ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 194 ฉินหนานฉิน ช่วยตั้งชื่อให้ลูกข้าเถิด!
ตอนที่ 194 ฉินหนานฉิน: ช่วยตั้งชื่อให้ลูกข้าเถิด!
เยี่ยเว่ยหมิงนำประกาศิตกระบี่บุปผาโรยออกมา เตรียมตัวเอาปืนใหญ่ไปยิงยุง[1]เรียบร้อยแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ ตอนที่เขานำประกาศิตกระบี่บุปผาโรยออกมา เหมยเชาเฟิงก็พลันถลันตัวจนทั้งร่างกลายเป็นเงาเลือนราง แวบผ่าตัวเขาไปแล้ว
และประกาศิตกระบี่บุปผาโรยในมือเขาก็ถูกอีกฝ่ายชิงไปแล้วเช่นกัน!
ที่แท้ตอนแรกที่ประมือกัน เหมยเชาเฟิงยังไม่ได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมาเต็มที่
ตอนนี้จู่ๆ ก็แสดงความสามารถออกมาเต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาลนลานจนทำอะไรไม่ถูก!
พอแย่งมาไว้ในมือได้แล้ว เหมยเชาเฟิงก็ชูมันขึ้นมาข้างๆ ใบหน้าขาวซีดของนางทันที แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบตัวอักษรบนนั้นเบาๆ ท่าทางเหมือนนักพนันที่จงใจทำตัวเท่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นสงสัยว่านางอาจจะนำประกาศิตกระบี่บุปผาโรยตบลงบนโต๊ะข้างๆ ได้ทุกเมื่อ จึงตะโกนเสียงดัง “ข้าชนะแล้ว!”
แน่นอน จู่ๆ ลักษณะของเหมยเชาเฟิงคงไม่เปลี่ยนไปแปลกประหลาดขนาดนั้นในทันที
ขณะที่นางลูบตัวอักษรบนประกาศิตกระบี่ นางก็อ่านด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กระบี่เทพเงาดอกท้อโรย ขลุ่ยหยกกวนกระแสทะลเคราม! ประกาศิตกระบี่บุปผาโรย นึกไม่ถึงว่าเป็นประกาศิตกระบี่บุปผาโรยจริงๆ!”
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วยิ้มบางๆ พลันถอยหลังออกไปไกลสามเมตร ไปอยู่ตรงข้างกายฉินหนานฉินแล้ว
ในขณะเดียวกันนี้เอง เนื่องจากประกาศิตกระบี่บุปผาโรยกับเจ้าของอย่างเขาอยู่ห่างกันไกลเกินขอบเขตที่กำหนด มันจึงหายไปจากมือของเหมยเชาเฟิงโดยอัตโนมัติ กลับมาอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
เป็นเพราะมีการรับประกันหนึ่งชั้นแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ไม่ร้อนใจหลังจากประกาศิตกระบี่บุปผาโรยถูกแย่งไป
ตอนนี้เตรียมพร้อมป้องกันความเร็วสุดขีดของเหมยเชาเฟิงไว้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่รีบนำประกาศิตกระบี่บุปผาโรยออกมาอีก แต่พูดกับนางด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักประกาศิตกระบี่บุปผาโรย เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว ข้าว่าเจ้าคงรู้ผลลัพธ์การใช้งานของประกาศิตนี้ดี เช่นนั้น ตอนนี้เจ้าจะเป็นฝ่ายหลีกไปเอง หรือจะให้ข้าเรียกผู้อาวุโสหวงเย่าซือออกมาคุยกับเจ้า”
เหมยเชาเฟิงได้ยินแล้วชะงัก “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของเกาะดอกท้อ”
เยี่ยเว่ยหมิงเผยรอยยิ้มล้ำลึกยากคาดเดา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายตาบอด เขาก็หุบยิ้มอีก เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า “เจ้าก็เดาดูสิ”
“หึ!”
หลังจากทำเสียงฮึดฮัด เหมยเชาเฟิงใช้ท่าร่างทันที หายตัวไปจากตรงหน้าทั้งสองโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
มองออกเลยว่าไม่ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเป็นศิษย์ของเกาะดอกท้อหรือไม่ แต่นางก็หวาดกลัวที่จะพบหวงเย่าซืออยู่ดี
เมื่อศัตรูที่แข็งแกร่งไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็หันกลับไปมองฉินหนานฉิน “แม่นางฉิน พวกเราก็ไปกันเถอะ”
“ได้!”
ฉินหนานฉินเอ่ยรับแล้วตามหลังไป
และตอนที่ทั้งสองตามกันออกจากศาลาไป คนที่มารอรับอยู่ตรงหน้าก็คือกลุ่มทหารยามของหมู่บ้านนี้ มองคร่าวๆ ประมาณสามสิบกว่าคน แต่ละคนมีความสามารถและเลเวลเท่ากับทหารยามที่นำทางเขามาก่อนหน้านี้
ในจำนวนนั้น ก็ยิ่งมี BOSS หัวหน้ากลุ่มสองคนที่เลเวลสูงถึงยี่สิบห้า!
อาจจะเป็นเพราะตอนสู้กับเหมยเชาเฟิงก่อนหน้านี้สู้อย่างอึกทึกครึกโครมเกินไป หลังจากคนพวกนี้เห็นเยี่ยเว่ยหมิงแล้วจึงเริ่มโจมตีใส่เขาอย่างดุเดือดทันที
น่ากลัวมาก!
ถึงแม้ฝ่ายตัวเองมีคนน้อยกว่า แต่เยี่ยเว่ยหมิงจะกลัวได้อย่างไร
หลังจากแน่ใจว่าในหมู่บ้านนี้ไม่มียอดฝีมือคนอื่นนอกจากเหมยเชาเฟิง ก็นำกระบี่อาญาสิทธิ์ของเขาออกมาทันที จากนั้นเริ่มเปิดฉากสังหารใหญ่
ตอนเริ่มแรก เยี่ยเว่ยหมิงยังเก็บงำฝีมือเพราะต้องดูแลฉินหนานฉิน แต่หลังจากพบว่าการโจมตีทั้งหมดของอีกฝ่ายล้วนพุ่งเป้ามาที่เขา ไม่มีใครลงมือกับฉินหนานฉิน ก็เข้าใจถึงประเด็นสำคัญทันที
ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงกับฉินหนานฉิน ในเมื่อนางต้องการทรยศหยางคังและหนีไป เช่นนั้นต่อให้แตกหักกับหยางคังจนถึงที่สุด คนพวกนี้ก็ไม่น่าจะห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องนางอีก
ทว่าในความเป็นจริง ฐานะของฉินหนานฉินตอนอยู่ที่นี่ก็คือเสี่ยวหวังเฟย!
ต่อให้ไม่มีสถานะ แต่นางก็ยังเป็นผู้หญิงของหยางคังอยู่ดี เป็นหนึ่งใน…นายหญิงของที่นี่?
นอกจากเหมยเชาเฟิงแล้ว ผู้ที่บ่าวไพร่พวกนี้ไม่กล้าล่วงเกินที่สุดก็คือฉินหนานฉิน
ต่อให้ฉินหนานฉินจะหนีไป พวกเขาก็ทำได้เพียงพยายามขัดขวางให้ถึงที่สุด แต่ไม่กล้าใช้อาวุธกับนาง
หากทำให้นายหญิงน้อยบาดเจ็บจริงๆ ต่อให้นางจะอยู่ในสถานการณ์เตรียมหลบหนี แต่ก็จะถูกท่านอ๋องน้อยตำหนิอยู่ดี ถึงขั้นเสี่ยงถูกตัดหัวด้วย!
ดังนั้น พวกเขาจึงกล้าโจมตีเยี่ยเว่ยหมิงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับไม่กล้าแตะต้องฉินหนานฉินแม้แต่ครึ่งขน
สำหรับฉินหนานฉิน สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือกำจัดเยี่ยเว่ยหมิงก่อน แล้วค่อย ‘เชิญ’ นางกลับมาที่ตึกศาลานี้อย่างสุภาพ รอให้ท่านอ๋องน้อยของพวกเขากลับมาก่อนแล้วค่อยจัดการลงโทษ
เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังอีก ยื่นกระบี่สังหารเข้ามาในกลุ่มคนทันที เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน มังกรซ่อนกบดาน ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์และกระบวนท่าที่มีพลังทำลายล้างสูงต่างๆ ไหลออกมาเป็นชุด ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ก็กำจัดทหารยามของหมู่บ้านที่มาล้อมพวกเขาไว้จนหมดเกลี้ยง
จากนั้นเขาก็อุ้มฉินหนานฉินในท่าอุ้มเจ้าหญิง ใช้ ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ เลเวล 7+1 หนีออกไปจากหมู่บ้านรั่วหวาอย่างรวดเร็วราวกับควัน
เยี่ยเว่ยหมิงใช้วิธีการที่สองแง่สองง่ามแบบนี้พาฉินหนานฉินออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมีความคิดสิบแปดบวกกับ NPC หรอก เขาแค่ป้องกันไม่ให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันเท่านั้นเอง ถึงได้ใช้วิชาตัวเบาของตัวเองรีบพานางออกไปจากสถานที่แห่งความขัดแย้งนี้
ที่จริงตามความคิดเดิมของเยี่ยเว่ยหมิง เขาตั้งใจจะแบกนางออกไป แต่เพราะพิจารณาว่านางกำลังตังครรภ์ ท้องรับการสั่นสะเทือนไม่ไหว ถึงได้เปลี่ยนจาก ‘แบก’ มาเป็นอุ้มแบบเจ้าหญิง
ตอนที่เพิ่งออกจากหมู่บ้าน จู่ๆ ก็มีพิราบขาวสองตัวบินมาตรงหน้าด้วยวิถีการบินที่จำกัดคำนิยามไม่ได้ บินมาเกาะบนบ่าเขาแล้วหายไป
ขณะที่กำลังวิ่งตะบึง เยี่ยเว่ยหมิงใช้พลังจิตเปิดแถบรายการเพื่อนตรงหน้าอินเตอร์เฟสระบบ แต่กลับเห็นเพียงรูปโปรไฟล์ของอินปู้คุยคนเดียวที่กะพริบไม่หยุด
หลังจากเปิดแล้ว กลับพบว่ามีสองข้อความส่งหาเขาอย่างต่อเนื่อง
[ จัดเรียง ‘กลยุทธ์ทั้งหมดของเนื้อเรื่องตำนานวีรบุรุษยิงอินทรี’ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กรุณาตรวจรับด้วยความระมัดระวัง!]…อินปู้คุย
ในข้อความที่สอง ก็แนบข้อมูลของขั้นตอนที่ละเอียดมาก
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงตอบข้อความกลับไปขอบคุณแล้ว เขาก็เริ่มวิ่งไปพลาง ตรวจดูกลยุทธ์ของภารกิจไปพลาง
การดูครั้งนี้ ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงกว่า
กระทั่งเขาอุ้มฉินหนานฉินออกจากเมืองเทียนจินไปไกลแล้ว จนระบบแจ้งเตือนว่าเขาเข้าสู้อาณาเขตเมืองหลักอีกแห่งแล้ว เขาถึงได้หาภูเขาลูกหนึ่งแล้วปล่อยฉินหนานฉินลงมา
ส่วนกลยุทธ์พวกนั้น เขาอ่านไปแล้วเก้าในสิบส่วน เหลือเพียงส่วนสุดท้ายที่ยังอ่านไม่จบ
เพียงแต่ส่วนที่เหลือล้วนเป็นข้อมูลและบทวิจารณ์ของตัวละครในเนื้อเรื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักมากนัก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าหยางกั้วมาได้อย่างไรกันแน่!
ในกลยุทธ์ที่อินปู้คุยให้มา เรื่องราวความรักระหว่างหยางคังกับมู่เนี่ยนฉือถูกเขียนอย่างกระชับที่สุด ถึงอย่างไรก็เหลือเพียงผลลัพธ์เท่านั้น ไม่ได้บรรยายรายละเอียด
แต่สรุปแล้วก็ได้ความประมาณว่า
หยางคังกับมู่เนี่ยนฉือแต่งงานกัน ให้กำเนิดหยางกั้ว
หยางคัง ตาย!
มู่เนี่ยนฉือเลี้ยงดูหยางกั้วเพียงลำพัง
จากนั้น เรื่องราวของตำนานวีรบุรุษยิงอินทรีก็จบลงแล้ว
ตอนนี้หยางคังตายแล้ว ถึงขั้นว่าหลังจากพบกับมู่เนี่ยนฉือครั้งแรกก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงฆ่าตายสนิทแล้ว เป็นการตายที่ไม่อาจรีเฟรชใหม่ได้อีก ดังนั้นเส้นเรื่องทั้งหมดจึงเปลี่ยนไปมาก
เพียงแต่อิงตามเซ็ทติ้งของระบบ แน่นอนว่าการตายของหยางคังคนเดียวไม่อาจทำให้ภารกิจของระบบที่มีภาคต่อยาวต่อเนื่องถูกยกเลิกหรือตัดทิ้ง
หากพูดตามทฤษฎี มองจากบางมุม บทบาทองของหยางคังก็เหมือนกับบทบาทของจางชุ่ยซาน
แต่เลเวลของจางชุ่ยซานสูงกว่า!
ทั้งยังเข้าสู่การต่อสู้เร็วกว่าด้วย
เขาที่เลเวลสูงถึงเก้าสิบ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกผู้เล่นฆ่าตายง่ายๆ ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าสู่ยุทธภพ
แน่นอน ในทางทฤษฎี หยางคังไม่อาจเป็นอย่างนั้นได้ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้เล่นที่ทำลายขีดจำกัดทฤษฎีอย่างเยี่ยเว่ยหมิงโผล่มา
ในความเป็นจริงก็คือ เนื่องจากความอวดเก่งของเยี่ยเว่ยหมิง ทำให้หยางคังตายแล้วจริงๆ
เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะ
ดังนั้น ฉินหนานฉินก็จึงปรากฏตัวออกมาแล้ว
หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ หยางกั้วที่ฝึกทักษะยุทธ์สำเร็จแล้ว จากนั้นพาทั้งบ้านมาไล่สังหารเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเด็กที่อยู่ในท้องฉินหนานฉินตอนนี้!
แต่ยามเผชิญหน้ากับฉินหนานฉินที่อ่อนด้อยความสามารถจนมองข้ามไปได้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้เกิดความคิดที่จะชกท้องนาง หรือกำจัดภัยคุกคามตั้งแต่ตอนเป็นตัวอ่อนเลย
นอกจากเส้นตายคุณธรรมของตัวเองแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่เขากระจ่างยิ่งกว่า
นั่นก็คือทำอย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย!
ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิง ผู้หญิงที่ไม่เคยปรากฏตัวในต้นฉบับเดิมอย่างฉินหนานฉิน เป็นเพียงแค่ตัวสำรองเท่านั้น!
หากหยางคังไม่ตาย นางก็ไม่มีส่วนในละครเรื่องนี้เลย
เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นมีเหตุผลที่จะคิดว่า นางกับฉากหมู่บ้านรั่วหวารวมทั้งจดหมายขอความช่วยเหลือนั่น ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกรีเฟรชออกมาหลังจากหยางคังตาย
อย่างไรเสีย ก่อนที่หยางคังจะปรากฏตัวในภารกิจเนื้อเรื่อง อดีตของเขาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฉากเกมเท่านั้น ทั้งยังเป็นส่วนที่ไม่ได้เผยออกมาทั้งหมดด้วย
หากต้องการจะลด หรือเพิ่มการตั้งค่า สำหรับระบบก็เป็นเรื่องง่ายมากไม่ใช่หรือ
ในเมื่อระบบสร้างฉินหนานฉิน[2]ออกมาลอยๆ ได้ แน่นอนว่าก็สร้างปี่บูรพา ขลุ่ยประจิม ผีผาอุดรอะไรทำนองนี้ออกมาได้เช่นกัน
ถึงอย่างไร ขอเพียงตั้งค่าเพิ่มไปอีกสักหน่อย บอกว่าผู้หญิงคนนี้เกิดความสัมพันธ์กับหยางคังเพราะสาเหตุบางอย่าง ทั้งยังบังเอิญตั้งครรภ์ เช่นนั้นทุกอย่างก็โอเคแล้ว หยางกั้วก็ยังถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างราบรื่น เรื่องราวของ ‘คู่รักจ้าวอินทรี’ ยังคงดำเนินต่อไปได้เช่นเดิม
จากนั้น เยี่ยเว่ยหมิงที่ปกป้องฉินหนานฉินกับลูกชายได้ไม่ดี ก็จะต้องถูกหยางกั้วที่นางให้กำเนิดไล่สังหาร อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ภารกิจคุ้มครองของเขาก็เสร็จสิ้นแล้ว จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวอีกหรือ
เมื่อเห็นควันไฟในหมู่บ้านที่อยู่ตรงข้ามภูเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็บอกฉินหนานฉินว่า “ตอนนี้คงปลอดภัยแล้ว ข้างหน้าคงจะเป็น…” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็มองแผนที่แวบหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “หมู่บ้านนั้น จะว่าไปแล้ว วิธีการตั้งชื่อว่าหมู่บ้านมือใหม่ก็มักง่ายจริงๆ ถ้าเจ้าอยากไปพักที่ไหน ก็นั่งรถม้าตรงจุดพักม้าของ ‘หมู่บ้านนั้น’ ไปก็แล้วกัน”
NPC ย่อมขึ้นรถม้าของระบบไม่ได้ แต่หากพาผู้เล่นไปด้วยก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว
“ขอบคุณพี่ใหญ่เยี่ยมาก!” ฉินหนานฉินยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “ตอนนี้ข้ายังมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง ไม่รบกวนพี่ใหญ่เยี่ยต่อแล้ว”
“แต่ก่อนที่จะกล่าวอำลา ผู้น้อยก็ยังมีอีกหนึ่งคำขอที่ไม่สมเหตุสมผล หวังว่าพี่ใหญ่เยี่ยจะรับปาก”
“เจ้าว่ามาสิ” เยี่ยเว่ยหมิงงุนงง
“พวกเราสองแม่ลูกล้วนถูกพี่ใหญ่เยี่ยช่วยชีวิตไว้ เช่นนั้นเด็กในท้องของข้า พี่ใหญ่เยี่ยช่วยตั้งชื่อให้สักหน่อยเถิด” ฉินหนานฉินกล่าว
[1] เอาปืนใหญ่ไปยิงยุง 高射炮打蚊子 หมายถึง เล่นใหญ่ ใช้ทรัพยากรไม่คุ้ม
[2] หนานฉิน 南琴 แปลว่าฉินทักษิณ ฉิน คือเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง