ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 215 บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง
ตอนที่ 215 บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง
เมื่อส่งข้อความเกี่ยวกับกระสอบข้าวออกไป เยี่ยเว่ยหมิงก็กินข้าวกับบรรดาหายต่อ ผ่านไปประมาณครึ่งนาที พิราบสื่อสารก็กลับมาแล้ว
[ห้ามทิ้ง ห้ามทำลาย ห้ามซื้อขาย?]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[ก็อย่างที่เจ้าเห็น]…เยี่ยเว่ยหมิง
[เจ้าอยู่ที่ไหน]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[ตีนเขาชิงเฉิง ภัตตาคารซู่เจิน ห้องเดี่ยวผู้กล้าวีรบุรุษชั้นสอง]…เยี่ยเว่ยหมิง
ไม่ว่าจะเป็นหนิวจื้อชุน หรือน้องดาบก็ล้วนอยู่ไกลจากชิงเฉิงพันลี้ ถ้าเป็นในชีวิตจริงก็ต้องขึ้นเครื่องบินหลายชั่วโมงกว่าจะถึง แต่เมื่ออยู่ในเกมทุกคนล้วนมีวิชาตัวเบา การเคลื่อนไหวของตัวเองเร็วกว่ารถยนต์ด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่เจอสถานการณ์รถติดด้วย แล้วก็มีรถม้าที่ฟังก์ชั่นการทำงานเทียบเท่าการเทเลพอร์ต ทำให้เวลาเดินทางสะดวกที่สุด
ผ่านไปเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น ยอดฝีมือทั้งสองก็ทยอยกันมาถึงภัตตาคารแล้ว
ระหว่างพวกเขามีบางคนที่รู้จักกันและมีบางคนที่ไม่รู้จักกัน หลังจากพวกเขาแนะนำตัวกันแล้ว หนึ่งดาบสามเฉือนก็ดึงแขนเยี่ยเว่ยหมิงและกล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหว “มือปราบหน้าเหม็น เจ้าชนะแล้ว ในเมื่อ ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ เป็นไอเทมที่ซื้อขายไม่ได้ ข้าก็ทำได้เพียงพาเจ้าไปทำภารกิจ”
ขณะที่พูด สาวน้อยก็ยังกลอกตามองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง “ต้องรู้ไว้นะว่าก่อนจะทำภารกิจนี้ ข้าใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อทำภารกิจย่อยต่อเนื่องกัน เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะได้รับผลตอบแทน ผลปรากฏว่าขาดของสิ่งนี้ไปหนึ่งอย่าง เจ้าได้เปรียบเกินไปแล้ว!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับยกจอกสุราขึ้นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ใครบอกว่าข้าจะไปทำภารกิจกับเจ้า”
น้องดาบได้ยินแล้วถลึงดวงตากลมโต “มือปราบหน้าเหม็น ทางที่ดีเจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย! ข้ายอมให้เจ้าเอาเปรียบไปเยอะขนาดนั้นแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก”
เมื่อได้ยินดังนั้น สะพานสวรรค์น้อยกับซานเย่ว์ก็เผยสีหน้าแปลกๆ
ถังซานไฉ่ เฟยอวี๋ ฉางซิงอวี่ยังคงมีสีหน้าจริงจัง เพียงแต่ไหล่สั่นไม่หยุด เป็นการทรยศหัวใจที่กำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกบันเทิง ดูท่าแล้วฉางซิงอวี่เป็นคนมีมารยาทจริงๆ ส่วนถังซานไฉ่กับเฟยอวี๋รับรู้ถึงความร้ายกาจของนางหนูคนนี้
มีเรื่องด้วยไม่ไหว ไม่กล้าหัวเราะเยาะ
มีเพียงหนิวจื้อชุนที่โชคร้ายที่สุด ตอนที่น้องดาบพูดประโยคนี้ออกมา เขากำลังดื่มสุราอยู่พอดี จึงไม่ทันระวังสำลักไปคำหนึ่ง ตามด้วยพ่นน้ำสุราออกมาเต็มโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มโก่งตัวไออย่างรุนแรง
ตอนนี้น้องดาบก็รู้ตัวแล้วเช่นกัน รู้ว่าคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้ทำให้คนเข้าใจผิดง่ายมาก ใบหน้างามของนางแดงเรื่อทันที มองค้อนเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่ง แต่พฤติกรรมนี้กลับดูคลุมเครือยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในสายตาคนอื่น
แต่เด็กสาวก็รู้เช่นกันว่ากับพวกที่ชอบสนุกเรื่องชาวบ้านพวกนี้ จะอธิบายอย่างไรก็ไม่ได้ผล ถ้ายิ่งดึงดันจะอธิบายก็ยิ่งดูเหมือนแก้ตัว
เพราะเจ้าคนที่ไร้ยางอายพวกนี้เพียงอยากดูเอาสนุกเท่านั้น ไม่ได้สนใจเลยว่าความจริงจะเป็นอย่างไร!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงไม่อธิบายเสียเลย ได้แต่ชักดาบยาวที่สะพายอยู่ข้างหลังขึ้นมาเสียงดัง ชวิ้ง! แล้วกดดาบจออยู่บนลำคอของหนิวจื้อชุน “กลั้นเอาไว้ หรือไม่ก็เสียค่าประสบการณ์กับค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์สิบเปอร์เซ็นต์ เจ้าเลือกเอาเอง”
จู่ๆ ก็ถูกคมดาบที่เย็นเฉียบกดบนลำคอ หนิวจื้อชุนรู้สึกได้ทันทีว่าความหยาวเย็นลุกลามไปทั่วร่างกาย เขารีบโคจรกำลังภายในเพื่อปรับลมหายใจ ตามด้วยฉวยโอกาสตอนที่น้องดาบไม่ระวังเอนตัวไปข้างหลังกะทันหัน ทั้งตัวคนทั้งเก้าอี้ล้มหงายหลังลงทันที
ร่างกายกลิ้งไปตามพื้นหนึ่งตลบ ถึงได้เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ตอนที่กำลังจะตอกกลับสักสองสามคำเพื่อกู้หน้ากลับมา กลับพบว่าคมดาบที่ตัวเองเพิ่งหลบได้เมื่อครู่นี้ ตอนนี้มาโผล่อยู่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้งแล้ว มันจ่ออยู่ตรงจุดที่ห่างจากหว่างคิ้วของเขาไม่ถึงแปดเซนติเมตร จ่อนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ราวกับดาบนั้นหยุดรออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว รอเพียงเขาเงยหน้าขึ้นไปมองเท่านั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ไม่เพียงแค่หนิวจื้อชุนพี่ตกใจจนเหงื่อแตกทั้งตัว แม้แต่ฉางซิงอวี่ที่ได้เห็นน้องสาวคนนี้ลงมือเป็นครั้งแรกก็ตาค้างเช่นกัน
เมื่อครู่ตอนที่น้องดาบออกดาบครั้งแรก ทุกคนยังไม่รู้สึกอะไร ถึงอย่างไรดาบของนางก็ไม่ได้เร็วถึงขั้นทำให้คนมองไม่ทัน แต่ตอนที่หนิวจื้อชุนหลบคมดาบของนางแล้วกลิ้งหลบไปข้างหลังไกลแล้ว นางก็ใช้ท่าร่างตามเขาไป อาศัยการคาดคะเนล้วนๆ จนดาบมาจ่ออยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา แม้แต่เขาเองก็ยังทำเช่นนี้ไม่ได้เลย
ทำไม่ได้แน่นอน!
ไม่แปลกใจที่เยี่ยเว่ยหมิงประเมินผู้หญิงคนนี้ไว้สูงขนาดนี้ ดูท่าแล้ว แม่นางผู้นี้คงจะเป็นตัวละครที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ช้าก่อน!
หนึ่งดาบสามเฉือน เยี่ยเว่ยหมิง สะพานสวรรค์คริสตัล?
ชื่อพวกนี้ อย่าบอกนะว่าเป็นคนที่สังหารโหวทงไห่ บอสโหมดปกติเลเวลห้าสิบเจ็ดช่วงก่อนหน้านี้
เมื่อก่อนเพียงได้ยินเสียงประกาศระบบเท่านั้น ฉางซิงอวี่ยังคิดไปโดยจิตใต้สำนึกว่า พวกเขาสังหารสำเร็จเพราะอยู่ในสถานการณ์พิเศษแน่นอน
เมื่อเทียบกับ BOSS ในบางเนื้อเรื่องที่อยู่ในสภาวะอ่อนแอพอดี ยกตัวอย่างเช่นอวี๋ชางไห่ก่อนหน้านี้ หรือไม่ก็บอสที่ตายเพราะผู้เล่นกลุ่มใหญ่ที่ได้เปรียบกว่าในทุกด้าน ห้าคนนั้นก็แค่โชคดีที่ได้ชุบมือเปิดในตอนสุดท้ายก็เท่านั้นเอง
เขามีความคิดว่าใครมาก่อนคนนั้นก็ได้เปรียบ ตอนแรกที่เขาเห็นประกาศของระบบจึงไม่ได้ใส่ใจใดๆ
แต่พอมาดูตอนนี้ การที่เขาทำเฟิร์สคิลบอสเลเวลห้าสิบเจ็ดได้ เกรงว่าคงไม่ได้อาศัยเพียงความโชคดีอย่างเดียวแน่นอน
“พอแล้ว!” เมื่อเห็นหนิวจื้อชุนสีหน้าแย่มาก เยี่ยเว่ยหมิงก็เอ่ยปากไกล่เกลี่ยได้ทันเวลา “เล่นกันเท่านี้พอ พวกเราคุยเรื่องสำคัญกันเถอะ หนึ่งดาบ ที่จริงถ้าอยากให้ข้ากับเจ้าไปทำภารกิจด้วยกันก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง เจ้าต้องเข้ามาอยู่ในทีมของพวกเราก่อน ช่วยสหายถังทำภารกิจหินสามชาติก่อน”
เยี่ยเว่ยหมิงเบี่ยงประเด็นออกจากจุดที่ทำให้น้องดาบรู้สึกอึดอัด นางย่อมไม่พัวพันกับเรื่องนี้ต่อไม่จบไม่สิ้น จึงหันกลับมาอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งเก็บดาบยาวเข้าฝัก “ชอบทำเกินไปมากจริงๆ ด้วย…
…ตอนที่เจ้ากำลังจะได้รับผลตอบแทนที่น่าตื่นเต้นที่สุด ข้าตอบรับให้เจ้ามาเข้าร่วมในภารกิจย่อยต่อเนื่องที่ข้าทำ ก็ถือว่าเจ้าได้เปรียบเยอะมากแล้ว ถึงอย่างไร สิ่งที่เจ้าจ่ายมาก็เป็นเพียง ‘กระสอบข้าวใบเดียว’ ที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเจ้าก็เท่านั้นเอง…
…เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าได้เปรียบไปมากมาย แต่เจ้ากลับมาเจรจาเงื่อนไขกับข้า เจ้าให้ทุกคนลองฟังดู วันนี้คือคำพูดที่มาจากปากมนุษย์หรือเปล่า”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “เงื่อนไขของข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ เจ้าเลือกได้เลยว่าจะตกลง หรือไม่ตกลง ข้าเองก็ไม่ได้บังคับให้ซื้อขายใช่ไหมล่ะ”
เขาชะงักนิดหน่อย แล้วรีบพูดเสริมว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจหินสามชาตินี้ สหายถังก็ทำภารกิจย่อยต่างๆ สำเร็จไปแล้ว ตอนนี้ถึงช่วงที่จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในตอนสุดท้ายแล้วเช่นกัน…
…ที่สำคัญที่สุดก็คือรางวัลภารกิจ ‘หินสามชาติ’ แม้จะมีเพียงก้อนเดียว แต่ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจนี้ ล้วนได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์และค่าตบะจำนวนมาก หากไม่ใช่เพราะเงื่อนไขของภารกิจนี้กำหนดไว้ว่าต้องตั้งทีมจากผู้เล่นหกคนที่อยู่ต่างสำนักกัน รายชื่อคนในทีมที่ล้ำค่าเช่นนี้ ข้าเก็บไว้ใช้กับคนในสำนักตัวเองดีกว่า มีหรือจะเรียกเจ้ามา”
น้องดาบได้ยินแล้วตาเป็นประกายทันที “ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าข้าก็ไม่เสียเปรียบน่ะสิ”
ขณะที่พูด แม่สาวน้อยเผ็ดร้อนคนนี้ก็หย่อนก้นนั่งลงข้างกายเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว “พูดเรื่องภารกิจของพวกเจ้ามาเถอะ”
แม้คำโบราณจะกล่าวไว้ว่า ‘เวลากินไม่พูดคุย เวลานอนไม่พูดคุย’ แต่ความจริงแล้ว สถานที่ที่ดีที่สุดของคนจีนในการพูดคุยกันก็คือโต๊ะอาหาร ไม่มีที่อื่นแล้ว
แต่อาหารเต็มโต๊ะใหญ่ที่ถังซานไฉ่เพิ่งสั่งไว้ ตอนนี้ถูกหนิวจื้อชุนพ่นสุราใส่หมดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่สำนักถังเหมินท่านนี้ทำได้เพียงเรียกคนงานมาเก็บอาหารทั้งหมดไปแล้วก็สั่งอาหารโต๊ะใหม่ เสร็จแล้วถึงได้อธิบายภารกิจของเขาให้สหายร่วมทีมใหม่สองคนที่เพิ่มเข้ามา
ไม่อธิบายขั้นตอนโดยละเอียดของภารกิจอีกแล้ว ยอดฝีมือทั้งหกคนที่ถูกเลือกล้วนมั่นใจในความสามารถของตัวเอง หลังจากทำความเข้าใจขั้นตอนของภารกิจคร่าวๆ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก
จากนั้นก็เป็นฉากกินอาหารมื้อใหญ่ที่ภายนอกเจ้ามือและเพื่อนร่วมโต๊ะสุขสันต์หรรษา แต่ความจริงแล้วแอบตีฝีปากกัน
คนกลุ่มนี้ภายนอกดูเกรงใจซึ่งกันและกันมาก แต่ระหว่างที่คุยกันมักให้ความรู้สึกเหมือนซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น[1]อยู่เป็นระยะ
หลังจากให้ยอดฝีมือที่ไม่คุ้นเคยกันมารวมตัวกัน นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว
อย่างไรเสีย คนที่มีความสามารถก็ล้วนมีความยโสโอหังอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต่อให้ภายนอกจะค่อนข้างถ่อมตัว แต่ในส่วนลึกของจิตใจกลับไม่มีใครยอมใครแน่นอน ภายนอกต่างก็ท่องคำว่า ‘นอกจากข้า ทุกคนในกลุ่มล้วนเป็นพี่ใหญ่’ ซ้ำๆ แต่ในใจกลับรู้สึกว่า ข้านี่แหละอันดับหนึ่งในใต้หล้า
คำโบราณมักกล่าวว่า ‘บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง[2]’ หรือไม่ก็ ‘คนมีการศึกษามักดูถูกกันเอง’ สองคำกล่าวนี้ใช้อธิบายสถานการณ์อย่างนี้ได้
กอปรกับบรรดาผู้เล่นใน ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เดิมทีก็เป็นชายหนุ่มหญิงสาวอายุระหว่างสิบห้าถึงยี่สิบห้าปีอยู่แล้ว มักมีความเลือดร้อนมากกว่าเล่ห์เหลี่ยม เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน
มีเพียงหน้าของถังซานไฉ่กับกำลังอันป่าเถื่อนของเยี่ยเว่ยหมิงที่คุมสถานการณ์ตรงนี้อยู่ ถึงทำให้คนพวกนี้ไม่ได้แสดงด้านที่เย่อหยิ่งอวดดีออกมา
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ถังซานไฉ่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ท่ามกลางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีเพียงเขาที่สนใจความสำเร็จของภารกิจนี้ที่สุด และตระหนักได้ทันทีเช่นกันว่าทีมที่ชอบแข่งขันกันเองอย่างนี้ปรองดองกันได้ยากมาก ถ้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นมา กำลังรบของทีมจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน
พอนึกถึงจุดที่ทำให้จนใจ เขาก็อดชำเลืองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาขอร้องไม่ได้
ความกังวลของถังซานไฉ่ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มีทางที่ไม่นึกถึงอยู่แล้ว เมื่อเห็นเขามองมาก็ได้แต่ใช้สายตาตอบอย่างใจเย็นว่า ‘วางใจเถอะ’ จากนั้นก็แสร้งพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ในเมื่อกำลังจะร่วมงานกันแล้ว ข้าแนะนำให้ทุกคนกินข้าวเสร็จแล้วไปประลองกันสักหน่อย จะได้รู้จักศักยภาพของกันและกัน แล้วทำงานร่วมกันได้สะดวกยิ่งขึ้น เดี๋ยวข้าออกเงินค่าเช่าสังเวียนเอง”
เมื่อเทียบกับ ‘คนมีการศึกษาที่มักดูถูกกันเอง’ ระหว่างชาวยุทธ์ด้วยกัน นี่คือวิธีการที่ง่ายที่มากสำหรับแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน
อย่างไรเสียการแข่งขันระหว่างชาวบุ๋นที่มีวิชาความรู้ก็ไม่มีมาตรฐานวัด เจ้ารู้สึกว่าตัวอักษรของเจ้าเขียนได้สวย แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าบทกวีของข้าได้อรรถรสมากกว่า กอปรกับมีเอกลักษณ์ต่างกัน ก็ยิ่งไม่มีทางนำมาเปรียบเทียบกันได้
แต่สำหรับชาวยุทธ์ เรื่องราวเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายขึ้นแล้ว
เมื่อสู้กันสักสนาม ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘อุดน้ำไว้ไม่สู้ปล่อยให้น้ำไหล’
คำพูดเช่นนี้ ถังซานไฉ่ที่ขอให้คนอื่นช่วยงานตัวเองไม่สะดวกจะพูด แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับพูดได้โดยไม่ต้องแบกรับความรู้สึกใดๆ
และเมื่อเขาพูดออกมาอย่างนี้ ฉางซิงอวี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของถังซานไฉ่กลับคัดค้านทันที “เรื่องแบบนี้จะปล่อยให้สหายเยี่ยเสียค่าใช้จ่ายได้อย่างไร ข้าว่าไม่สู้ทุกคนนำเงินนี้มาเป็นรางวัลชนะเลิศดีกว่า คนแพ้จ่ายเงิน”
คำพูดของเขากลับทำให้ทุกคนยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน
“เห็นด้วย!”
“ข้าก็ไม่คัดค้านเช่นกัน!”
“เหอะๆ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็ขยับเส้นเอ็นสักหน่อย อีกประเดี๋ยวทุกคนต้องออมมือด้วยนะ”
“ออมมือกับผีน่ะสิ บนสังเวียนไม่มีการลงโทษด้วยความเป็นความตาย ย่อมต้องสู้ให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”
[1] ซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น 绵里藏针 หมายถึง อ่อนนอกแข็งใน
[2] บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง 文无第一 武无第二 หมายถึง คนฝ่ายบุ๊นมักถ่อมตัว ไม่มีใครบอกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง ส่วนคนฝ่ายบู๊มักชมตัวเองว่าไม่เป็นที่สองรองใคร