ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1878 ไปอาบแดดกับต้าป๋าย
วันถัดมา ฉินสือโอวไปหาพอล ซาโกร เถ้าแก่ของร้านค้ากลางแจ้ง
ช่วง 2 ปีมานี้พอล ซาโกรใช้ชีวิตอย่างราบรื่นดี ตอนที่ฉินสือโอวขับรถไปหาเขา เขากำลังนั่งเช็ดปืนลูกรักของเขาอยู่บนพื้นหญ้า หนังกลับชิ้นหนึ่งเปล่งประกายแวววาว แสดงให้เห็นว่าเขาดูแลรักษาปืนลูกรักได้ดีเพียงใด
เมื่อเห็นเขามา ซาโกรทราบดีถึงจุดประสงค์ที่เขามา จึงถามเขาว่า “ฉิน นายมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของโฮ่วจื่อใช่ไหม?”
ฉินสือโอวพยักหน้า พอลยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “นายเชื่อฉันเถอะ เรื่องโฮ่วจื่อกับหวง ฉันพยายามหว่านล้อมอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง”
“เรื่องนี้ฉันรู้ ฉันแค่มาถามนายว่ามีความคิดจะรับพนักงานมาช่วยที่ร้านเพิ่มไหม?” เขาถามขึ้น
พอลตอบว่า”ก่อนอื่นฉันกะจะลองดูคนจีนสักสองสามคน แต่ก็คงจะหาเพื่อนที่ดีแบบโฮ่วจื่อและหวงไม่ได้แล้ว พวกเขาก็รักในอาวุธปืนเหมือนกับฉัน ฉันกล้าพนันได้เลยว่า พวกเขารู้จักปืนทุกกระบอกในร้านเป็นอย่างดี”
โหวจื่อเซวียนและหวงเฮ่าเจียไม่ได้แค่รักในอาวุธปืน แต่พวกเขายังทำงานเก่งด้วย หวงเฮ่าเจียเรียนจบบัญชีที่จีน ดังนั้นเรื่องบัญชีในร้านเขาจึงดูแลด้วย
มีสองคนนี้คอยช่วยเหลือ พอลแทบจะไม่ต้องทำอะไร เว้นเสียแต่ว่าเป็นเรื่องการเอาของเข้าออกร้านที่เขาจะเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนงานอื่นๆ เขามอบหมายให้คู่หูสองคนนี้ก็เพียงพอแล้ว
ฉินสือโอวถอนใจ “หวังว่าโชคจะดี รับพนักงานดีๆ เข้ามาได้”
พอลหัวเราะ “จริงๆ แล้ว ฉันคิดว่าพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ใจเรื่องนี้ไป ฉิน ฉันเรียนคำพูดจีนจากโฮ่วจื่อมาประโยคหนึ่ง เรื่องทุกเรื่องมีทางออกเสมอ เชื่อฉัน โฮ่วจื่อและหวงไม่ได้ไปจากร้านตลอดไปหรอก ที่ประเทศนายคนทั่วไปถือปืนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ฉันรู้ว่า ชีวิตของพวกเขาหนีปืนไม่พ้นหรอก ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือรอ รอพวกเขากลับบ้านไปสักพักแล้วค่อยกลับมา ฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะกลับมา”
ฉินสือโอวมองไปที่หน้าเจ้านี่ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลง เขาพูดว่า “ก็หวังว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นเราก็หาพนักงานชั่วคราวละกัน”
เมื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เขาก็กลับไปที่ฟาร์มปลาเตรียมอยู่เล่นกับวินนี่และลูกๆ ของเขา
วินนี่กางผ้าบนสนามหญ้าใต้ร่มไม้ จากนั้นเธอก็อุ้มต้าป๋ายออกไปหาจุดที่แสงอาทิตย์สามารถส่องผ่านลงมาได้หน่อยและปล่อยมันไว้ตรงนี้
ต้าป๋ายเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้านและมองไปรอบๆ เหยียดแขนขาเพลิดเพลินกับแสงแดดที่สาดส่องผ่านร่มไม้ลงมา ทั้งอบอุ่นและไม่ร้อนเกินไป มีลมเย็นๆ ใต้ต้นไม้ เห็นได้ชัดว่าต้าป๋ายชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก
ฉงต้าเดินมา แขนขาอ่อนแรงล้มลงไปนอน ราวกับภูเขามีเนื้อนอนทับอยู่บนต้าป๋าย
หมีโลลิมีพลังมากกว่า แต่หมีขั้วโลกไม่ทนความร้อน เธอใช้ทั้งแขนและขาวิ่งอยู่สักพัก จากนั้นก็วิ่งกลับมาไปหาวินนี่ที่ด้านหน้าและทำตัวเหมือนสุนัขลิ้นห้อยทำตัวออดอ้อน
วินนี่ให้ฉินสือโอวอยู่เป็นเพื่อนกับต้าป๋าย เธอกลับไปหยิบกรรไกรและปัตตาเลี่ยนออกมาและเริ่มตัดขนหนาๆ ของหมีโลลิออก
ฉินสือโอวอุ้มเอาลูกชายของเขาที่กำลังนอนอยู่ในรถเข็นเด็กซึ่งทำได้เพียงแทะนิ้วขึ้นมา เจ้าตัวเล็กพอเห็นเขาบ่อยขึ้นก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ไม่ร้องไห้งอแงแล้ว แต่จะนิ่งสงบ
อุ้มลูกน้อยโยกเยกไปมาสักพัก หลังจากนั้นเขาก็วางลูกชายอยู่ข้างๆ ต้าป๋าย
ต้าป๋ายหรี่ตามองเจ้าตัวเล็ก มันวางหัวที่มีขนนุ่มยาวลงบนแก้มนุ่มของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่อ่อนโยน
หู่จือและเป้าจือกำลังเล่นกันเองอยู่ ฉินสือโอวเรียกพวกมันให้มานอนพักผ่อนสักพัก แลบราดอร์มีพละกำลังมาก ต่อให้มันนอนอยู่ก็ไม่ได้นอนนิ่งๆ ยังคงสู้กันเองนัวเนียอยู่ตรงนั้น
วินนี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอเห็นฉากนี้แล้วก็พูดว่า “ฉิน เวลาผ่านไปเร็วมากเลยนะ ยังจำตอนที่เราเพิ่งเจอหู่จือและเป้าจือได้ไหม? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ในเวลานั้นเด็กชายตัวเล็กๆ ทั้งสองยังตัวสั่นๆ ตอนนี้กลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
ฉินสือโอวโอบเธอยิ้มไปพลางพร้อมพูดว่า “จำได้แน่นอนสิ พวกมันต้องขอบคุณคุณนะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่คุณตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นก็คงไม่ได้เจอพวกมันแน่ ผมคิดว่าด้วยสถานการณืของเป้าจือตอนนั้น ถ้าไม่เจอพวกเราเข้าพอดี มันอาจจะไม่ได้อยู่มานานถึงขนาดนี้ จริงไหม?”
“ดังนั้น นี่ก็คือพรหมลิขิตไง” วินนี่หัวเราะ
ฉินสือโอวกวักมือเรียก หู่จือและเป้าจือก็พุ่งเข้าไปอย่างชาญฉลาดเหมือนขีปนาวุธสองลูก พวกมันยังคงนอนอยู่บนพื้นเมื่อหนึ่งวินาทีก่อน แต่พออีกหนึ่งวินาทีถัดมาพวกมันกลับพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขาแล้ว
เมื่อมองไปที่เจ้าสองตัวที่กำลังสู้กันอยู่ วินนี่อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “บางทีพวกมันอาจจะไม่ควรอยู่ด้วยกัน คุณดูสิ พวกมันเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข จนไม่อยากจะมีเมียแล้วเนี่ย”
ช่วงก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ฟาร์มปลาแห่งที่สาม ฉินสือโอวไม่ได้เฝ้าดูเจ้าสองตัวนี้ให้ดี พวกมันจึงชอบวิ่งไปข้างนอกทุกวัน เมืองคาร์กิลิกมีสุนัขแลบราดอร์อยู่หลายตัว คาดว่าพี่น้องสองคนนี้คงมีนางสนมนับไม่ถ้วนในช่วงเวลานั้น ส่งผลให้ปีนี้ไม่มีอาการติดสัดอย่างชัดเจน
ซีกวาน้อยพยายามพลิกตัว ผลปรากฏว่าเขาทำไม่สำเร็จแต่อย่างน้อยเขาก็นอนตะแคงได้แล้ว ดังนั้น เขาจึงหมุนตัวไปมา ยื่นมือน้อยๆ ออกไปดึงขนของต้าป๋าย
ต้าป๋ายค่อยๆ ลุกนั่งขึ้นมา แลบลิ้นเลียไปที่มือเล็กๆ ของเขาอย่างเบาๆ ซีกวารู้สึกคันๆ เลยหัวเราะขึ้นมาอย่างชอบใจ
ฉินสือโอวอุ้มต้าป๋ายขึ้นมา ถือว่าเป็นเทพซิ่วอายุยืนในบรรดาโอพอสซัมในอเมริกาเหนือแล้ว สำหรับโอพอสซัมในอเมริกาเหนือซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอายุสั้น แค่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หกหรือเจ็ดปีก็นับว่าหายากแล้ว
วินนี่กลับไปเอาผลไม้ออกมาจำนวนหนึ่ง ฉงต้ารีบลุกปีนขึ้นมาอย่างฉลาด อ้าปากและส่งเสียงร้องต่ำ
วินนี่ชำเลืองมองมัน ชี้ไปที่ต้าป๋ายแล้วพูดว่า “นี่เตรียมให้ต้าป๋ายนะ”
ฉงต้าทำจมูกฟุดฟิดไปมา จากนั้นมันก็ล้มลงอีกครั้ง ถูขนที่หลังของมัน หลับตาแล้วก็หลับไป
ฉินสือโอวหยิบองุ่นแล้วยื่นให้ต้าป๋าย ต้าป๋ายคาบไว้ในปากแต่ไม่ได้กินมันเข้าไป มันเดินโซเซไปที่ด้านหน้าฉงต้า ใช้หัวเขี่ยๆ ไปที่จมูกฉงต้า แล้วเอาองุ่นยัดใส่ปากมันไป
เมื่อเห็นฉากนี้ ขอบตาวินนี่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “พระเจ้า ถ้าวันหนึ่งฉันไม่ได้อยู่กับเด็กที่น่ารักอย่างเจ้านี่ คงเป็นเรื่องที่เศร้าใจน่าดูเลยใช่ไหม?”
ฉินสือโอวโอบกอดเธอไว้ พูดปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ คุณภรรยา คุณก็ยังมีผมเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ? แล้วยังมีเถียนกวา ซีกวา และเด็กๆ อีกตั้งมากมาย”
เพื่อที่จะไม่ให้ภรรยา เด็กๆ และฉงต้าเสียใจ ฉินสือโอวนายใหญ่ก็ต้องคิดหาวิธียืดชีวิตของต้าป๋ายออกไป ต้องรักษามันไว้ให้ได้ ให้มันมีชีวิตอย่างมีความสุขสักหน่อย!
วินนี่เงยหน้ามองเขา พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเราจะมีลูกกี่คนดี? 10 คนดีไหมคะ? ฉันเข้าใจแล้วว่า ยิ่งลูกเยอะ พวกเราจะได้มีความสุขในภายภาคหน้า”
ฉินสือโอวเหงื่อเย็นไหลย้อย เขารีบพูดว่า “ไม่นะ ตอนนี้มีลูกชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ลูก 10 คนคุณจะบ้าเหรอ? สำหรับคุณแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะดีด้วย”
วินนี่พูดอย่างดึงดันว่า “ไม่ได้ ลูกสองคนน้อยเกินไป วันหลังพอพวกเขาไปเรียนหนังสือหรือแต่งงานไป คนที่จะอยู่กับพวกเราก็น้อยไปน่ะสิ”
ขณะที่พูดไป เธอก็คิดไปคิดมาแล้วยิ้มหวาน “ฉันคิดดีแล้ว พวกเราวันหลังจะมีแผนในการมีลุกกัน มีลูกคนหนึ่งทุกสองปี พอเป็นแบบนี้รอจนเถียนกวาแต่งงาน พวกเราก็ยังมีลูกน้อยๆ ให้คอยดูแลไง”
ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ต่อบทสนทนานี้ มันบ้าบอมากเกินไป
ที่บ้าไปมากกว่านั้นคือ วินนี่บอกความคิดของเธอให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวฟัง คนแก่ก็มักจะหวังว่าที่บ้านจะมีเด็กเยอะๆ พวกเขาเห็นพ้องต้องกันและเริ่มวางแผนที่จะขยายครอบครัว…
………………………………………..