต่งานของผมล่ะ”
“ทุกคนจำเป็นต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณ เวลาที่คุณต้องทำงาน และขึ้นอยู่กับเวลาเรียนของฉัน เมื่อฉันต้องไปโรงเรียน ตกลงไหมคะ” เธอรู้ว่าเธอกับเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เธอคือเซียวโหรวที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม เนื่องจากเรื่องลูกสาวตัวจริงตัวปลอม หากมีรายงานข่าวว่าเธอกับเฉียวเหลียงเป็นคู่รักกันขึ้นมาอีก เธอไม่รู้ว่าจะทนกับการโจมตีของสื่อได้หรือเปล่า
เฉียวเหลียงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในใจถังซี แต่เขาไม่พูดถึง เขาเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง เราจะได้เจอกันทุกวันแน่นอน”
หัวใจถังซีหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา เธอถามว่า “คุณจะทำอะไรเหรอ”
เมื่อย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ เธอจำได้ว่าเธอเคยทะเลาะกับเขา เธอสาบานว่าจะไม่พูดกับเขาอีก แต่เขาบอกเธอในลักษณะเดียวกับที่กำลังพูดในตอนนี้ว่า ไม่ต้องห่วง เธอจะพูดกับเขาภายในหนึ่งชั่วโมงเรียน
เธอไม่เชื่อเขาในเวลานั้น ถ้าเธอตั้งใจฟังครูในชั้นเรียนและไม่หันไปมองเขา เธอจะพูดกับเขาได้อย่างไร เพราะเขานั่งห่างจากเธอมาก อย่างไรก็ตามเขาแลกเปลี่ยนที่นั่งกับเพื่อนร่วมห้อง และนั่งเท้าคางจ้องมองเธอตลอดเวลา จนกระทั่งเธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อการจ้องมองของเขาได้ เธอส่งสายตาดุดันไปให้เขาและบอกว่า “เลิกมองฉันได้แล้ว!” และเขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เมื่อนึกถึงภาพนั้น ถังซีอดยิ้มไม่ได้ เขาน่ารักจริงๆ ในเวลานั้น
“อีกไม่นานคุณก็จะรู้” เฉียวเหลียงปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินมาดึงเธอลุกขึ้น “ไปดื่มน้ำชากัน”
ถังซีจับมือเขาด้วยรอยยิ้มขณะพูดเล่นว่า “คุณจะทำแบบที่เคยทำตอนเราอยู่มหาวิทยาลัยอีกเหรอ” ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นกับเธอ และเธอรีบกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “คุณจะไม่ไปเรียนที่โรงเรียนฉันใช่ไหม” จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขณะพูดต่อไป “โอ ได้โปรดอย่าไปนะ เพื่อนร่วมชั้นต้องหัวเราะฉันแน่ๆ ถึงฉันจะเป็นน้องใหม่ แต่ฉันดูเด็กมาก เพื่อนร่วมชั้นจึงไม่รู้อายุที่แท้จริงของฉัน ถ้าคุณไปที่โรงเรียนพวกเขาต้องรู้อายุจริงของฉันแน่ๆ”
เฉียวเหลียงมองหน้าหญิงสาวจอมจินตนาการตรงหน้า และกล่าวอย่างคิดไม่ถึงว่า “นี่คุณคิดอะไรของคุณน่ะ”