ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 142 เหมือนคุณยาย
ในระหว่างการรับประทานอาหารค่ำวันนี้ บางคนมีความสุข ในขณะที่บางคนเศร้า แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มีความสุข มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เศร้า นั่นคือพี่น้องตระกูลเซียว ในความเป็นจริงเซียวจิ่งกับเซียวส่าไม่ได้เศร้ามากมายนัก แค่โมโหเล็กน้อย น้องสาวของพวกเขาถูกผู้ชายอีกคนหนึ่งขโมยไป! นั่นทำให้พวกเขาโกรธจริงๆ!
ในที่สุดครอบครัวเซียวก็ได้มีน้องสาวแสนสวยที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก แต่ตอนนี้เฉียวเหลียงขี้หวงไม่รู้ว่าผุดมาจากที่ไหน มาคอยกีดกันพวกเขาตลอดเวลา ราวกับว่าพวกเขาเป็นโจร…
เซียวเหยามีความรู้สึกผสมปนเปกันในเรื่องนี้ แต่เขาเตือนตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าตอนนี้เธอคือน้องสาวเขา เป็นน้องสาวโดยสายเลือด ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอกับเฉียวเหลียงเคยรักกันมากมายแค่ไหนมาก่อน เมื่อในที่สุดทั้งสองได้กลับมาคบกันอีกครั้ง เขาควรปรารถนาให้พวกเขามีความสุข และไม่ควรตกหลุมรักน้องสาวตัวเอง…
อย่างไรก็ตามเขาอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจเธอ อดไม่ได้ที่จะคอยมองเธอ เมื่อเขาเห็นอารมณ์หวานๆ ที่ทั้งสองมีให้กัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากทำลายความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง…
เซียวเหยาคิดกับตัวเองอย่างเย้ยหยัน ‘เซียวเหยา นายนี่มันสารเลวจริงๆ!’
หลังอาหารค่ำทั้งสองครอบครัวก็สนทนากัน นายพลหยางชื่นชอบถังซีมาก ตามที่เขาพูดนั้น เป็นเพราะเธอคล้ายกับภรรยาผู้ล่วงลับของเขา ดังนั้นเมื่อถังซีและหยางจิ้งเสียนกำลังจะกลับ นายพลหยางจึงขอให้ถังซีมาเยี่ยมเขาที่บ้านอีกบ่อยๆ เมื่อเธอมีเวลา เขาเกษียณแล้ว และมีความสุขมากเวลาที่ได้พูดคุยกับกลุ่มคนหนุ่มสาว
ขณะจับมือถังซีไว้ เฉียวอวี่ซินลังเลที่จะปล่อยเธอ และถามเธอว่า “โหรวโหรว พรุ่งนี้หนูว่างหรือเปล่าจ๊ะ ไปที่บ้านป้าได้ไหม”
“หนูต้องไปถ่ายโฆษณาทีวีในวันพรุ่งนี้ค่ะ หนูรับงานของเฮ่อหว่านหนิงไว้ ตกลงจะถ่ายภาพยนตร์โฆษณาทีวีให้เขา อันที่จริงควรจะเริ่มถ่ายทำเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่หนูป่วย เวลาถ่ายทำเลยต้องเลื่อนออกไปค่ะ พรุ่งนี้หนูก็เลยต้องไปถ่ายงานนี้”
เฉียวอวี่ซินมองหน้าถังซีด้วยความประหลาดใจ “หนูจะถ่ายโฆษณาด้วยเหรอจ๊ะ โฆษณาอะไรหรือ”
ถังซีหัวเราะเบาๆ และบอกอย่างอายๆ ว่า “เป็นโฆษณาทางโทรทัศน์ค่ะ น้ำหอมรุ่นใหม่ของ OLS หนูบังเอิญได้พบกับเฮ่อหว่านหนิงก่อนหน้านี้ และได้มีโอกาสรับงานนี้”
หลังจากคุยกันอีกเล็กน้อย สองครอบครัวก็กล่าวอำลากันและกัน
ระหว่างทางกลับบ้านถังซีถามหยางจิ้งเสียนว่า “คุณแม่คะ คุณป้ากับคุณตาบอกว่าหนูหน้าคล้ายคุณยาย จริงเหรอคะ”
คุณนายหยางเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากนายพลหยางกับคุณนายหยางแต่งงานช้า ทั้งสองอยู่ในวัยสามสิบกว่าแล้วเมื่อคุณนายหยางให้กำเนิดหยางจิ้งเสียน นอกจากนี้ทั้งสองยังไม่ค่อยได้ถ่ายภาพเก็บไว้เมื่ออยู่ในวัยยี่สิบ หยางจิ้งเสียนจึงจำไม่ได้ชัดเจนว่ามารดาเธอหน้าตาเป็นอย่างไรในวัยสาว เธอจึงได้แต่พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็น่าจะคล้ายนะจ๊ะ เพราะคุณตาบอกว่าหนูหน้าตาเหมือนคุณยาย”
ถังซีกะพริบตาปริบๆ คิดว่าน่าอัศจรรย์มากที่เธอหน้าตาเหมือนคุณนายหยาง…
“แล้วคุณป้ารู้ได้ยังไงล่ะคะ”
หยางจิ้งเสียนขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากก่อนจะตอบ “อาจเป็นเพราะคุณป้าเคยเข้าไปในห้องทำงานของคุณตา เธอก็เลยเห็นรูปถ่ายตอนสาวๆ ของคุณยาย” ขณะกล่าวเช่นนี้ เธอรู้สึกอิจฉานิดหน่อย เธอเป็นลูกสาวคุณพ่อแท้ๆ แต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทำงานของท่านเลย…
ห้องทำงานของบิดาเธอไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้ง่ายๆ อย่างแท้จริง เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเขียนเรียงความเรื่อง ‘ห้องทำงานลึกลับ’ ตอนนั้นเธอยังเด็ก ซึ่งเธอบรรยายว่าห้องทำงานของคุณพ่อเธอลึกลับแค่ไหน
เธอมองดูลูกชายคนโตในกระจกมองหลังแล้วถามว่า “เซียวเหยา ห้องทำงานของคุณตาเป็นอย่างไรบ้าง มีรูปคุณยายของลูกไหม”
เซียวเหยาพยักหน้าตอบว่า “มีรูปขาวดำของคุณยายครับ ท่านสวยมากตอนสาวๆ และโหรวโหรว…” หลังจากนิ่งมองโหรวโหรวอย่างละเอียดอยู่สองวินาที เขาก็กล่าวต่อไปว่า “คุณยายกับโหรวโหรวหน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ ครับ”
หยางจิ้งเสียนหันหน้ามามองถังซี คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยสิ่งที่คิดสงสัยอยู่ในใจออกมาดังๆ “หรือว่า มีใครมาขโมยลูกสาวฝาแฝดของแม่ไปคนหนึ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วหรือเปล่า”
เซียวเหยารู้สึกว่าหัวใจเขากระตุกอย่างแรงกับคำพูดของมารดา
ถังซียิ้มกว้าง ยกมือสองข้างประคองหน้าตัวเองด้วยท่าทางน่ารัก มองมารดาอย่างกระตือรือร้น พร้อมกับกล่าวว่า “คุณแม่คะ ทำไมเราไม่ลองไปตรวจดีเอ็นเอกันดูวันพรุ่งนี้ล่ะคะ”
หยางจิ้งเสียนเอื้อมมือมาขยี้ผมถังซี และหันไปมีสมาธิอยู่กับการขับรถโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ว่าการระบุดีเอ็นเอมีแต่จะยืนยันว่าเซียวโหรวไม่ใช่ลูกสาวเธอ เพราะเมื่อเซียวหงอี้กับหลินหรูได้ตัดสินใจพาเซียวโหรวกลับมา พวกเขาย่อมต้องตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งพิสูจน์ว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขามาเรียบร้อยแล้ว
ถังซีไม่ได้พูดอะไรอีก และมีความสุขกับทัศนียภาพนอกหน้าต่าง
เซียวเหยาจ้องมองเธออย่างเอาจริงเอาจัง จนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก แต่เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถตอบสนองอะไรเขาได้ เธอไม่สามารถเตือนเซียวเหยาได้ในฐานะถังซี ตอนนี้พวกเขาเป็นพี่ชายและน้องสาว ทันทีที่ทำเช่นนั้นเธอจะต้องออกจากตระกูลเซียว… เธอจะไม่สามารถอยู่ในครอบครัวไหนได้ แม้แต่ครอบครัวเซียวหงอี้
เซียวเหยาก็คิดอย่างเดียวกัน เขาบอกกับตัวเองว่าต้องพยายามระงับความรู้สึก หากถังซีจับความรู้สึกที่เขามีต่อเธอได้ เขากับเธออาจไม่สามารถเป็นพี่น้องกันได้อีกต่อไป หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น เธอคงต้องย้ายออกจากบ้านเขา และจากนั้นเขาจะไม่มีวันได้พบเธออีกตลอดชีวิต
รถยนต์สามคันที่แล่นตามมาด้านหลังบีบแตรอย่างต่อเนื่อง แต่หยางจิ้งเสียนยังคงขับไปช้าๆ ทั้งสามคันไม่มีทางเลือกนอกจากขับตามไป รถสีดำคันหนึ่งแล่นมาเทียบข้างๆ หน้าต่างรถบานหนึ่งลดระดับลง เห็นเป็นหน้าเซียวส่าซึ่งเหลือบมองมาที่มารดาและตะโกนว่า “คุณแม่ครับ บนถนนไม่มีรถเลย ทำไมคุณแม่ถึงขับช้าอย่างนี้”
“ขับรถอย่างปลอดภัยในเวลากลางคืน ลูกไม่รู้หรือ!” หยางจิ้งเสียนตะโกนกลับไป “หลบไปข้างหลัง เปิดทางให้รถคันอื่น”
เซียวจิ่งอดไม่ได้ที่จะตะโกนมาจากด้านหลัง “คุณแม่ ขอเราแซงไปก่อนได้ไหมครับ”
“ได้สิ!” หยางจิ้งเสียนตะโกนตอบเสียงดัง “แต่พวกลูกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทานอาหารเช้าที่แม่ทำวันพรุ่งนี้!”
รถแต่ละคันจึงเคลื่อนตัวไปช้าๆ ตามถนนโล่งกว้างที่ไม่มีรถยนต์วิ่ง และกว่าพวกเขาจะกลับถึงบ้านก็เป็นอีกสองชั่วโมงต่อมา ทุกคนลงจากรถ ถังซีมองไปที่บ้านหลังถัดไปที่มีแสงไฟสว่างเจิดจ้า เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “ทำไมครอบครัวนี้ถึงต้องรีบย้ายเข้ามาอยู่ขนาดนี้ แก้ไขต่อเติมกันทั้งวันทั้งคืน ถ้ารีบขนาดนี้ก็น่าจะย้ายเข้ามาโดยไม่ต้องต่อเติมเลยก็ได้”
เซียวจิ่งจอดรถ แล้วเดินพลางเล่นกุญแจรถพลางเข้ามา เขามาหยุดยืนอยู่ข้างถังซีแล้วส่ายศีรษะ “เห็นได้ชัดว่าคนๆ นี้ต้องเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ และต้องการปรับปรุงบ้านให้ออกมาตามแบบในความคิดของตัวเองเป๊ะ… และเขาต้องอยากรีบย้ายเข้ามาอยู่เร็วๆ แน่ๆ” เขามองหน้าถังซีและส่ายศีรษะแบบเอือมระอา “ตอนที่พี่ขับรถออกไปเมื่อเช้านี้ พี่เห็นว่าวัสดุที่ขนมาทั้งหมดเป็นวัสดุนำเข้า และเป็นวัสดุธรรมชาติ ไร้สารพิษ ไม่เป็นอันตราย แต่ไร้รสนิยม พวกเขาคงย้ายเข้ามาทันที หลังจากต่อเติมเสร็จ”
ถังซีเลิกคิ้ว “พวกเขาต้องรวยมาก”
“บางทีอาจเป็นพวกเศรษฐีใหม่” เซียวส่าให้ข้อสังเกต “พี่ก็เห็นเหมือนกันตอนกลับบ้านมาเมื่อคืนก่อน และนักตกแต่งภายในก็ไม่ได้จ้างจากเมือง A นะ พี่เคยอ่านเจอข้อมูลพวกเขาก่อนหน้านี้ในหนังสือพิมพ์”