ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1289 เมืองเล็กกับรถม้า
การวิ่งระยะสั้นของม้าควอเตอร์นั้นดีมาก แต่ถ้าเป็นระยะไกลจัดว่าอยู่ในระดับธรรมดา เวลาขี่ม้าประเภทนี้จะต้องให้พวกมันพักผ่อนอย่างเพียงพอ
แน่นอนว่าถ้าอยากได้แค่ความสนุกในการแข่งขันวิ่งเร็วเข้าเส้นชัยเฉยๆ ม้าควอเตอร์ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
ขี่ม้ามาตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเก้าโมง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มสาดแสงร้อนรุนแรง พอลลี่เช็ดเหงื่อแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เพื่อนๆ วันนี้พวกเราพักกันถึงตรงนี้แล้วกัน ม้าก็เริ่มเหนื่อยแล้ว ให้พวกมันไปพักสักหน่อยเถอะ”
ตั้งแต่หกโมงจนถึงตอนนี้ นอกจากเวลาพักกลางทางแล้ว ม้าควอเตอร์ก็วิ่งมาสองชั่วโมงครึ่งแล้ว ทั้งตัวโชกไปด้วยเหงื่อ พอใช้มือลูบ เหงื่อก็เต็มไปทั้งฝ่ามือ
ฉินสือโอวกระโดดลงจากม้า แล้วยื่นมือออกไปตบก้นม้า ให้มันได้ไปวิ่งเหยาะๆ เพื่อผ่อนคลาย
เหมาเหว่ยหลงก็ปล่อยม้าพันธุ์ดีขนแดงของเขา แล้วเดินมาถามว่า “เป็นยังไงบ้าง ขี่ม้าฟินไหม?”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วตอบ “ก็โอเค แต่ขี่ม้าแล้วปวดก้นจริงๆ”
เหมาเหว่ยหลงมองไปที่ขาสองข้างของเขาด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งแสดงสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก้นของแกก็จะไม่เจ็บแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ เลยพูดอย่างภูมิใจว่า “นั่นมันแน่นอน การฟื้นฟูสมรรถนะของฉันนั้นดีสุดยอด ไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้หรอก เย็นวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
สองคนคุยกันไปมา ม้าพวกนั้นก็เดินเล่นอย่างอิสระอยู่ในฟาร์ม ตอนที่พวกมันเจอต้นอ่อนข้าวสาลี ก็มุดหน้าลงไปในต้นข้าวสาลีสีเขียวขจีเพื่อกินต้นอ่อน
เหมาเหว่ยหลงกระวนกระวายใจ รีบวิ่งไปหาม้าพวกนั้น ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “แกให้มันกัดสักคำสิ ทำไมถึงขี้งกอย่างนี้ล่ะ? ม้าพวกนี้จะกินข้าวสาลีได้เท่าไรกันเชียว?”
“แกจะไปรู้อะไร สองวันก่อนฉันเพิ่งพ่นยาฆ่าหญ้า และไม่ว่าพวกมันจะกินไปเท่าไร วันนี้ก็ต้องเอาออกมาล่ะ” เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์
พอลลี่ช่วยจูงพวกม้ามา หลังจากนั้นก็สอนวิธีเช็ดเหงื่อม้าให้ฉินสือโอว “ตอนที่เจ้าพวกนี้เหงื่อออกไปทั่วทั้งตัว คุณอย่าลืมช่วยมันเช็ดเหงื่อออกด้วยนะ ไม่อย่างนั้นพวกมันก็จะป่วยง่าย แน่นอนว่าหน้าร้อนก็จะดีหน่อย แต่ว่าถ้าจะให้ติดเป็นความเคยชินก็ต้องได้ฝึกเรียนรู้ไปบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหยิบเอาผ้าขนหนูมาเช็ดบนตัวให้ฟรีดริช สักพักผ้าขนหนูก็ชุ่มเปียก แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะมองไม่ออกเลยว่ามันมีเหงื่อเยอะขนาดนี้
วินนี่ที่กำลังเช็ดเหงื่อให้ม้าของตัวเองไปแล้วก็พูดคุยหัวเราะกับพอลลี่ไป “ดูออกเลยว่าคุณเป็นคนที่รักม้ามาก คุณดูแลไข่มุกดำได้ดีมากเลย ฉันที่ขี่มันยังรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลของมันเลยล่ะค่ะ”
พอลลี่หัวเราะ “ใช่แล้ว ผมชอบม้ามาก ที่จริงแล้วงานแรกของผมตอนหลังจากบรรลุนิติภาวะคือเป็นครูฝึกม้า หลังจากเปิดฟาร์มมาได้ระยะหนึ่ง เสียดายที่แรงกดดันของเงินลงทุนค่อนข้างมาก สุดท้ายก็ต้องปิดตัวไป”
เหมาเหว่ยหลงพูดเสริม “ฟาร์มของพอลลี่มีม้ามากที่สุดในเมือง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงม้า ฉันซื้อม้าสี่ตัวนี้ก็ได้เขาเป็นคนช่วยเลือก ทั้งหมดเป็นม้าที่ดีเห็นไหมล่ะ?”
ได้ฟังแล้ว พอลลี่ก็รู้สึกเศร้านิดหน่อย เขาพูดว่า “ผมกลัวก็เลยต้องเรียนรู้จากตาเฒ่าเวเบอร์ไว้ จำนวนม้าในฟาร์มมีค่อนข้างเยอะ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือขายม้าบางตัวออกไป ไม่อย่างนั้นบัตรเครดิตของผมคงจะรับไม่ไหว”
ที่แคนาดาการเลี้ยงม้าหนึ่งตัวต้องเอาใจใส่มากกว่าดูแลรถซะอีกและยังยุ่งยากมากด้วย เพราะม้าต้องการการดูแล ถ้าดูแลไม่ดีพวกมันก็จะป่วยง่าย และการจ้างสัตวแพทย์เพื่อดูม้านั้น ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ทุกๆ วันม้าจะกินหญ้าเป็นอาหาร และในบางช่วงยังต้องให้อาหารพวกถั่วเหลือง แครอทและผักต่างๆ เพื่อเป็นการเสริมโภชนาการบำรุงร่างกายให้แก่พวกมัน ซึ่งนี่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงอีกเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะปีนี้ที่แคนาดาราคาหญ้าสำหรับสัตว์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภัยพิบัติจากหิมะเมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา หญ้ามากมายล้วนแข็งจนตายจากอากาศเย็นจัด ยิ่งทำให้การเจริญเติบโตของหญ้าที่อยู่ใต้ดินไม่ดี ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิหลายพื้นที่ก็เริ่มพบปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยว
ฉินสือโอวอยากจะปลอบพอลลี่สักหน่อย แต่ก็เหมือนจะไม่มีคำพูดใดที่เหมาะสมเลย เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของพอลลี่ไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องฆ่าวัวและแกะขายเพื่อให้เสี่ยงต่อการถูกไออาร์เอสและองค์กรอนามัยลงโทษด้วยการปรับเงินเล็กๆ น้อยๆ นั่น
วินนี่ถามด้วยอาการสนใจขึ้นว่า “พอลลี่ คุณอยากขายม้าเหรอคะ? อยากขายออกสักกี่ตัวล่ะคะ?”
พอลลี่อุทานออกมา “ตอนนี้ม้าที่ผมเลี้ยงอยู่มียี่สิบสองตัว และตอนนี้ด้วยเศรษฐกิจของฟาร์มสามารถแบกรับได้มากที่สุดน่าจะประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าตัว ดังนั้นผมต้องขายม้าออกไปประมาณเจ็ดถึงแปดตัว”
เหมาเหว่ยหลงกระซิบถามฉินสือโอว “แกไม่อยากได้เอาไปไว้ขี่เล่นเหรอ? เลี้ยงสักสองสามตัวสิ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะซื้อม้า ปีนี้การเก็บเกี่ยวหญ้าไม่ดี เศรษฐกิจก็แย่ ราคาของม้าลดลงถึงจุดราคาต่ำสุดในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเลยนะ”
ฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องราคา แต่เขาไม่ค่อยชอบขี่ม้า อาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้สัมผัสและใกล้ชิดกับทะเลนานเกินไป เขาชอบการล่องเรือและไปมาหาสู่ทางทะเลมากกว่า บนบกก็มีรถแล้ว การขี่ม้านั้นนับว่าเป็นการฆ่าเวลาเพื่อผ่อนคลายเฉยๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการฆ่าเวลาที่เปล่าประโยชน์เขาต้องซื้อม้าสักสองตัวไหม? ฉินสือโอวก็ยังคงคิดคำนวณอยู่ เขาสามารถซื้อรถได้ แต่ไม่อยากซื้อม้า ชีวิตของม้าต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น
และเมื่อสักครู่เขาเพิ่งจะขี่มาไป ก่อนขี่ม้าก็รู้สึกตื่นเต้นและตั้งตาอยู่หรอก แต่พอผ่านไปจากความรู้สึกแปลกใหม่ก็รู้สึกไม่มีอะไรแบบนั้นเลย
แบบนี้เขาเลยส่ายหัว เป็นการบอกใบ้ให้เหมาเหว่ยหลงรู้ว่าตัวเองไม่สนใจ
แต่วินนี่ดูท่าจะสนใจมาก เธอถามพอลลี่ว่า “เจ็ดแปดตัวเลยเหรอคะ? ทั้งหมดนั่นอายุเท่าไหร่แล้ว? พันธุ์อะไร? แล้วขายประมาณเท่าไรคะ?”
ได้ฟังที่วินนี่ถาม พอลลี่ก็เข้าใจความหมายของเธอ เขาเลยตอบอย่างดีใจ “คุณนายฉินสนใจเหรอครับ? เป็นม้าควอเตอร์ทั้งหมดเลย อายุจะอยู่ที่ประมาณสี่ถึงสิบสองปี ถึงแม้จะไม่มีการรับรองว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่ดูแค่ขนก็จะรู้ ทั้งหมดเป็นม้าดี ราคาก็คุยกันได้ครับ”
ตอนนี้ตลาดม้าและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแคนาดาโดยรวมมีความคล้ายคลึงกัน มันค่อนข้างซบเซาและอาจซบเซาต่อไป ดังนั้นดีที่สุดจึงควรรีบจัดการกับม้าตั้งแต่เนิ่นๆ
เหมาเหว่ยหลงมองไปที่ฉินสือโอว ส่วนเขาทำได้แค่ยักไหล่ แล้วพูดขึ้น “แค่วินนี่แฮปปี้ก็โอเค ถ้าเธออยากซื้อก็ซื้อแหละ”
วินนี่ได้ฟังคำพูดเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ๆ ไม่ใช่ฉันที่จะซื้อ แต่เมืองเราต้องการมันต่างหาก การท่องเที่ยวของเราเจอกับปัญหาอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? สัปดาห์ก่อนฉันไปประชุมมา แล้วต้องการขยายเส้นทางการท่องเที่ยว และเพิ่มโครงการรถม้าแบบโบราณของยุคกลางนี่ก็น่าจะไม่เลว”
ฉินสือโอวเพิ่งนึกขึ้นได้ เมืองแฟร์เวลจริงๆ แล้วสามารถเพิ่มโครงการเยี่ยมชมเมืองโดยรถม้าได้ พื้นที่ของเมืองค่อนข้างใหญ่ และรถม้าสามารถวิ่งได้ และตอนนี้จุดขายของเมืองคือความโบราณและความเรียบง่าย อีกทั้งที่นี่ยังรักษาสิ่งปลูกสร้างของศตวรรษที่สิบแปดสิบเก้าไว้มากมาย ซึ่งเข้ากันได้กับรถม้าสไตล์โบราณมาก
การเยี่ยมชมเมืองโดยรถม้าเป็นวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของแคนาดา แต่เมืองเซนต์จอห์นไม่ได้พัฒนาต่อ เพราะนี่เป็นเมืองท่าเรือ ภูมิประเทศราบเรียบไม่พอ สภาพการจราจรก็ปานกลาง หากเพิ่มรถม้าเข้าไป นั่นจะต้องแย่มากแน่ๆ
แต่เมืองอื่นล้วนมีโครงการที่เกี่ยวข้องกัน เช่นที่เมืองมอนทรีออล สถานที่ท่องเที่ยวที่ฮิตก็คือ “เมืองเก่า” การนั่งรถม้าชมเมืองเป็นโปรแกรมคลาสสิคที่มีมานานหลายปีแล้ว นักท่องเที่ยวบางคนก็ถ่ายรูปกับม้าตัวใหญ่ บางคนก็นั่งรถม้าเล่นอยู่ในเมืองเก่ากว่าสิบนาทีพลางฟังคนขับรถม้าเล่าถึงประวัติของเมือง ซึ่งเป็นที่นิยมมาก
……………………………………………..