ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 139 จับขโมย
ตอนที่ 139 จับขโมย
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันนี้ทำให้วั่งเหยียนตกใจทันที เขาเงยหน้ามอง เห็นเฟยอวี๋กับถังซานไฉ่มาขวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะไหวตัวเร็วขนาดนี้!
แล้วอีกอย่าง พวกเขาตามหาข้าพบได้อย่างไร
ขณะที่คำถามต่างๆ ปรากฏเข้ามาในหัว วั่งเหยียนกลับหันเลี้ยวทันที เตรียมจะหนีเข้าไปในดันเจี้ยนวังใต้ดินอีกครั้ง
ขอเพียงเขาเข้าดันเจี้ยน ก็นับว่าปลอดภัยได้ชั่วคราวแล้ว
อย่างไรเสีย การที่ดันเจี้ยนถูกเรียกว่าดันเจี้ยน ก็เพราะที่นั่นมีมิติแยกเป็นของตัวเอง ตราบใดที่ไม่ใช่คนที่อยู่ในทีมเดียวกัน ต่อให้เข้ามาอยู่ในดันเจี้ยนที่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีทางพบเจอกันได้อยู่ดี
หากจะถามว่าทำไมตอนนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวถึงพบกันได้น่ะหรือ
ก็เพราะตอนนั้นวังใต้ดินของเจดีย์เหลยเฟิงยังไม่เป็นดันเจี้ยน
ทว่าตอนที่เขาเพิ่งเลี้ยวกลับไป กลับพบว่าสาวงามยอดฝีมืออย่างซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยมาดักตรงทางถอยกลับของเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกฝ่ายตรงข้ามล้อมไว้โดยสิ้นเชิงแล้ว วั่งเหยียนก็ไม่ได้ลองเล่นลิ้นแก้ตัวใดๆ
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเกม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการใดมายืนยันว่าเขาเป็นคนขโมยของ ไม่ว่าเขาจะเถียงกลับอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ในยุทธภพ ไม่จำเป็นต้องมีหลักที่หนักแน่นดั่งขุนเขา!
สำหรับผู้เล่นแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่ใช้ประโยคเดียวก็สรุปได้
ข้าไม่ต้องการความคิดเห็นของเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือความคิดเห็นของข้า
เมื่อข้าคิดว่าเจ้าขโมยของของข้าไป เช่นนั้นเจ้าก็คือหัวขโมย ใครจะมีความพยายามมาเล่นเกมสืบคดีโคนันอะไรกับเจ้าล่ะ
“โอ้ว…นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถมากขนาดนี้” วั่งเหยียนส่ายหน้า แล้วเรียกกระบี่จินสยามาไว้ในมืออย่างโอ้อวดเสียเลย เขาเริ่มใช้ท่า ‘ต้นสนรับแขก’ หนึ่งในกระบวนท่าของ ‘เคล็ดกระบี่หัวซาน’ “ในเมื่อถูกพวกเจ้าพบแล้ว เช่นนั้นพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ประลองฝีมือกันเลย!”
วั่งเหยียนในตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับวงล้อมยอดฝีมือสี่คน แต่ก็ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
มีอาวุธเทพอย่างกระบี่จินสยาอยู่ในมือ เขาก็ผ่านดันเจี้ยนวังใต้ดินของเจดีย์เหลยเฟิงได้อย่างง่ายดายแล้ว!
แค่ผู้เล่นไม่กี่คน มีอะไรให้กลัวล่ะ
เขาลำพองใจ!
จากนั้น…
เขาก็ตายแล้ว
เนื่องจากศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเกินไป ต่อให้วั่งเหยียนมีกระบี่จินสยาอยู่ในมือ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนึ่งในสี่คนนี้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสี่รุมหนึ่งเลย
เพราะด้วยเหตุนี้เอง รายละเอียดระหว่างการต่อสู้จึงไม่มีจุดที่ยอดเยี่ยมใดๆ ให้บรรยาย ข้ามไปเลยก็ได้
เพียงชั่วพบหน้ากันเท่านั้น เขาก็ถูกผู้เล่นสี่คนล้อมโจมตีอย่างไม่ปรานีจนกลายเป็นแสงสีขาวแล้วดรอปหมวกสีน้ำเงินหนึ่งใบ
เฟยอวี๋เก็บขึ้นมาแล้วส่งลิงก์อุปกรณ์ในช่องทีม แต่กลับได้คำตอบเดียวกันสี่คำตอบ
[ขยะ!]
……
จุดคืนชีพมีอยู่ทุกเมืองหลักและหมู่บ้านมือใหม่ นอกจากนี้ บางสำนักในยุทธภพรวมทั้งเขตปลอดภัยนอกป่าก็มีสถานที่แบบนี้เช่นกัน บทบาทของมันก็คือช่วยให้ผู้เล่นที่ตายแล้วได้คืนชีพในจุดที่ใกล้เคียง ประหยัดเวลาเดินทางของผู้เล่น
แต่หากเป็นจุดคืนชีพในเมืองหลักของระบบ NPC ก็ล้วนเรียกเป็นชื่อเดียวกัน นั่นก็คือตลาดผักไช่ซือโข่ว
ขอเพียงสุ่มถาม NPC สักคน ก็จะหาเจอได้ง่ายดาย
ดังนั้น ตอนที่เงาร่างของวั่งเหยียนปรากฏตัวตรงจุดคืนชีพของเมืองหังโจว ภาพแรกที่เห็นก็คือเยี่ยเว่ยหมิงกำลังยืนกอดอก ยืนอมยิ้มมองเขาอยู่ตรงจุดที่ห่างออกไปห้าเมตร
“เชอะ!” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงจัดวางกำลังต่อสู้ไว้อย่างพรั่งพร้อม วั่งเหยียนก็เบะปากดูถูก สบตาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเก่งกาจขนาดนี้ ไม่เพียงแค่รู้ตัวเร็วว่าข้าขโมยของไป ทั้งยังรู้เส้นทางของข้าล่วงหน้าอีก อีกฝั่งดักสังหารตรงประตูดันเจี้ยน อีกฝั่งดักตรงจุดคืนชีพ”
“ยอมรับง่ายขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าหมอนี่ก็ตรงไปตรงมาเหมือนกันนะ” เยี่ยเว่ยหมิงยังคงยิ้มเรียบๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ส่งกระบี่จินสยาออกมา แล้วข้าจะคิดเสียว่าเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นอย่างไร”
“ก็ไม่เป็นอย่างไรหรอก!” วั่งเหยียนกลับมีท่าทีภาคภูมิใจอย่างประหลาด ยามเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ที่มาทวงถึงหน้าประตูบ้าน นึกไม่ถึงว่าเขาไม่มีท่าทีจะถอยแม้แต่น้อย ถามกลับเยี่ยเว่ยหมิงอย่างเป็นปฏิปักษ์ว่า “ข้าอาศัยความสามารถเพื่อขโมยของสิ่งนี้มา แล้วเจ้าอาศัยอะไรมาบอกให้ข้าคืนของ”
ท่าทีที่หนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยเหตุผลรองรับของวั่งเหยียน ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงหน้าเหวอไปเลย
จะว่าไปแล้ว หัวขโมยในเกมกำเริบเสิบสานอย่างนี้เหมือนกันหมดเลยหรือ (⊙?⊙)
แน่นอน ในเมื่อเตรียมการดักล้อมสังหารไว้สองฝั่งได้ ก็แสดงว่าเยี่ยเว่ยหมิงคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะไม่ยอมส่งของให้แต่โดยดี
ก็อย่างที่บอก ผู้เล่นที่ตายในเกมย่อมคืนชีพได้ตลอดเวลา ชีวิตจึงไม่มีค่าขนาดนั้น
อย่างน้อยหากเทียบกับอุปกรณ์ทองคำคุณภาพสูงสุดอย่างกระบี่จินสยา ผู้เล่นเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ก็ต้องเลือกตายสักสามครั้งห้าครั้งอยู่แล้ว
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ เขาจะยอมส่งของออกมาแต่โดยดีได้อย่างไร
เพียงแต่จะส่งให้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ
พวกเราใช้วิธีการหนามยอกเอาหนามบ่งก็ได้
เจ้าใช้ทักษะขโมยมาขโมยของบนตัวข้าได้ ข้าก็ใช้เคล็ดกระบี่ที่เอาไว้ฆ่าคนมาฆ่าเจ้าเพื่อดรอปของบนตัวเจ้าได้เช่นกัน ในระหว่างนั้นยังเก็บดอกเบี้ยได้ด้วย
ก็เหมือนกับที่ดรอปหมวกสีน้ำเงินจากตัววั่งเหยียนก่อนหน้านี้นั่นแหละ
ขณะมองวั่งเหยียนทำตัวกำเริบเสิบสานถึงขีดสุด ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้’ เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างใจเย็นมากว่า “อาศัยอะไรน่ะหรือ ก็อาศัยที่เจ้าสู้ไม่ชนะข้าอย่างไรล่ะ!”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก” ขณะที่พูด วั่งเหยียนก็เรียกกระบี่จินสยามาไว้มือแล้ว ก่อนจะกล่าวอย่างลำพองใจมากว่า “ตอนนี้กระบี่วิเศษของเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว ใครจะสู้ไม่ชนะ ก็ยังไม่แน่หรอก!”
เมื่อพูดจบแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะควงกระบี่วิเศษพุ่งเข้ามาสังหารเยี่ยเว่ยหมิงอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
เพียงแต่เคล็ดกระบี่ของเขา ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงบรรยายได้เพียงว่า ‘ข้อบกพร่องมีเป็นร้อย’
ขณะเผชิญหน้ากับวั่งเหยียนที่ทำท่าเหมือนสู้ตาย เยี่ยเว่ยหมิงเรียกกระบี่มังกรคำรามมาไว้ในมือแล้วเช่นกัน เมื่อเล็งช่องโหว่ในกระบวนท่าของเขาได้แล้วก็ใช้ท่าไซซี…ช่างมันเถอะ ด้วยหน้าตาอย่างเจ้าหมอนั่น อย่าสร้างความอัปยศให้แม่นางไซซีจะดีกว่า
อย่างเจ้าน่ะ เอาท่าพเนจรสุดขอบฟ้าไปกินก็แล้วกัน!
เปลี่ยนกระบวนท่ากลางคัน กระบี่มังกรคำรามในมือเยี่ยเว่ยหมิงเปลี่ยนจากแทงเป็นเสยเฉียงขึ้น คมกระบี่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใช้เคล็ดกระบี่ของวั่งเหยียน แล้วแทงทลุลำคอของเจ้าหัวขโมยโดยตรง
ตัวเลขคริติคอลดาเมจใหญ่ๆ ลอยขึ้นเหนือศีรษะของวั่งเหยียน
-3510!
ปลิดชีพ!
หลังจากลำแสงสายหนึ่งแวบผ่านไป ร่างของวั่งเหยียนกลับไปโผล่อยู่ตรงกลางจุดคืนชีพที่ห่างออกไปห้าเมตรอีกครั้ง และตรงจุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ บนพื้นก็มียาฟื้นฟูพลังชีวิตตกอยู่สองขวด
ทว่าแม้จะถูกเยี่ยเว่ยหมิงโจมตีปลิดชีพ แต่เจ้าโจรเหิมเกริมนี่ก็แค่ทึ่งในพลังโจมตีอันน่าหวาดกลัวของเยี่ยเว่ยหมิงเท่านั้น ในแววตาไม่ได้เผยความรู้สึกกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับตอนสุดท้ายก่อนคืนชีพ มุมปากกลับโค้งเผยรอยยิ้มเหมือนแผนชั่วสำเร็จ
และตอนที่ร่างของเขาไปโผล่ตรงจุดคืนชีพอีกครั้งหลังจากแสงสีขาวหายไป เขาก็เห็นสิ่งที่ใจปรารถนา นั่นก็คือทหารของระบบสี่คนรอบจุดคืนชีพปฏิบัติการพร้อมกัน พวกเขาล้อมเยี่ยเว่ยหมิงเอาไว้ตรงกลางแล้ว
“ฮ่าๆๆ!” เมื่อได้เห็นฉากนี้ ในที่สุดวั่งเหยียนก็หัวเราะลั่นอย่างกำเริบเสิบสาน “ฆ่าคนตรงจุดคืนชีพในเมือง เจ้าคิดว่าทหารของระบบเหล่านี้มีเอาไว้ประดับฉากเฉยๆ หรือ…
…เจ้าอาจจะยังไม่รู้สินะ ว่าทหารของระบบเหล่านี้ ยามเผชิญหน้ากับผู้เล่น พวกเขาล้วนมีความสามารถไร้เทียมทานถึงเลเวลสองร้อย หากมีใครฆ่าคนในเขตที่พวกเขาควบคุม ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ล้วนถูกประหารในทันที!…
…ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากถูกพวกเขาฆ่าตายแล้ว เจ้าก็จะไม่ได้มาฟื้นชีพอยู่ข้างกายข้า แต่จะถูกส่งไปขังอยู่ในคุกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง…
…เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็ไปใช้ชีวิตอิสระเสรีที่ไหนสักแห่งที่เจ้าไม่รู้จักตั้งนานแล้ว…
…บ๊ายบายนะท่าน!”
ตอนที่วั่งเหยียนกำลังคิดในใจ กำลังตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะให้การต้อนรับเยี่ยเว่ยหมิงบ่อยๆ ทันใดนั้นกลับมีเสียงของคนแปลกหน้าดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา “หึหึ หัวขโมยวั่งเหยียน ในที่สุดเจ้าก็โผล่ออกมาจากดันเจี้ยนแล้ว”